เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย กล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ในเรื่องวิกฤติทางเศรษฐกิจและวิกฤติทางการเมืองโดยไม่มีการลงมติ ว่า การที่ประชาชนแทบทุกเครือข่ายทั่วประเทศรู้สึกหมดศรัทธาในตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีปัญหาในการบริหารด้านเศรษฐกิจ ที่ยิ่งบริหารก็ยิ่งเป็นหนี้มากขึ้น ก่อนที่จะเจอไวรัสโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติมให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กู้เงินมา 1.9 ล้านล้านบาท แล้วบอกว่า 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 3 ก้อน 4.5 หมื่นล้านบาทช่วยเรื่องโควิด อีก 5.5 แสนล้านบาทเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ส่วนอีก 4 แสนล้านบาท ตั้งไว้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้เงินอีก 5 แสนล้านบาทตั้งไว้ช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SME) และอีก 4 แสนล้านบาทช่วยเหลือตราสารหนี้
จะเห็นได้ว่าแม้จะมีเงินมากมาย แต่ยังไร้วี่แววที่เศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะประชาชนยากจนอดอยากจากการทำนโยบายที่ผิดพลาด แม้กระทั่งเรื่องแจกเงินช่วยเหลือประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังสอบตก ทั้งล่าช้า แบ่งประชาชนเป็นอาชีพ เป็นขั้น เป็นกลุ่มเปราะบางต่างๆ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจน แทนที่จะให้ทันทีกับทุกคนที่มีบัตรประชาชนเพราะประชาชนกำลังลำบาก
"กลุ่มเปราะบางที่ลำบากอยู่แล้ว ท่านยังไปยึดที่ ร้านค้าร้านขาย จัดระเบียบอะไรของท่านก็ไม่ทราบ อย่าลืมนะคนหาเช้ากินค่ำดิ้นรนต่อสู้เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ วันหนึ่งหาได้ 300 - 400 บาท ส่งลูกไปโรงเรียน แต่ท่านมายึดที่ขายของของชาวบ้าน ท่านเอาอะไรมาคิด กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย คนที่ขายของอยู่ตามตึกต่างๆ ร้านขายลาบ ส้มตำ ไก่ย่าง แม้กระทั่งรถเข็นเองก็ตาม ไม่มีที่จะขายของ อาชีพเหล่านี้เป็นอาชีพสุจริตแต่ขาดการส่งเสริม ปิดกั้นอาชีพเหล่านี้ ท่านอาจจะมองไม่เห็นคนกลุ่มนี้ คนกลุ่มนี้มีเป็นจำนวนมาก" นายนิคม กล่าว
นายนิคม กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกัน กิจการขนาดเล็กที่มีพนักงาน 5-10 คน หรือขนาดกลางมีพนักงาน 50 คน ธุรกิจเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่รัฐบาลจัดให้ ซึ่งนายกฯ นั้นคิดผิดที่ไปตั้งกติกาไว้ว่าผู้ที่จะเข้าถึงได้ต้องมีหนี้ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.2562 เป็นต้นมา ขณะที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดรุนแรงในประเทศไทยช่วงวันที่ 25 - 26 มี.ค.2563 ที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ปิดกิจการต่างๆ และในช่วงนี้เองที่ SME ทั้งหลายเข้าสู่สถานการณ์ย่ำแย่
ซึ่งการที่รัฐบาลนำเงินไปให้ธนาคารพาณิชย์ทำหน้าที่ปล่อยกู้ ธนาคารก็จะเลือกอนุมัติเฉพาะกลุ่มที่ดูแล้วจะหาเงินมาใช้หนี้คืนได้ เช่น มียอดขาย หรือมีหลักประกันต่างๆ คำถามคือแล้ว SME จะไปหาหลักทรัพย์ที่ไหนมาเพราะอยู่ในภาวะลำบากไม่มียอดขาย ตนจึงขอฝากนายกฯ และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่าควรตั้งกองทุนขึ้นมากองทุนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือธุรกิจกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากเงื่อนไขในการเข้าถึงจะง่ายกว่า เมื่อกองทุนสามารถช่วยเหลือ SME ได้ ก็จะเกิดการจ้างงาน
"SME อย่าลืมนะว่า 43% ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวม) ประเทศ เพราะเราจะไปเอารายได้จากการส่งออกได้ไหมครับ การส่งออกมันไม่สามารถส่งออกได้ การท่องเที่ยวมัน 100% เราก็จะมี SME ในประเทศนี่ละที่เราจะต้องประคับประคองให้ SME เหล่านี้ ผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่ต้องเลิกจ้าง ถ้าเมื่อไหร่เขาไปไม่เป็นเขาเลิกจ้างจะทำอย่างไร ทุกคนตกงาน เพราะตอนนี้คนตกงานเกือบ 10 ล้านคนแล้ว" นายนิคม ระบุ
หน.พรรคพลังปวงชนไทย ยังกล่าวอีกว่า ฉะนั้นแนวทางแก้ไขของทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องคิดใหม่ เงิน 5 แสนล้านบาทเบื้องต้นตนทราบว่าใช้ไปแล้ว 1 แสนล้านบาท แต่ยังเหลืออีก 4 แสนล้านบาทซึ่งยังเพียงพอ จึงขอย้ำให้รัฐบาลรีบตั้งกองทุนมาช่วย SME นอกจากนี้มาตรการเยียวยาด้วยการแจกเงิน 5,000 บาท จำนวน 3 ครั้ง เป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้าและตนนั้นเห็นด้วย แต่การวางแผนระยะกลางและระยะยาว รัฐบาลจะทำอย่างไรเศรษฐกิจจึงจะฟื้นฟูได้ ซึ่งตนก็เคยเสนอว่าให้นำเงินไปช่วยผู้ประกอบการที่ยังมีการจ้างพนักงานอยู่
เช่น หากต้องการช่วยเหลือลูกจ้าง 10 ล้านคน รัฐบาลสามารถนำเงินไปช่วยผู้ประกอบการประมาณ 2 แสนราย สมมติผู้ประกอบการ 1 รายมีลูกจ้าง 50 คน รัฐบาลจะสามารถช่วยลูกจ้างได้ถึง 10 ล้านคน หรือหากผู้ประกอบการจ้างพนักงานคนละ 15,000 บาทต่อเดือน รัฐบาลช่วย 5,000 บาทต่อเดือน ผู้ประกอบการก็จะจ่าย 10,000 บาทต่อเดือน นั่นหมายถึงลูกจ้างยังทำงานต่อเนื่องได้ด้วยค่าจ้างเท่าเดิมและผู้ประกอบการก็ยังมีกำลังใจจ้างพนักงานต่อไป
โดยทำแบบนี้ 1 ปีหรือ 12 เดือน จะใช้งบประมาณ 6 แสนล้านบาท เชื่อว่าเวลาผ่านไป 12 เดือน เศรษฐกิจก็ฟื้นพอดี ตนจึงอยากให้ใช้เงินก้อนนี้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะอาจเป็นการกู้เงินครั้งสุดท้ายเนื่องจากเป็นเงินจำนวนมหาศาล ตนเชื่อว่ารัฐบาลฟังอยู่ ขอให้นำข้อเสนอของตนไปทำเพราะมันเกิดประโยชน์แน่นอน ยังมีอีกหลายอย่างที่รัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือได้ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ภาคลงทุน และภาคการท่องเที่ยว ตนได้มีโอกาสไปสัมมนาที่ จ.เชียงใหม่ พบผู้ประกอบการท่องเที่ยวลำบากมาก
เนื่องจากการท่องเที่ยวถูกล็อกดาวน์ ชาวต่างชาติไม่เข้ามาและคนไทยเองก็ไม่เที่ยว เพราะบรรยากาศในการท่องเที่ยวมันไม่มี ตราบใดที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งคนจะออกไปเที่ยวบรรยากาศต้องได้ และคนก็ต้องมีเงินเก็บด้วย วันนี้ต่อให้รัฐบาลแจกเงินให้ไปเที่ยวประชาชนก็คงไม่ไปเที่ยวแต่จะเก็บเงินไว้ใช้ในครัวเรือนมากกว่า
"บรรยากาศการท่องเที่ยวจะเกิดขึ้นท่านต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว แล้วก็ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาอย่าให้เข้ามาจากต่างประเทศ ในประเทศไทยมันไม่มีแล้ว อย่าทำให้ประชาชนตื่นตระหนักจนเกินไป สุดท้ายเศรษฐกิจมันจะพัง เศรษฐกิจพังไม่มีหมอรักษาได้ โรงพยาบาลก็รักษาไม่ได้ แต่เชื้อไวรัสโคโรนายังรักษาได้ อยากให้ประชาชนทุกคนมั่นใจว่าเมืองไทยเราหลายจังหวัดไม่มีเชื้อนี้แล้ว รัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจตรงนี้ ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพการท่องเที่ยวเลย" นายนิคม กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี