"จตุพร"เรียกร้องให้รัฐอำนวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัยเข้มข้นกับผู้ชุมนุม19ก.ย. บอกยิ่งถูกขับไล่ต้องทำหน้าที่ดูแลให้ดี ชี้เป็นปชต.ยึดหลักสิทธิเสรีภาพตามรธน. ย้ำมธ.ทบทวนเปิดให้ใช้พื้นที่ชุมนุม แจงรัฐอย่าใช้กำลังปราบปราม หวั่นเกิดหายนะทั้งแผ่นดิน
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ "ลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์" โดยหวังว่า การชุมนุมของนิสิต นักศึกษาในวันที่ 19 ก.ย.นี้ รัฐบาลต้องอำนวยความสะดวก พร้อมดูแลรักษาความปลอดภัย เพราะถ้าใช้กำลังปราบปราม แล้ว ความหายนะจะเกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์จากนี้ไป แต่ละฝ่ายคงได้แสดงความคิดเห็น และขอให้สังคมทนฟังความเห็นต่างกันแล้ว เมื่อเราแสวงหาประชาธิปไตยจึงต้องฟังเห็นแตกต่างกันได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความสวยงาม อีกทั้งการชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิ เสรีภาพ และต้องบังเกิดขึ้นเป็นจริง
รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ทบทวนกันใหม่ เพราะการชุมนุมยามค่ำคืนมีรั้วรอบขอบชิด และสามารถประสานงานกับตำรวจได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความปลอดภัย ดังนั้นการชุมนุมในพื้นที่มหาวิทยาลัยดีที่สุด เพราะระบบการจัดการความปลอดภัยจะง่ายกว่า และเป็นประโยชน์มากกว่า
แต่ทันทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปิดประตูใส่ จึงต้องเริ่มการชุมนุมที่สนามหลวง หากเข้าสนามหลวงไม่ได้ก็ไปทำเนียบรัฐบาล นั่นเท่ากับผลักคนหรือบีบบังคับให้ผู้ชุมนุมไปทำเนียบรัฐบาลเร็วขึ้น การคิดเช่นนี้ ตนตั้งข้อสงสัยว่า หรือต้องการให้มีเรื่องเร็วขึ้น
"ความจริงน่าเรียกกันมาคุย มาเจรจากัน จากร้อนจะกลายเป็นเย็น และพบกันครึ่งทาง ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่าไม่ต้องการจะมีเรื่อง แต่เมื่อปิดประตูใส่ แปลกความว่า ต้องการให้มีเรื่อง เร่งเรื่องให้เกิดขึ้นเร็ว ผมไม่ได้กล่าวหา แต่เป็นความเชื่อ เพราะปรากฎการณ์แต่ละเรื่องมีที่มาที่ไปทางการเมืองทั้งนั้น"
นายจตุพร กล่าวว่า ขบวนการนิสิต นักศึกษาเป็นปรากฎการณ์แห่งยุคสมัย ซึ่งแต่ละยุคจะไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคงเป็นเรื่องหัวจิตหัวใจในการต่อสู้ และไม่เคยคิดถึงความกลัว หรือจะมีความตายเกิดขึ้นเมื่อไร อย่างไร ดังนั้น การต่อสู้ไม่มีใครกลัวใครทั้งนั้น
วันนี้แต่ละฝ่ายต่างคิดกันทั้งนั้น แล้วยังประเมินกันตามลำดับ ตนยังอยู่จุดที่ต้องคิดในการตัดสินใจ และยืนยันประกาศว่า ถ้ายึดอำนาจหรือใช้ความรุนแรงปราบปรามนักเรียน นิสิต นักศึกษาแล้ว ตนคงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาร่วมหยุดยั้งความรุนแรงเหล่านั้น
พร้อมยกตัวอย่างการต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภา 2553 ว่า ช่วงนั้นรัฐใช้กำลังถึง 6 หมื่นนาย ทุ่มงบถึง 6 พันล้านในการต่อสู้กับคนเสื้อแดง ถ้ารวมกับช่วงปี 2552 ด้วย คงรวมกันไม่ต่ำกว่าหมื่นล้าน แล้วแลกกับการสังเวยชีวิตของคนเสื้อแดง ดังนั้น ตนจึงบอกว่า การยืนอยู่ห่างๆ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทำหน้าที่คัดท้ายให้จะเป็นประโยชน์มากกว่า เนื่องจากการรับมือผู้ชุมนุมของรัฐจะเป็นคนละเรื่องกันกับการต่อสู้กับคนเสื้อแดง
นอกจากนี้ ต้องเรียกร้องกับรัฐบาลว่า เราไม่ต้องการเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น และรัฐบาลต้องทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง แม้เป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลก็ตาม แต่หน้าที่ของรัฐบาลก็ต้องดูแล เพราะเป็นสปิริตของคำว่าประชาธิปไตย
ตนอยากได้ยินว่า มีการคิดอย่างนี้กันอย่างมีวุฒิภาวะ ส่วนข้อเรียกร้องก็ว่ากันเต็มที่ ซึ่งตนเห็นด้วยกับ 3 ข้อเรียกร้อง 2 จุดยืน 1 ความฝันเท่านั้น เลยกว่านี้ไม่เอาด้วย แต่รัฐต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม
"ขอให้พี่น้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่ากังวล อย่าสงสัย ผมเป็นเหมือนเดิมวันยังค่ำ เพียงแต่เป็นคนปากกับใจตรงกันเท่านั้น ความตรงไปตรงมา หลายคนที่ไม่รู้จักจะถามว่าเปลี่ยนไปหรือเปล่า แต่ผมจะบอกว่า ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน แม้คนอื่นเปลี่ยน แต่ผมไม่เปลี่ยน"
นายจตุพร กล่าวว่า ขอทุกฝ่ายและนักการเมือง ควรคิดกันแล้วว่า จะรักษาระบบรัฐสภาไว้อย่างไร วุฒิสภาก็ต้องสำนึกว่าที่ได้มานั้น เกินกว่าสิ่งที่คุณควรจะได้ และลาภไม่ควรได้ทั้งหลายควรถอยออกมา แล้วปล่อยว่าง เพราะเกินกว่าสิ่งที่ควรจะได้แล้ว
ถ้าแต่ละฝ่ายแสวงหาอำนาจ หาประโยชน์จากสถานการณ์ประเทศในขณะนี้ ตนเชื่อว่าพัง ดังนั้น ขอให้ช่วยกันคิดกันก่อนที่มันจะพัง อย่างน้อยเราสามารถนำเสนอได้ แม้ไม่มีอำนาจอะไรก็ตาม วันนี้อย่างไร ประเทศไทยมีแนวทางรอด ถ้าใจกว้าง หากใจเล็กนำพาประเทศไม่รอด ดังนั้น ถ้าคิดกันจริงจังแล้ว สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ เราก็พากันไปรอด
วันนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้น น่าเป็นห่วง เราอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจ แต่ละฝ่ายคิดจะใช้ประโยชน์จากไทย โดยมหาอำนาจก็คิดว่า เป็นจุดยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้ ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องคิดมากกว่าธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องภัยจากมหาอำนาจทั้งหลาย จะนำภัยร้ายมาให้ไทยหรือไม่ ซึ่งเราต้องมีความเท่าทัน
สิ่งสำคัญ ขอทุกฝ่ายตั้งหลักตั้งสติให้พร้อม และคิดอย่างเดียวกันว่า สิทธิชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธต้องถือเป็นสิทธิเสรีภาพตาม รธน. แม้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ต้องเคารพสิทธินี้ อย่าให้ พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
อีกทั้ง รัฐต้องคิดในเรื่องการจัดการคนในมาตรา 116 โดยเพิ่มคดีไปมากๆ จะทำใเกิดความกลัว ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า มากแค่ไหนก็ไม่กลัว แต่ความรู้สึกยิ่งต้องสู้ไปเรื่อยๆ จนจบ และการออกหมายจับนั้น เท่ากับบังคับให้ต้องสู้อย่างไม่มีทางเลือก และหวังว่า ในวันที่ 19 ก.ย.นั้น รัฐบาลต้องไม่ใช้กำลังปราบปราม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี