“อัษฎางค์” ชำแหละ “ดาร์กไซด์” ผู้สร้างกองทัพซอมบี้ ด้วยเครื่องมือสร้างความแตกแยก จี้รัฐหยุดส่งตะพาบน้ำไปจับโจรที่วิ่งอยู่ในใยแก้วนำแสงความเร็วแสงเสียที
14 กันยายน 2563 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง “ดาร์กไซด์ของโซเชี่ยลมีเดียคือผู้สร้างกองทัพซอมบี้ ด้วยเครื่องมือสร้างความแตกแยก” มีเนื้อหาดังนี้...
“ดาร์กไซด์ของโซเชี่ยลมีเดียคือผู้สร้างกองทัพซอมบี้
ด้วยเครื่องมือสร้างความแตกแยก”
[ฉบับเต็มยาวมาก แต่ห้ามพลาด]
ใครไม่ชอบอ่านยาวๆ อ่านฉบับย่อได้ที่นี่ :
https://www.facebook.com/1234993066616474/posts/3411379695644456/?extid=nW897LeSVN58KTeu&d=n
............................................................................
จากบทสัมภาษณ์นักเทคโนโลยีมากมายหลายคน ที่เคยเป็นผู้ร่วมบุกเบิกหรือทำงานกับบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างโซเชี่ยลมีเดีย ที่ลาออกเพราะละอายใจและทนไม่ได้กับการที่เป็นผู้ร่วมสร้างเครื่องมือที่สร้างความแตกแยกในสังคม
คำว่า “โซเชี่ยลมีเดีย” ที่เราคุ้นเคยและเข้าใจว่ามันคือ การสร้างสังคมสมัยใหม่ แต่ความจริงมันกำลังทำลายสังคมของเรา ด้วยการสร้างความแตกแยก
พวกเราคนไทยคงรับรู้ได้ว่า เมืองไทยของเราเหมือนต้องมนต์ดำ คนเชื่อแต่ข่าวเท็จ เท็จเป็นจริง จริงกลายเป็นเท็จ จนดูเหมือนว่าผู้คนมากมายต้องมนต์
มีประโยคเปรียบเทียบหนึ่งกล่าวว่า
“เทคโนโลยีอันล้ำสมัย ก็คือเวทมนต์ดีๆ นี่เอง”
............................................................................
พวกเราผู้ที่เข้าสู่โลกออนไลน์ อาจไม่ทันรู้ว่า...
ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณคลิกลงบนแป้นพิมพ์ หรือแตะลงบนจอ หรือคลิปทุกคลิปที่คุณดู ในโลกออนไลน์ จะ”ถูกจับตา ติดตาม”
สุดท้ายทุกคลิก ทุกตัวอักษร ที่คุณกดลงบนแป้นพิมพ์หรือแตะลงบนหน้าจอ ทุกคลิปที่คุณดู จะ”ถูกบันทึก”เอาไว้ทั้งหมด
แล้วจะถูก “ประเมิน” ว่าคุณสนใจอะไร แค่ไหน อย่างไร
และจบด้วยการ”วิเคราะห์” ว่าคุณเป็นคนอย่างไร เป็นคนประเภทไหน สนใจ ไม่สนใจอะไร อย่างไร
เขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ เขารู้ว่าคุณแอบดูหนุ่ม แอบดูสาวคนไหน สนใจใครเป็นพิเศษ คุณทำอะไรตอนเช้าตรู่หรือตอนดึกๆ เขารู้ว่าคุณชอบเข้าสังคม หรือชอบเก็บตัว
เขารู้แม้กระทั่งบางเรื่องในตัวคุณ ที่ตัวคุณเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตอนไหนคุณเหงา ตอนไหนคุณซึมเศร้า คุณเป็นโรคประสาทแบบไหน
เขารู้จักตัวคุณ มากกว่าที่คุณรู้จักตัวคุณเองเสียอีก
ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้จะถูกป้อนลงในเครือข่ายด้วยเครื่องจักรกล AI อันทันสมัยและชาญฉลาด และ AI จะประเมินพฤติกรรมของคุณอยู่ตลอดเวลา จนแม่นยำ
จนในที่สุด AI จะรู้ว่าคุณเป็นใคร มากกว่าที่คุณจะรู้จักตัวคุณเอง
............................................................................
เขามีกระบวนการทำงานอย่างไร?
จากที่อธิบายมาทั้งหมด คือเมื่อเขามีข้อมูลของคุณ จากคลิกทุกคลิก คลิปทุกคลิป ไลน์ทุกไลน์ของคุณ จะถูกนำไปประเมิน วิเคราะห์พฤติกรรมของคุณ แล้วเขาจะสร้างโมเดลตัวคุณขึ้นมา
โมเดลนั้นคือสิ่งที่สามารถบอกได้ว่า คุณเป็นคนยังไง ชอบไม่ชอบอะไร เชื่อไม่เชื่ออะไร บ้าคลั่งเรื่องอะไร
โดยกระบวนทั้งหมดนี้ถูกขับเคลื่อนและควบคุมโดย “อัลกอริทึม”
อัลกอริทึมนี้ถูกเขียนขึ้นโดยมนุษย์ก็จริง แต่ในที่สุด AI จะเป็นคนใช้งานและควบมันเอง
............................................................................
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจมีคำถาม ว่าเขาต้องการข้อมูลส่วนตัวของคุณเหล่านั้น ไปเพื่ออะไร?
เขาเอาข้อมูลของคุณไปเชื่อมต่อเข้ากับอีกคน ที่เรียกว่า โซเชี่ยลมีเดีย เป็นสังคมออนไลน์
โดยกระบวนการเชื่อมคนสองคนหรือหลายคนเข้าหากันนี้มีบุคคลที่ 3 ที่ไม่เห็นตัวตน ซึ่งบุคคลที่ 3 นี้คือผู้จ่ายเงินซื้อข้อมูลของคุณจากบริษัทเทคโนโลยีและขายโฆษณาไปสู่คุณ
คุณอาจไม่เคยรู้ตัวว่า คุณทุกคนคือ “สินค้า”ของเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาร์แกรม และบริษัทโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย
โดยคุณจะถูกขายให้กับบริษัทต่างๆ และบริษัทนั้นๆ จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าโฆษณาหรือแม้แต่จ่ายค่าข้อมูลส่วนตัวของคุณให้กับ เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาร์แกรม และบริษัทโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย
............................................................................
มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหมอ วิศวกร เป็นพ่อค้า หรือคนขับรถเมล์ ล้วนมีความสามารถและความชำนาญสูงในวิชาชีพของตน แต่พวกเขาทุกคนล้วนมีความเปราะบางทางด้านจิตใจ
บริษัทเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัย บวกเข้ากับวิชาจิตวิทยาการชักจูงคน เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจ ด้วยการสร้างเทคโนโลยีเพื่อจูงใจคนที่มีจิตใจเปราะบางเหล่านั้น
เขาชักจูงใจเรายังไง?
ก็สร้างเทคโนโลยีให้ชักจูงจิตใจให้เราเพลิดเพลินติดใจอยู่ที่หน้าจอให้มากที่สุด
การที่คุณต้องก้มมอง หรือจับมือถือขึ้นมาเช็คข้อความ หรือ New feed ตลอดเวลา นั้นไม่ใช่นิสัยของคุณ แต่มันเป็นผลมาจากเทคนิคในการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อจูงใจคุณ
............................................................................
เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาร์แกรม และบริษัทโซเชี่ยลมีเดียทั้งหลาย คือผู้สร้างเครื่องมือสำหรับชักจูงใจคน ด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย
โซเชี่ยลมีเดีย คือเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมนุษย์สร้างมา
ที่นี้ลองคิดดูว่าเครื่องมือนี้ตกไปอยู่ในมือของเผด็จการ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือพวกลัทธิอำนาจนิยม ดูสิ!!!
ยุคนี้ถ้าคุณต้องการควบคุมคนในประเทศ
ไม่มีเครื่องมือใดจะมีประสิทธิภาพสูงเท่าโซเชี่ยลมีเดียอย่างเช่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อีกแล้ว
เฟสบุ๊ค เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ กูเกิล ยูทูป อินสตาร์แกรม ได้สร้างเครื่องมือในการควบคุมความเห็นของประชาชนให้แก่รัฐบาล กองทัพ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้ก่อความรุนแรง
**ด้วยเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรง โดยไม่ต้องใช้ทุนมาก
............................................................................
เกริ่นมายืดยาว เพื่อต้องการปูพื้นฐานความเข้าใจ
ที่นี่มาเข้าเรื่องของเรา
“กองทัพซอมบี้ เกิดขึ้นได้ยังไง”
ถ้าใครอยากจะล้มเจ้า ก็เข้าไปหากลุ่มคนที่ฝักใฝ่ทฤษฎีสมคบคิด ที่เชื่อว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยร่ำรวยที่สุดในโลก แถมไม่เคยเสียภาษี พระราชกรณียกิจเป็นเรื่องลวงโลก
แล้วก็แค่ขอเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ว่า “หาผู้ใช้งานแอปของตนแบบนี้มาให้สักร้อยหรือพันหรือหมื่นคน”
เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็จะส่งผู้ใช้งานในแอปของตนที่มีความเชื่อแบบนั้นมาให้ตามจำนวนที่ต้องการ
ที่นี่สิ่งที่แกนนำกลุ่มล้มเจ้าต้องทำคือ ป้อนทฤษฎีสมคบคิดให้คนพวกนั้นเพิ่มเติม ป้อมข้อมูลเท็จที่สนับสนุนความเชื่อของคนกลุ่มนั้นเพิ่มเติม
**เพียงแค่นี้ แกนนำคนล้มเจ้า ก็ได้กองทัพซอมบี้แล้ว และมันจะค่อยๆ ลุกลาม ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นักการเมืองที่ชั่วร้ายจะได้รับการติดปีกด้วยอัลกอริทึม เครื่องมือมันทันสมัย ในการจูงใจฝูงชนจำนวนมหาศาลเป็นเครือข่ายที่กระจายออกไปไม่สิ้นสุด
ข่าวปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาราวกับเป็นความจริงจะถูกทำให้ผู้คนสับสน จนเชื่อคำหลอกลวงเหล่านั้น
เมื่อมนุษย์ร่วมมือกับ AI เป็นหนึ่งเดียว ฝ่ายตรงข้ามจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่หมัด ในขณะที่ฝ่ายเราจะควบคุมสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราเชื่อได้น้อยลงทุกที
............................................................................
ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีใครเชื่อเรื่องจริงดูสิ!
ทุกคนเชื่อว่ารัฐบาลโกหกพวกเรา
พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทำมา 80 ปีคือเรื่องโกหก
ประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
ถูกรัฐบาลหลอกให้อยู่บ้าน ทั้งๆ ที่โควิด 19 ไม่มีอยู่จริง
ทุกอย่างคือทฤษฎีสมคบคิด
ซึ่งเรากำลังไปสู่จุดนั้นหรือถึงจุดนั้นแล้ว
............................................................................
สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ คือปัญหาในระดับโลก ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ
และประเทศที่เป็นเป้าคือ ประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
สังเกตมั้ยว่า
ทั้งอเมริกา ฮ่องกง และไทย ประสบปัญหานี้อย่างหนัก
ในขณะที่จีน แทบไม่มีปัญหานี้เลย
มันคือสงครามที่สู้รบด้วย “คีย์บอร์ด”
คนๆ หนึ่งสามารถคุกคามอีกคนหนึ่ง ด้วยคีย์บอร์ด
คนๆ หนึ่งสามารถชักจูงคนอีกคน หรือคนจำนวนมาก ได้ด้วยคีย์บอร์ด
ประเทศหนึ่งสามารถชักจูงหรือคุกคามอีกประเทศหนึ่งโดยไม่ต้องส่งทหารและอาวุธไปรุกรานพรมแดน
วิธีการขอบมัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากจะเชียร์ใคร
**แต่อยู่ที่การสร้างความวุ่นวาย และทำให้สังคมแตกแยกต่างหาก
มันอยู่ที่การสร้างคนสองฝ่าย ที่ไม่ฟังกันได้ต่อไป และไม่ไว้ใจกันอีกต่อไป
โซเชี่ยลมีเดียอย่าง เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ที่เป็นแหล่งข้อมูลทั้งหมดของคนทั้งประเทศ ไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตย
แต่กำลังทำลายประชาธิปไตยให้พังทลายได้รวดเร็วมาก ด้วยการสร้างความแตกแยกทางความคิดให้กับสังคม
............................................................................
Marco Rubio วุฒิสมาชิกจากรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกาพูดว่า
เราคือประเทศที่ประชาชนไม่หันหน้าพูดคุยกันอีกต่อไป
เราคือประเทศที่ประชาชนพร้อมจะตัดเพื่อนตัดฝูง
เพียงเพราะเขากาบัตรเลือกคนที่ต่างจากเรา
เราคือประเทศที่ประชาชนโดดเดี่ยวตัวเอง และดูแต่ช่องที่บอกว่า เราคิดถูกแล้ว
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก พูดแก้ตัวในรัฐสภาสหรัฐว่า
ทางออกในระยะยาวของเราคือ การสร้างปัญญาประดิษฐ์เพิ่ม
แต่ความจริง AI ไม่รู้ว่าข้อมูลที่คนป้อนให้ อะไรคือเท็จ อะไรคือความจริง
............................................................................
โซเชี่ยลมีเดีย คือเครื่องมือในการสร้างกองทัพซอมบี้ไซเบอร์สีส้ม ที่นับวันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทวีคูณ
และมันกำลังทำลายประชาธิปไตยให้พังทลายได้รวดเร็วมาก ด้วยการสร้างความแตกแยกทางความคิดให้กับสังคม
จนไม่มีพี่ไม่มีน้องไม่มีเพื่อน ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีประเทศชาติ
มีแต่ข้อมูลเท็จ และข่าวปลอมที่สร้างมาอย่างง่ายดาย ถูกป้อนลงในหัวสมองและสร้างความสับสนต่อจิตใจที่เปราะบางของมนุษย์ชาติ
จนแยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ
สุดท้ายข้อมูล เท็จคือจริง จริงคือเท็จ
............................................................................
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรกำลังทำสงครามรุกรานไทยเราด้วยโซเชี่ยลมีเดียนั้น ในประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็โดยภัยคุกคามจากโซเชี่ยลมีเดียที่ตนเองสร้างขึ้นเหมือนกัน
เห็นข่าวที่คนลุกฮือต่อต้านรัฐบาลจากกรณีที่ชายผิดดำตายเพราะโดนตำรวจจับหรือไม่
เห็นข่าวชาวอเมริกันไม่ยอมรับกฏระเบียบในการรับมือโควิดหรือไม่ เห็นชาวอเมริกันไม่เชื่อว่าโควิดอันตรายหรือไม่ และเห็นผลของมันที่ทำให้อเมริกามีผู้ติดเชื้อโควิดสูงที่สุดในโลกหรือไม่
นั้นก็มาจาก แรงจูงใจที่สร้างอุปทานหมู่จากโซเชี่ยลมีเดีย
............................................................................
อาวุธที่รัฐบาลไทยควรจัดตั้งงบประมาณจัดซื้อด่วนที่สุด คืออาวุธที่จะใช้รับมือกับสงครามไซเบอร์ ที่ผู้คนทุกคนมีคีย์บอร์ดเป็นอาวุธ พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและจิตวิทยา
ข้าศึกของเรา ไม่ใช่กองทัพที่รุกรานทางพรมแดนแบบเดิมๆ แต่เป็นนักรบที่ไร้พรมแดน กับเครื่องมือที่ไม่มีตัวตน แต่มีประสิทธิภาพจูงใจคน ให้สร้างความแตกแยกในสังคมและในครอบครัว อย่างที่ไม่สามารถจะจับมาต่อให้ติดอย่างเดิมได้อีกต่อไป
หยุดส่งตะพาบน้ำไปจับโจรที่วิ่งอยู่ในใยแก้วนำแสงความเร็วแสงเสียที
............................................................................
อัษฎางค์ ยมนาค
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี