วันนี้ (22 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดศ. เสนอว่า
1. ด้วยบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของทั้งหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน เนื่องจากเป็นบริการที่ช่วยลดความเสี่ยงในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Commerce โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการแอบอ้างหรือปลอมแปลงตัวตนเข้ามาทำธุรกรรม อันเป็นที่มาที่ก่อนให้บริการทางออนไลน์ ซึ่งหน่วยงานรัฐ เอกชน หรือผู้ให้บริการต้องมีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ใช้งานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เป็นเครื่องมือทดแทนกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางกายภาพ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนและปัญหาความล่าช้าในการรับบริการจากภาครัฐหรือเอกชน
2. ดังนั้น เพื่อให้บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 34/3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงได้รองรับให้การพิสูจน์และยืนยันตัวตนของบุคคลอาจกระทำผ่านระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลได้ และมาตรา 34/4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้กำหนดให้ในกรณีที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและการพาณิชย์ หรือเพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและยอมรับในระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือเพื่อป้องกันความเสียหายแก่สาธารณชน ให้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลใด เป็นธุรกิจบริการที่ต้องได้รับใบอนุญาตก่อน เพื่อให้มีการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบริการดังกล่าว โดยมีคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ทำหน้าที่ตามกฎหมายในการกำกับดูแล และมีสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) สนับสนุนการกำกับดูแลธุรกิจบริการดังกล่าว เพื่อยกระดับให้บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลมีความเข้มแข็ง มีมาตรฐาน มีความมั่นคงปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ ตลอดจนดูแลให้การให้บริการสามารถรองรับการทำงานในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการเงิน สาธารณสุข หรือบริการภาครัฐ ได้อย่างครอบคลุม
3. สพธอ. ซึ่งรับผิดชอบงานเลขานุการของ คธอ. ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานหรือองค์กรกำกับดูแล และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านสาธารณสุข โทรคมนาคม การเงิน หลักทรัพย์ ประกันภัย ตลอดจนผู้ให้บริการในด้านดังกล่าว รวมจำนวน 4 ครั้ง และนำข้อมูลความคิดเห็นที่ได้รับมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ก่อนนำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอต่อ คธอ. ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 โดยที่ประชุม คธอ. มีมติเห็นชอบ และให้ สพธอ. ปรับปรุงร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมก่อนเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป โดย สพธอ. ได้ดำเนินการปรับปรุงร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตน ทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ และที่ คธอ. หรือ สพธอ. จะประกาศกำหนด รวมทั้งเงื่อนไขอื่นที่อาจกำหนดไว้ในใบอนุญาต
2. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
3. กำหนดห้ามทำข้อตกลงหรือกระทำการอันจะเป็นการกีดกันหรือขัดขวางการให้บริการหรือก่อให้เกิดการผูกขาดในการประกอบธุรกิจ หรือทำให้เกิดความไม่สอดคล้อง หรือไม่สามารถเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือทำให้เกิดการผูกขาดในการประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจาก สพธอ.
4. กำหนดลักษณะของบริการที่ต้องได้รับใบอนุญาตในการให้บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ดังนี้
4.1 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (Identity Provider Service) ที่ให้บริการการพิสูจน์ตัวตน หรือการออกและบริหารจัดการสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตน หรือการยืนยันตัวตน
4.2 บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital Identity Platform Service) ที่เป็นเครือข่ายหรือระบบเพื่อการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ทั้งนี้ ไม่รวมถึงบุคคลที่เป็นสื่อกลาง
5. กำหนดบริการที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาต ดังนี้
5.1 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยผู้ให้บริการออกใบรับรองเพื่อสนับสนุนลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Certification Authority: CA)
5.2 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวที่บุคคลใช้เพื่อประโยชน์ภายในกิจการของบุคคลนั้น โดยไม่ได้ให้บริการแก่บุคคลภายนอก
5.3 บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่ไม่ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของบุคคลและตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างบุคคลกับข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์นั้น ตามระดับเงื่อนไขความน่าเชื่อถือ ที่ คธอ. กำหนด
5.4 บริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลอื่นใดตามที่ คธอ. ประกาศกำหนด
6. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนิติบุคคลหรือกรรมการของผู้ประกอบธุรกิจที่จะขอรับใบอนุญาต ขั้นตอนการขออนุญาต เอกสารประกอบการขออนุญาต ค่าธรรมเนียมในการขออนุญาต รวมทั้งกำหนดอายุใบอนุญาต 5 ปี กำหนดเกี่ยวกับการขอต่ออายุใบอนุญาต และกำหนดให้ขอรับใบแทนในกรณีที่ใบอนุญาตสูญหายหรือชำรุด
7. กำหนดหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจในการรายงานเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ
8. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดให้มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับการให้บริการของผู้ประกอบธุรกิจ
9. กำหนดหลักเกณฑ์ที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องดำเนินการในระหว่างประกอบธุรกิจ เพื่อให้ระบบมีความมั่นคงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เช่น สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของผู้ประกอบธุรกิจ มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงของระบบ มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบและการตรวจสอบ มาตรฐาน การให้บริการ ซึ่งรวมถึงการจัดการและจัดเก็บข้อมูล การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการ การคุ้มครองผู้ใช้บริการ และมาตรการบรรเทาความเสียหายและการชดใช้หรือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการประกอบธุรกิจ
10. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลและการรายงานของผู้ประกอบธุรกิจ
11. กำหนดให้กรณีที่ประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจ ต้องแจ้งให้ สพธอ. ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่คาดว่าจะเลิกประกอบธุรกิจ
12. กำหนดหน้าที่และอำนาจในการควบคุมดูแลการประกอบธุรกิจ เช่น อำนาจของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบและรวบรวมข้อเท็จจริง อำนาจของ สพธอ. ในการสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องหรือพักใช้ใบอนุญาตอำนาจของ คธอ. ในการสั่งปรับและการเพิกถอนใบอนุญาต
13. กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดการข้อมูล และการคุ้มครองผู้ใช้บริการก่อนการเลิกประกอบธุรกิจหรือการเพิกถอนใบอนุญาต รวมทั้งการรองรับผลของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ได้จากกระทำก่อนการเลิกประกอบธุรกิจหรือการเพิกถอนใบอนุญาต
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4110 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 403 เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 (การเพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า โดยที่ประเทศไทยได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคให้สามารถควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม เนื่องจากโรคนี้มีความรุนแรงของโรคสูง และสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการระบาดข้ามประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 ของประเทศไทย ยังมีความเสี่ยงในการเกิดการระบาดใหญ่ได้เนื่องจากสถานการณ์การระบาดทั่วโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และหลายประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการในการป้องกันควบคุมโรค
คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติจึงได้เสนอให้เพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้ามตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้โรคดังกล่าวเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
มท. เห็นควรกำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคที่ต้องห้ามมิให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นโรคดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยการปรับปรุงกฎกระทรวงฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคต้องห้าม ตามมาตรา 12 (4) และมาตรา 44 (2) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ดังนี้
1. โรคตามมาตรา 12 (4) ได้แก่
(1) โรคเรื้อน
(2) วัณโรคในระยะอันตราย
(3) โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
(4) โรคยาเสพติดให้โทษ
(5) โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3
(6) โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
2. โรคตามมาตรา 44 (2) ได้แก่
(1) โรคเรื้อน
(2) วัณโรคในระยะอันตราย
(3) โรคเท้าช้าง
(4) โรคยาเสพติดให้โทษ
(5) โรคพิษสุราเรื้อรัง
(6) โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3
(7) โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ 6/2558 ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 และขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2533 และ 4 ตุลาคม 2559 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ โดยเมื่อหน่วยงานเจ้าของพื้นที่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว ให้ อก. โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. ประทานบัตรเดิมของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด จะครบกำหนดสิ้นอายุในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 บริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด จึงได้ยื่นคำขอประทานบัตรที่ 6/2558 ชนิดแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างที่ตำบลลิดล อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ในพื้นที่ประทานบัตรเดิมเต็มทั้งแปลงและขอขยายพื้นที่ใหม่เพิ่มเติม รวมเนื้อที่ 104 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา มีรายละเอียด ดังนี้
รายการ |
รายละเอียด |
||||||
พื้นที่ |
|
||||||
ลักษณะพื้นที่ |
1) พื้นที่คำขอประทานบัตรเป็นพื้นที่ป่าซึ่งได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ ป่าไม้ไว้แล้ว 2) พื้นที่อยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560 – 2564 3) ไม่อยู่ในแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ไม่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการทำเหมืองตามระเบียบและกฎหมายของส่วนราชการต่าง ๆ 4) มีสภาพแวดล้อมและการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม |
||||||
ความคุ้มค่า |
โครงการมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคมต่อท้องถิ่นและประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น โดยพบว่า ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการอยู่ในระดับที่ดีมาก ซึ่งมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 327.60 ล้านบาท มีมูลค่าโครงการสุทธิภายหลังหักมูลค่าที่สูญไปของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่โครงการเท่ากับ 311.96 ล้านบาท |
||||||
การเห็นชอบ/อนุมัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน |
1) คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ได้มีมติเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับคำขอประทานบัตรแล้วเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 2) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นชอบตามที่ อก. เสนอ 3) องค์การบริหารส่วนตำบลลิดลได้เห็นชอบในการขอประทานบัตรแล้ว 4) สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา ไม่พบร่องรอยหลักฐานที่เป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี อย่างไรก็ตาม หากผู้ขอประทานบัตรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยมีการขุดเจาะลึกลงไปใต้ดินและพบหลักฐานทางโบราณคดีหรือร่องรอยผิดวิสัยและเป็นประโยชน์ในทางโบราณคดี ขอให้ชะลอการดำเนินงานดังกล่าวและโปรดแจ้งข้อมูลให้สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการตรวจสอบต่อไป 5) การทำเหมืองที่ผ่านมาและการปิดประกาศการขอประทานบัตรไม่มีผู้ร้องเรียนคัดค้าน 6) ไม่มีปัญหาการร้องเรียนคัดค้านเกี่ยวกับคำขอประทานบัตร และการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะหรือสร้างความขัดแย้งกับราษฎรในพื้นที่ |
ทั้งนี้ จากแผนที่ภูมิศาสตร์พบว่า พื้นที่ตามคำขอประทานบัตรที่ 6/2558 ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ไม่ได้อยู่ในเขตโบราณสถานภาพเขียนสีเขายะลา โดยมีพื้นที่ตามคำขอประทานบัตรของห้างห้นส่วนจำกัด พีรพลศิลา (ประทานบัตรที่ 2/2558) และคำขอประทานบัตรของห้างหุ้นส่วนจำกัด ธนบดีศิลา (ประทานบัตรที่ 3/2558) คั่นระหว่างพื้นที่คำขอประทานบัตรของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด กับเขตโบราณสถานภาพเขียนสีเขายะลา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ในพื้นที่ที่คั่นอยู่ดังกล่าวแล้ว
2. การดำเนินการในขั้นตอนนี้ไม่ได้เป็นการพิจารณาอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ แต่เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อขออนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี
5. เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ขึ้นทะเบียน โดยมีเลขประจำตัว 13 หลัก เรียบร้อยแล้ว จำนวน 3,042 คน ซึ่งครอบคลุมบริการด้านสาธารณสุข ได้แก่ การเสริมสร้างสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 สธ. ได้ดำเนินการจัดระบบลงทะเบียนสิทธิและให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่บุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์สิทธิได้ โดยพบว่า ยังมีเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่ได้รับสิทธิด้านการศึกษาแต่ยังไม่ได้รับสิทธิด้านหลักประกันสุขภาพ จำนวน 3,042 คน ซึ่งจากการตรวจสอบแล้ว ไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับสิทธิตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้ง มท. ได้กำหนดเลขประจำตัว 13 หลัก เรียบร้อยแล้ว
2. สธ. เห็นว่า การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาจะทำให้เด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาที่ประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงระบบหลักประกันสุขภาพได้รับบริการสาธารณสุขที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและช่วยแก้ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของหน่วยบริการที่ต้องให้บริการด้านสาธารณสุขที่จำเป็นตลอดจนช่วยควบคุมและป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ จำนวน 7,464,915.90 บาท (อัตรา 2,453.75 บาทต่อคน) โดยกำหนดกรอบวงเงินตามจำนวนผู้มีสิทธิในอัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวเท่ากับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
6. เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย ขององค์การจัดการน้ำเสีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย ขององค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ มท. (อจน.) รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. ปริมาณน้ำเสียชุมชนของประเทศไทยในปัจจุบันมี 9.50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยมีน้ำเสียที่ (1) ผ่านการบำบัดด้วยระบบบำบัดน้ำเสียที่ติดตั้งตามกฎหมายควบคุมอาคาร และแหล่งรองรับน้ำที่สามารถฟื้นฟูและบำบัดได้เองตามกระบวนการตามธรรมชาติ (self-purification) ปริมาณ 4.60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 48) และ (2) ผ่านระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชน จำนวน 105 แห่ง ซึ่งอยู่ในพื้นที่และความรับผิดชอบของ 91 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใน 56 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) และมีความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย 3.20 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 34) ทำให้เหลือปริมาณน้ำเสียที่ไม่ได้รับการบำบัด จำนวน 1.70 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน (คิดเป็นร้อยละ 18) ที่กลายเป็นปัญหามลพิษทางน้ำของประเทศส่งผลให้แหล่งน้ำมีคุณภาพเสื่อมโทรม กระทบต่อสุขอนามัยของประชาชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
2. อจน. ได้ให้บริการรับบริหารหรือจัดการระบบบำบัดน้ำเสียให้แก่ อปท. ที่รับผิดชอบระบบบำบัดน้ำเสียดังกล่าว จำนวน 26 แห่ง (จาก 105 แห่ง) ซึ่งตั้งอยู่ทั้งในและนอกเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย จากจำนวน อปท. ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 7,852 แห่งทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยควรต้องเร่งดำเนินการวางระบบบริหารจัดการน้ำเสียในพื้นที่ อปท. อีกเป็นจำนวนมาก แต่โดยที่ผ่านมา อจน. มีข้อจำกัดในการเข้าดำเนินการจัดการน้ำเสียให้กับ อปท. เนื่องจากส่วนใหญ่ที่อยู่นอกเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ทำให้ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวมและบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียเพื่อสนับสนุน อปท. ในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียชุมชนได้อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น การกำหนดพื้นที่จัดการน้ำเสียเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทยของ อจน. จะมีส่วนสำคัญในการเร่งรัดการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของประเทศให้ดำเนินไปอย่างมีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อย่างทันสถานการณ์
7. เรื่อง การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 40 วรรคสาม และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า 1 ปีงบประมาณก่อนได้รับเงินประจำงวดและสำนักงานสามารถลงนามในสัญญาได้ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2563 วงเงินรวม 82,486,600 บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการต่าง ๆ จำนวน 7 รายการ ดังนี้
รายการก่อหนี้ |
ระยะเวลาก่อหนี้ (ปีงบประมาณ) |
วงเงิน (บาท) |
1. ค่าเช่าอาคารที่ทำการ ททท. จำนวน 5 รายการ |
76,894,600 |
|
1.1 สำนักงานโอซากา |
3 ปี (พ.ศ. 2564 - 2566) |
17,527,500 |
1.2 สำนักงานนิวเดลี |
12,600,000 |
|
1.3 สำนักงานโฮจิมินห์ |
17,409,600 |
|
1.4 สำนักงานจาการ์ตา |
24,557,500 |
|
1.5 สำนักงานกัวลาลัมเปอร์ |
2 ปี (พ.ศ. 2564 - 2565) |
4,800,000 |
2. ค่าเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล ททท. จำนวน 2 รายการ |
5,592,000 |
|
2.1 สำนักงานกัวลาลัมเปอร์ |
3 ปี (พ.ศ. 2564 - 2566) |
4,032,000 |
2.2 สำนักงานโฮจิมินห์ |
2 ปี (พ.ศ. 2564 - 2565) |
1,560,000 |
รวมทั้งสิ้น |
82,486,600 |
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายการค่าเช่าอาคารสำนักงาน 5 แห่ง และรายการค่าเช่ารถยนต์ 2 รายการ ดังกล่าว ให้ ททท. ใช้จ่ายและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไปพลางก่อน หรือใช้จ่ายตามรายการและวงเงินงบประมาณรายจ่ายของ ททท. เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประกาศใช้บังคับ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นสมควรให้ ททท. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณให้สอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กก. รายงานว่า
1. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานจำนวน 5 สำนักงาน และสัญญาเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลเพื่อใช้ประจำสำนักงาน จำนวน 2 คัน สำหรับ 2 สำนักงาน ของ ททท. สำนักงานสาขาต่างประเทศจะสิ้นสุดลง ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความต่อเนื่องและมิให้เกิดความเสียหายต่อการปฏิบัติงานของ ททท. จึงมีความจำเป็นที่จะต้องลงนามทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติของท้องถิ่น และลงนามในสัญญาได้ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ตามเงื่อนไขของเจ้าของอาคารและบริษัทรถยนต์ให้เช่า
2. รายการที่ ททท. ขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 – 2566 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 82,486,600 บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเบิกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ แผนงานพื้นฐานด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ผลผลิตการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ งบเงินอุดหนุน รายการค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ทั้งนี้ ททท. ได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว้แล้ว จำนวน 27,397,500 บาท แบ่งเป็น 1) รายการเช่าอาคาร จำนวน 25,273,500 ล้านบาท และ 2) รายการเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล จำนวน 2,124,000 ล้านบาท สำหรับค่าเช่าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2566 จำนวน 55,089,100 บาท ททท. จะจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณตามระเบียบต่อไป
8. เรื่อง ขออนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แห่งที่ 2 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอดำเนินกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนที่จะเป็นผู้รับงานนั้นไปพลางก่อน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างโครงการจ้างก่อสร้างโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แห่งที่ 2 (โครงการฯ) คู่ขนานไปกับการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 มาตรา 49 วรรคสี่ และพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 67 ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ ยธ. (กรมราชทัณฑ์) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สาระสำคัญของเรื่อง
ยธ. รายงานว่า
1. ปัจจุบันจำนวนผู้ต้องขังที่รักษาตัวในโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีจำนวนมากเกินกว่าความสามารถในการรองรับ ทำให้ต้องส่งผู้ต้องขังไปรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งภายนอกเรือนจำ ประกอบกับพื้นที่เขตจตุจักรซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการยังไม่มีโรงพยาบาลของรัฐให้บริการ ยธ. (กรมราชทัณฑ์) จึงมีแผนที่จะเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปในอนาคตด้วย
2. โครงการฯ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
วัตถุประสงค์ |
(1) เพื่อยกระดับการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ให้มีมาตรฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน (2) เพื่อขยายการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังให้เพียงพอกับความต้องการของการรักษาพยาบาล (3) เพื่อให้การรักษาแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์อันจะเป็นสวัสดิการ แก่ข้าราชการ ครอบครัวและเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ (4) เพื่อให้ผู้พ้นโทษมีโอกาสได้รับการจ้างงาน
|
ระยะเวลา |
ระยะเวลาในการดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2565 |
งบประมาณ |
งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น 1,758.87 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้ (1) สำหรับการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แห่งที่ 2 จำนวน 1,122.22 ล้านบาท (2) สำหรับครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ครุภัณฑ์สำนักงาน ครุภัณฑ์สูทกรรม และวัสดุ/อุปกรณ์ในการดำเนินการ จำนวน 636.65 ล้านบาท สำหรับงบประมาณค่าตอบแทนในการควบคุมการก่อสร้าง จะตั้งคำของบประมาณแยกส่วนไป |
สถานที่ |
ภายในบริเวณเรือนจำกลางคลองเปรม กรุงเทพมหานคร |
ลักษณะ การก่อสร้าง |
ประกอบด้วยอาคารจำนวน 4 อาคาร มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน 124 เตียง พร้อม สาธารณูปโภคภายในโครงการ รายละเอียด ดังนี้ (1) อาคาร A (ส่วนรักษาพยาบาล) จำนวน 8 ชั้น พร้อมชั้นดาดฟ้า สูง 45 เมตร พื้นที่อาคาร 31,848.445 ตารางเมตร (2) อาคาร B (ส่วนสนับสนุน) จำนวน 3 ชั้น พร้อมชั้นดาดฟ้า สูง 22.30 เมตร พื้นที่อาคาร 4,050.58 ตารางเมตร (3) อาคาร C (โรงพักขยะ) จำนวน 1 ชั้น สูง 6.85 เมตร พื้นที่อาคาร 313.21 ตารางเมตร (4) อาคาร D (ป้อมยาม) จำนวน 1 ชั้น สูง 3.45 เมตร พื้นที่อาคาร 20.35 ตารางเมตร |
3. แต่โดยที่โครงการฯ เป็นการก่อสร้างโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 60 เตียงขึ้นไป (124 เตียง) ซึ่งกรมราชทัณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA ก่อนเสนอขอความเห็นชอบดำเนินโครงการต่อคณะรัฐมนตรีตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชนกรุงเทพมหานคร (คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ) ได้พิจารณารายงาน EIA โครงการแล้ว ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2563 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติให้กรมราชทัณฑ์และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาตามโครงการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลในรายงาน EIA เช่น ให้เพิ่มเติมแบบขยายทางเข้า – ออก ของโครงการฯ ให้ชัดเจน เป็นต้น โดย วว. จะดำเนินการแก้ไขและเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ อีกครั้ง
4. ปัจจุบันโครงการฯ ได้รับการอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันปี พ.ศ. 2563 – 2565 ซึ่งขณะนี้ใกล้สิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินการในปีงบฯ พ.ศ. 2563 แล้ว แต่โครงการฯ ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณารายงาน EIA ดังนั้น เพื่อมิให้โครงการฯ เกิดความล่าช้าและเป็นการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ยธ. (กรมราชทัณฑ์) จึงขอดำเนินกระบวนการจัดหาผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แห่งที่ 2 คู่ขนานพร้อมกับการจัดทำรายงาน EIA ตามนัยมาตรา 49 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 โดยสงวนสิทธิ์การลงนามในสัญญาไว้และจะยกเลิกการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหากการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แห่งที่ 2 ไม่ผ่านการประเมิน EIA ตามนัยพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 67
9. เรื่อง การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม เลขที่ 1/2522/16 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข S1
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2522/16 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข S1 ออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2574 โดยอาศัยความตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะได้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2522/16 ตามแบบ ชธ/ป3/1 ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. 2555 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติตรวจสอบและควบคุมผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมแปลงสำรวจบนบกทุกรายที่ใช้วิธีขุดเจาะปิโตรเลียมแบบ Hydraulic Fracturing ให้ดำเนินการด้วยความรอบคอบ รัดกุม ได้มาตรฐานสากล รวมถึงเป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และข้อบังคับที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญของเรื่อง
บริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด ผู้รับสัมปทานและผู้ดำเนินงานตามสัมปทานเลขที่ 1/2522/16 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข S1 (พื้นที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และกำแพงเพชร) กำลังจะสิ้นสุดระยะเวลาสัมปทานในวันที่ 14 มีนาคม 2564 บริษัทฯ จึงได้ยื่นคำขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมดังกล่าวอีก 10 ปี ซึ่งกระทรวงพลังงานได้พิจารณาและตรวจสอบโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และการต่อระยะเวลาผลิตสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมแปลงนี้อยู่ภายใต้กติกาและเงื่อนไขที่ใช้เป็นการทั่วไปในปัจจุบัน [พระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532] ซึ่งผู้รับสัมปทานรายนี้ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัมปทานและบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมอย่างครบถ้วนและได้เจรจากับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในเรื่องผลประโยชน์ภายใต้ข้อกำหนด ข้อผูกพันและเงื่อนไขที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งแผนการดำเนินงาน แผนการลงทุน และระยะผลิตที่ขอนั้น คณะกรรมการปิโตรเลียมพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสมและมีสมรรถภาพเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเห็นว่า จะเป็นการรักษาการผลิตน้ำมันดิบ เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานเชื้อเพลิงให้แก่ประเทศ ส่งเสริมการสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่ภาครัฐ จึงมีมติเห็นควรให้บริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2574 โดยให้กระทรวงพลังงานออกเป็นสัมปทานเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2522/16
10. เรื่อง ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสียพื้นที่พัทยานาเกลือ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบป้องกันน้ำท่วม รวม 2 โครงการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณจำนวน 227,512,800 บาท ให้กระทรวงมหาดไทย โดยเมืองพัทยา เพื่อดำเนินการตามโครงการ ดังนี้
1. โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสียพื้นที่พัทยานาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 175,250,000 บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณจำนวน 157,725,000 บาท และเงินรายได้ จำนวน 17,525,000 บาท
2. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบป้องกันน้ำท่วม ถนนสุขุมวิท และถนนเลียบทางรถไฟ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 77,542,000 บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน 69,787,800 บาท และเงินรายได้ จำนวน 7,754,200 บาท
ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 2/2563 ในวันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 ณ จังหวัดระยอง ได้เห็นชอบข้อเสนอโครงการในข้อ 1.2 ด้านการบริหารจัดการน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 1.2.2 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1.) โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ในระบบบำบัดน้ำเสียพื้นที่พัทยานาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 2.) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสถานีสูบป้องกันน้ำท่วมถนนสุขุมวิท และถนนเลียบทางรถไฟ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโรงบำบัดน้ำเสีย พื้นที่พัทยา และสถานีสูบป้องกันน้ำท่วม เพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจในตัวเมืองพัทยาและแนวถนนเลียบทางรถไฟ
11. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดระยอง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 158,133,300 บาท ให้กับกระทรวงมหาดไทย โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภท เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ และใช้เงินรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองสมทบ จำนวน 17,570,300 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 175,703,600 บาท เพื่อดำเนินการโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.ระยอง จำนวน 2 โครงการ [โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ จ.ระยอง (ระยะที่ 3) และโครงการป่าชายเลนในเมือง จ.ระยอง ป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำอัญมณีหนึ่งเดียวในระยอง (ระยะที่3)]
ทั้งนี้ ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันอังคารที่ 25 สิงหาคม 2563 ณ จังหวัดระยอง นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) โดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร ได้แก่
1. โครงการป่าชายเลนในเมืองจังหวัดระยอง ป่าชายเลน พระเจดีย์กลางน้ำอัญมณีหนึ่งเดียวในระยอง (ระยะที่ 2) ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาเร่งรัดโครงการป่าชายเลนในเมือง จังหวัดระยอง ป่าชายเลน พระเจดีย์กลางน้ำ อัญมณีหนึ่งเดียวในระยอง (ระยะที่ 2) เพื่อให้การดำเนินโครงการมีความต่อเนื่องจากระยะที่ 1 ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2563 และให้กระทรวงมหาดไทยประสานสำนักงบประมาณพิจารณาใช้งบประมาณเหลือจ่ายปี พ.ศ. 2563 หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564
2. โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ จังหวัดระยอง ระยะที่ 3 ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาเร่งรัดโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ จังหวัดระยอง (ระยะที่ 3) ทั้งนี้ หากมีแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและพร้อมดำเนินการให้กระทรวงมหาดไทยประสานสำนักงบประมาณพิจารณาใช้งบประมาณเหลือจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
12. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชีวิต และชุมชน
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชีวิต และชุมชนของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยในกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชีวิต และชุมชน มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอแนะเชิงบริหารจัดการโดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ข้อเสนอระยะเร่งด่วน (1 – 6 เดือน) ข้อเสนอระยะกลาง (6 – 12 เดือน) และข้อเสนอระยะยาว (1 – 3 ปี) เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา การให้ความสำคัญต่อบริบทของปัญหา การให้ความสำคัญต่อการจัดหาพื้นที่ขายนอกเหนือจากการจัดทำการค้าในจุดผ่อนผันเท่านั้น ผู้ค้าที่มีรายได้น้อยควรได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากภาครัฐ การคำนึงถึงความปลอดภัยและลดผลกระทบต่อชุมชนที่มีการทำการค้าบนทางเท้า มีการจัดระเบียบในพื้นที่และการจัดระเบียบการทำการค้าบนทางเท้านั้น ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของผู้ค้า ดังนั้น จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้ผู้ค้ามีอาชีพ ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งสินค้า ประชาชนสามารถใช้พื้นที่สาธารณะได้อย่างสะดวกปลอดภัย และที่สำคัญสามารถรักษา “เสน่ห์” ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้เป็นอย่างดี
2. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ มท. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงคมนาคม (คค.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
มท. โดย กทม. รายงานว่า ได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยพิจารณาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอแนะเชิงบริหารจัดการของคณะกรรมาธิการฯ แล้วสรุปผล ดังนี้
1. มาตรการระยะเร่งด่วน (1 – 6 เดือน)
1.1 กทม. ให้ทุกสำนักงานเขตที่จะยกเลิกจุดผ่อนผันนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณายกเลิกของคณะกรรมการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยระดับเขต โดยได้จัดหาสถานที่รองรับผู้ค้า เพื่อให้สามารถประกอบการค้าได้ต่อไปในพื้นที่หรือตลาดของราชการและเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ขายเดิม และได้ช่วยเจรจากับเจ้าของตลาดให้ยกเว้นเงินกินเปล่า และยกเว้นค่าเช่าใน 3 – 6 เดือนแรก โดยให้คิดค่าเช่าและค่าสาธารณูปโภคในอัตราต่ำสุด รวมทั้งให้มีระยะเวลาการเช่ายาวพอควรสามารถรองรับผู้ค้าได้ถึง 12,809 ราย ซึ่งการจัดระเบียบผู้ค่าในทางเท้า ประชาชนผู้ใช้ทางเท้า สังคมส่วนใหญ่และสื่อมวลชนเห็นด้วยกับการจัดระเบียบผู้ค้าที่เข้าไปทำการค้าในสถานที่ที่ กทม. จัดให้ สามารถทำการค้าได้ทุกวันตลอดเวลาไม่เสียค่าคุ้มครองและได้รับสิทธิพิเศษ รวมทั้งทำให้ผู้ประกอบการตลาดเอกชนประสบความสำเร็จ
1.2 กทม. โดยสำนักพัฒนาชุมชนได้จัดทำโครงการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ Bangkok Brand สู่ Online โดยประสานความร่วมมือเว็บไซต์ liwshop.com และ shopee.co.th เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าแก่ผู้ค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ และจัดให้มีคณะกรรมการที่มีโครงสร้างแบบประชารัฐ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ คณะกรรมการระดับนโยบายและคณะกรรมการระดับพื้นที่มีหน้าที่พิจารณากำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาหาบเร่แผงลอยบนทางเท้า กทม. ได้ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนจัดโครงการถนนคนเดิน (Walking Street) ขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปรากฏว่ามีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จึงได้เลื่อนการจัดงานถนนคนเดินออกไป ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) กลับเข้าสู่สภาวะปกติจะพิจารณาดำเนินการจัดให้มีกิจกรรมดังกล่าวต่อไป
1.3 ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ได้รับอนุญาตในพื้นที่ผ่อนผันจะต้องยื่นขอรับใบอนุญาตทำการค้าตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข ค่าธรรมเนียมปีละ 500 บาท กรณีข้อเสนอแนะให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยจ่ายค่าตอบแทนการใช้พื้นที่สาธารณะให้แก่รัฐ กทม. จะได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาต่อไป และ กทม. ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับสิทธิเข้าทำการค้าโดยคำนึงถึงผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาสให้เข้าถึงแหล่งทุนโดยกระทรวงการคลังประสานงานกับธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือ อาทิ ธนาคารออมสิน รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การค้า ทั้งนี้ กทม. ให้ความสำคัญในการจัดระเบียบผู้ค้าหาบเร่แผงลอยให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขอย่างเคร่งครัด และกำหนดมาตรการให้ผู้ค้ามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ที่ตนค้าขายอยู่ โดยผู้ค้าจะต้องควบคุมและรับผิดชอบร่วมกัน เช่น หากผู้ค้ารายใดรายหนึ่งทำผิดเงื่อนไข กทม. จะสั่งให้ระงับการทำการค้าผู้ค้ารายนั้นอย่างน้อย 1 เดือน หากพบว่า ยังมีผู้ค้าฝ่าฝืนอีก จะระงับการเข้าทำการค้าทั้งหมดอย่างน้อย 1 เดือน และหากพบว่ายังมีการฝ่าฝืนอีก จะยกเลิกพื้นที่ทำการค้าเป็นการถาวร
2. มาตรการระยะกลาง (6 – 12 เดือน)
2.1 กทม. จะพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย กทม. มท. คค. กค. กก. ตช. สศช. กองบัญชาการตำรวจนครบาล และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินการตามที่คณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภา เสนอแนะต่อไป พิจารณาศึกษาปรับแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาจัดให้มีกลไกเพื่อปรับสมดุลระหว่างผู้ใช้รถกับผู้สัญจรบนทางเท้าเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในมิติต่าง ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน
2.2 คณะกรรมการระดับนโยบายและคณะกรรมการระดับพื้นที่พิจารณาจุดผ่อนผัน และ กทม. จะแสวงหาพื้นที่ว่างของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่รองรับความต้องการของผู้ค้า ประชาชน และชุมชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาขอใช้พื้นที่ว่างของการพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมธนารักษ์ ฯลฯ หากหน่วยงานดังกล่าวอนุญาตจะเร่งรัดดำเนินการพัฒนาพื้นที่เป็นจุดทำการค้าให้ผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส และผู้ค้าที่ได้รับผลกระทบจากการจัดระเบียบได้เข้าทำการค้า
3. มาตรการระยะยาว (1 – 3 ปี)
3.1 กทม. ร่วมกับ มท. คค. กค. กก. ตช. สศช. กองบัญชาการตำรวจนครบาลและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าในที่สาธารณะ ลงวันที่ 28 มกราคม 2563 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการหาบเร่แผงลอย เพื่อกำกับดูแลให้ผู้ค้าทำตามกฎหมาย และเพื่อสร้างขีดความสามารถและศักยภาพในการประกอบอาชีพ
3.2 ประกาศกรุงเทพมหานครดังกล่าวได้กำหนดแนวทางและวิธีการจัดทำประชาพิจารณ์ หรือสำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียต่อการค้าขายของหาบเร่แผงลอย 4 กลุ่ม ที่อยู่ในรัศมี 500 เมตร คือ ผู้ใช้ทางเท้าในการสัญจร ผู้มีสถานที่พักอาศัยในบริเวณนั้น ผู้มีสถานที่ทำงานในบริเวณนั้น และเจ้าของอาคารสถานประกอบการในบริเวณนั้น โดยให้สถาบันการศึกษาหรือสำนักงานเขตพื้นที่ดำเนินการรับฟังความคิดเห็น
3.3 กทม. ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในหลายมิติ อาทิ การปรับภูมิทัศน์จุดส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ เช่น ถนนข้าวสาร ซึ่งได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และจะขยายการปรับภูมิทัศน์พื้นที่อื่น เช่น ถนนไกรสีห์ ถนนตานี ถนนรามบุตรี บริเวณท่าน้ำวังหลัง และพื้นที่อื่นที่มีเอกลักษณ์ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยประสานความร่วมมือกับสถาบันศึกษา ตลอดจนนักวิชาการและกลุ่มจิตอาสาอื่น ๆ ร่วมกันคิดสร้างสรรค์ออกแบบแผงค้า หรืออุปกรณ์การค้าให้มีอัตลักษณ์โดดเด่นของแต่ละพื้นที่
13. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานว่า
1. ในปัจจุบันผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งในส่วนของธุรกิจเอกชนและรัฐวิสาหกิจจำนวนมากได้ละเมิดการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพาดสายและหรือติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมบนเสาไฟฟ้าของ กฟน. และ กฟภ. เช่น การลักพาดสายโดยไม่ได้รับอนุญาต การพาดสายสื่อสารไม่มีการรวบรัดสายให้เป็นระเบียบ ไม่มีการคัดแยกสายที่พาดโดยไม่ได้รับอนุญาตออกจากสายที่ได้รับอนุญาตหรือทำตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง การใช้สายที่ไม่มีแถบสีตามที่กำหนด การนำสายสื่อสารสำรองที่เหลือใช้ม้วนเป็นวงกลมแขวนทิ้งไว้บนเสาไฟฟ้า การปล่อยทิ้งสายที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว (สายที่ชำรุดเสื่อมสภาพหรือลูกค้ายกเลิกใช้บริการ) ปะปนกับสายที่ใช้งานบนเสาไฟฟ้า โดยไม่รื้อถอน เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่ กฟน. และ กฟภ. ไม่ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำละเมิดและรื้อถอนสายที่ละเมิดออกจากเสาไฟฟ้าแต่อย่างใด
2. เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) ได้ชี้แจงถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคต่อการจัดระเบียบสายสื่อสารโทรคมนาคมที่พาดอยู่บนเสาไฟฟ้าของ กฟน. และ กฟภ. ต่อคณะกรรมการเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562 สรุปได้ว่า ปัญหาสายสื่อสารที่พาดอยู่บนเสาไฟฟ้ามีปริมาณมากและขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยจนส่งผลกระทบต่อทัศนียภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนนั้น เนื่องจากสายสื่อสารที่พาดอยู่บนเสาไฟฟ้าในขณะนี้ กว่าร้อยละ 50 เป็นสายที่ไม่ได้ใช้งานแล้วซึ่งมีทั้งสายโทรศัพท์บ้าน รวมทั้งสายเคเบิลทีวีต่าง ๆ ที่พาดกันมาในอดีต เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากต้องรื้อสายสื่อสารลงมาทั้งหมด ดังนั้น การดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารที่ไม่ได้ใช้งานแล้วจึงมีความจำเป็นที่ทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องประสานการปฏิบัติงานและกำกับดูแลงานร่วมกัน
ทั้งนี้ เลขาธิการ กสทช. ได้หยิบยกกรณีการจัดระเบียบสายสื่อสารในซอยพหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) ซึ่งถือเป็นต้นแบบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสายสื่อสารรกรุงรังขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นเกิดจากความร่วมมือของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร สำนักงาน กสทช. กฟน. รวมทั้งผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยสำนักงาน กสทช. จะมีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. รวมทั้งกรุงเทพมหานครและ กฟน. ร่วมกันสำรวจสายทั้งหมด ซึ่งจะดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 โดยหากพบว่าสายเส้นใดไม่มีผู้มาแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของหรือไม่ได้ใช้งานแล้ว ก็จะดำเนินการรื้อถอนออกทันที และภายหลังจากที่ได้มีการดำเนินการดังกล่าวพบว่า สายสื่อสารที่ใช้งานอยู่จริงที่พาดอยู่บนเสาไฟฟ้าเหลืออยู่เพียงไม่กี่เส้นเท่านั้น
3. คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ถึงแม้ว่าการจัดระเบียบสายสื่อสารนั้น อาจไม่ใช่การดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตโดยตรง แต่ถือเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันปัญหาการทุจริต ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐปล่อยปละละเลย ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่กระทำการพาดสายและหรือติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมบนเสาไฟฟ้าของการไฟฟ้าโดยมิชอบด้วยกฎหมาย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นควรกำหนดนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคมบนเสาไฟฟ้าของ กฟน. และ กฟภ. โดยเห็นควรให้มีการนำกรณีการจัดระเบียบสายสื่อสารที่ไม่ได้ใช้งานแล้วในซอยพหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) เขตพญาไท มาเป็นต้นแบบในการดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารที่ไม่ได้ใช้งานแล้วทั่วประเทศ
14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2563 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. โครงการสำคัญของ ดศ. ตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561 – 2580) คณะกรรมการฯ ได้รับทราบเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น
1.1 ผลการดำเนินงานด้านกิจการอวกาศของประเทศไทย เช่น การบริหารจัดการทรัพย์สินภายหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาฯ และร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงรายละเอียดเพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยมุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการให้บริการดาวเทียมและอุปกรณ์ภาคพื้นดินของภูมิภาค
1.2 การดำเนินโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Services: GDCC) ปัจจุบันมี 95 หน่วยงานที่ดำเนินการนำระบบขึ้นใช้บริการบน GDCC แล้ว
1.3 โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ดศ. ได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สำรวจโรงเรียนและโรงพยาบาลที่ยังไม่มีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อขยายและปรับปรุงโครงข่าย โดยพบว่ามีโรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจำนวน 1,187 แห่ง และโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและสุขศาลาพระราชทานจำนวน 484 แห่ง (ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563)
1.4 การดำเนินงานของ ดศ. ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ได้แก่ การจัดทำพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการติดตามและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในประเทศไทย (เช่น หมอชนะ ไทยชนะ) และอาสาสมัครดิจิทัลซึ่งเป็นเครือข่ายชุมชน เพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19
2. ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 เช่น การจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล แนวทางการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อน 5G การพัฒนาและส่งเสริมระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นด้านดิจิทัลสู่การเป็น ASEAN Digital Startup Hub และการเปิดรับข้อเสนอโครงการ/กิจกรรมของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19
3. (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ในระดับรัฐเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์ พ.ศ. .... คณะกรรมการมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศฯ ดังกล่าว และให้ ดศ. นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
4. การนำสายสื่อสารลงใต้ดิน
4.1 คณะกรรมการฯ มีมติรับทราบการดำเนินการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 12 เส้นทาง และในส่วนการสนับสนุนค่าเช่าท่อร้อยสายสื่อสารลงใต้ดิน ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระในการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน
4.2 คณะกรรมการฯ มีมติรับทราบข้อเสนอเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษาโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานครของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมีการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะดังกล่าว เช่น การตั้งคณะทำงานบริหารจัดการสายสื่อสารลงใต้ดิน ซึ่งมอบให้ ดศ. และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลัก เพื่อให้การบริหารจัดการท่อร้อยสายสื่อสารเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
15. เรื่อง รายงานผลการชดเชยส่วนต่างราคาหน้ากากอนามัย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ รายงานผลการชดเชยส่วนต่างราคาหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (17 มีนาคม 2563) เห็นชอบให้ พณ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปึงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อชดเชยต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการหน้ากากอนามัยไปยังสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่ง พณ. ได้รับจัดสรรงบประมาณค่าชดเชยส่วนต่างราคาหน้ากากอนามัยให้ผู้ผลิต 11 ราย จำนวน 108 ล้านบาท สรุปผลการดำเนินการได้ดังนี้
1. พณ. โดยกรมการค้าภายในได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการชดเชยส่วนเกินราคาหน้ากากอนามัย (คณะกรรมการฯ) โดยได้ดำเนินการดังนี้
1.1 ออกประกาศเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาการชดเชยส่วนเกินราคาหน้ากากอนามัยให้โรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัย ตามโครงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยให้เพียงพอและเป็นธรรม
1.2 จัดประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 เพื่อพิจารณาเงินชดเชยให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยให้เพียงพอและเป็นธรรม (ตั้งแต่วันที่ 6-29 มีนาคม 2563) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.2.1 การผลิตหน้ากากอนามัย มีผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จำนวน 9 ราย (จากเดิมมีผู้ผลิต 11 ราย แต่เนื่องจากมีผู้ผลิต 2 รายที่เป็นผู้ผลิตหน้ากากอนามัยชนิค 3D) ที่ได้รับจัดสรรหน้ากากอนามัยตามคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตั้งแต่วันที่ 6-29 มีนาคม 2563 รวมจำนวนทั้งสิ้น 39,566,500 ชิ้น ประกอบด้วย
บริษัท |
จำนวนหน้ากากอนามัย (ชิ้น) |
1. บริษัท ไทยฮอสพิทอล โปรดักส์ จำกัด |
11,470,000 |
2. บริษัท เมด-คอน (ประเทศไทย) จำกัด |
9,801,500 |
3. บริษัท ทรู ไลน์ เมด จำกัด |
8,888,000 |
4. บริษัท เอ็น.เอ็น.สกายเทรด จำกัด |
2,991,000 |
5. บริษัท ไอรีมา (ประเทศไทย) |
1,250,000 |
6. บริษัท เท็กซ์ไทล์เพรสทีจ จำกัด (มหาชน) |
1,211,000 |
7. บริษัท ไอโอเซฟ โปรดักส์ จำกัด |
1,225,000 |
8. บริษัท ท๊อป โฮลซัม จำกัด |
1,030,000 |
9. บริษัท เอ็มเมอรัลด์ นอนวูเว่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด |
1,700,000 |
1.2.2 การยื่นขอรับการชดเชย เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการยื่นขอรับการชดเชยส่วนเกินราคาหน้ากากอนามัย (วันที่ 18 พฤษภาคม 2563) พบว่า
1.2.2.1 ผู้ผลิต 2 ราย ได้แก่ บริษัท เอ็น.เอ็น.สกายเทรด จำกัด และบริษัท ไทยฮอสพิทอล โปรดักส์ จำกัด ขอรับการชดเชยส่วนเกินราคาหน้ากากอนามัย
1.2.2.2 ผู้ผลิต 1 ราย คือ บริษัท ท็อป โฮลซัม จำกัด ไม่ขอรับการชดเชยราคาหน้ากากอนามัย เนื่องจากในช่วงวันที่ 6-29 มีนาคม 2563 บริษัทยังมีวัตถุดิบคงเหลือบางชนิดและเป็นราคาเดิม ยกเว้นวัตถุดิบบางชนิดที่ปรับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งบริษัทสามารถบริหารจัดการได้
1.2.2.3 มีผู้ผลิต 6 ราย ไม่แจ้งขอรับการชดเชย
2. กรมการค้าภายในได้พิจารณาตรวจสอบเอกสารหลักฐานของผู้ผลิตที่ขอรับการชดเชยจำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัท เอ็น.เอ็น.สกายเทรด จำกัด และบริษัท ไทยฮอสพิทอล โปรดักส์ จำกัด พบว่าไม่เป็นไปตามหลักกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจ่ายเงินชดเชยที่จะต้องคำนวณส่วนต่างที่จะชดเชยให้โรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัยระหว่างต้นทุนการผลิตกับราคาขายส่งหน้ากากอนามัย (ชิ้นละ 2 บาท) ซึ่งจะจ่ายชดเชยให้ในส่วนของต้นทุนที่สูงกว่าราคาขายตามความเป็นจริงแต่ไม่เกินชิ้นละ 1 บาท ดังนั้น กรมการค้าภายในจึงไม่จ่ายเงินชดเชยส่วนเกินราคาหน้ากากอนามัยให้โรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 2 ราย ทั้งนี้ ได้แจ้งผลพิจารณาการชดเชยส่วนเกินราคาหน้ากากอนามัยให้บริษัทดังกล่าวทราบด้วยแล้ว ซึ่งบริษัทสามารถยื่นอุทธรณ์ผลการพิจารณาต่ออธิบดีกรมการค้าภายในได้ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งผลปรากฏว่าไม่มีบริษัทใดแจ้งยื่นอุทธรณ์ผลการพิจารณาดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ จำนวน 108 ล้านบาท ซึ่ง พณ. โดยกรมการค้าภายในได้ประสานส่งคืนกรอบวงเงินงบประมาณกับ สงป. ตามขั้นตอนแล้ว
16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2563 และครั้งที่ 21/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2563 และครั้งที่ 21/2563 ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ และพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่ อสม. และ อสส.รวมจำนวนไม่เกิน 1,050,306 คนต่อเดือน ระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ถึงธันวาคม 2563 กรอบวงเงินไม่เกิน 1,575.4590 ล้านบาท และใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1.1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
2. อนุมัติโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยปรับลดจากกรอบวงเงินไม่เกิน 21,761.4350 ล้านบาท เป็น 19,462.0017 ล้านบาท และใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 3.3 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
3. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ 1 และ 2 ดำเนินการ ดังนี้
3.1 ดำเนินโครงการให้เป็นไปหลักการทั้ง 8 ข้อของคณะกรรมการฯ โดยเฉพาะในประเด็นการจัดซื้อจัดหาครุภัณฑ์ที่ต้องดำเนินการประมาณค่าใช้จ่ายเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการโดยเคร่งครัด
3.2 จัดทำประมาณการความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
3.3 รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงปัญหาอุปสรรค โดยจัดส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนดภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
3.4 ประสานกับกระทรวงการคลังในการรายงานขีดความสามารถในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดฯ ด้วย
4. อนุมัติการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรทดแทนผู้เสียชีวิตที่มีสิทธิโครงการฯ ที่ได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของโครงการฯ และหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนของหน่วยงานรับผิดชอบ จำนวน 5,278 ราย โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มดังกล่าวเป็นภายในวันที่ 30 กันยายน 2563
5. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ของสถาบันวิทยาลัยชุมชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดยโสธร ที่ไม่สามารถใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2563 ได้ พร้อมทั้งเห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดยโสธร ดำเนินโครงการรวม 7 โครงการ กรอบวงเงิน 13,949,305 บาท ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ตามขั้นตอนต่อไป
17. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน 2,521,273,200 บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 รวม 96 วัน หรือจนกว่าสิ้นสุดระยะเวลาตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
18. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามนโยบายของรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 319,589,300 บาท ให้กระทรวงกลาโหมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามภารกิจในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ โรงพยาบาลสนาม และโรงพยาบาลเฉพาะโรค ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ประกอบด้วย
1. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง วเงิน 206,436,920 บาท ประกอบด้วย
1.1 กองทัพบก วงเงิน 185,623,200 บาท
1.2 กองทัพเรือ วงเงิน 10,229,120 บาท
1.3 กองทัพอากาศ วงเงิน 10,584,600 บาท
2. ค่าใช้จ่ายในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ โรงพยาบาลสนาม และ โรงพยาบาลเฉพาะโรค ของกองทัพเรือ วงเงิน 113,152,380 บาท
19. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ 4
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 460,048,700 บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ระยะที่ 4 สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) ระยะที่ 4 ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
20. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน จำนวน 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกันยายน 2563) ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 677,791,100 บาท ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) สำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน จำนวน 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกันยายน 2563) ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
สาระสำคัญ
กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ได้ร่วมประชุมและพิจารณาอัตราเงินเพิ่มพิเศษ หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ การเบิกจ่ายเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้มีมติร่วมกัน ดังนี้
1) อัตราเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน จำนวน 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกันยายน 2563) ให้กำหนดเป็น 2 ระดับ ได้แก่
1.1) กำนันและผู้ใหญ่บ้าน ให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษในอัตรา 500 บาทต่อเดือน
1.2) แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ ให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษในอัตรา 300 บาทต่อเดือน
2) กำหนดจำนวนผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน โดยใช้ข้อมูลในระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ณ วันที่ 1 กันยายน 2563 รวมทั้งสิ้น 273,321 คน
3) เห็นชอบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติการเบิกจ่ายเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) กำหนด เนื่องจากกรมการปกครองเป็นหน่วยส่งเงินจัดสรรงบประมาณให้แก่ทุกจังหวัดเพื่อเบิกจ่ายให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ
4) ให้ขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับเบิกจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน จำนวน 7 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกันยายน 2563) ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ จำนวน 273,321 คน เป็นเงินจำนวน 677,791,100 บาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
21. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอก 2
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอก 2 จำนวน 204,457,100 บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ทั้งนี้ สธ. เสนอว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกโดยข้อมูล ณ วันที่ 22 กันยายน 2563 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม จำนวนทั้งสิ้น 31,468,646 ราย เสียชีวิต 968,840 ราย โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยยืนยันสะสม จำนวน 3,511 ราย เสียชีวิต 59 ราย อยู่ในระหว่างพักรักษา จำนวน 109 ราย รักษาหายแล้ว จำนวน 3,343 ราย โดยประเทศไทยได้ยกระดับการแจ้งเตือนโรคในผู้เดินทางให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด ติดตามสถานการณ์โรคทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการทรัพยากร เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวังค้นหาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มาจากต่างประเทศ ทั้งการคัดกรอง ณ ช่องทางเข้าออกประเทศที่ท่าอากาศยานนานาชาติ 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ และเชียงราย และรัฐบาลมีนโยบายให้ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศต้องกักตัวประมาณ 14 วัน ณ สถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้ในระดับประเทศ (National State Quarantine) และระดับจังหวัด (Local State Quarantine) เพื่อให้การดูแลประชาชนไทยและผู้เดินทางจากต่างประเทศให้ปลอดภัยตามหลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งลดความเสี่ยงของประชาชนไทย บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติและสัมผัสกับผู้ป่วยด้านการสอบสวนโรคการรักษาได้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้สามารถควบคุมการระบาดของโรคที่อาจเกิดขึ้นในระลอก 2 ให้อยู่ในวงจำกัด ลดโอกาสการแพร่เชื้อเข้าสู่ประเทศ ลดผลกระทบทางสุขภาพ รวมถึงสามารถดูแลคนไทยและผู้เดินทางจากต่างประเทศให้ปลอดภัยจาก โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามหลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงสาธารณสุข จึงจัดทำโครงการเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ : กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอก 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
22. เรื่อง การขยายเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 1,423.5 ล้านบาท ให้แก่กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม สำหรับการดำเนินมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม กระทรวงการคลัง เสนอ
สาระสำคัญ
การขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาฯ มีรายละเยด ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้มีบัตรฯ อย่างต่อเนื่อง
2. วิธีดำเนินการ
การขยายเวลามาตรการบรรเทาฯ จะเป็นการดำเนินการคงเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กรณีค่าไฟฟ้า ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือนติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่หากใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือนให้ใช้สิทธิตามมาตรการนี้ในวงเงิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีบัตรฯ เป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด
2.2 กรณีค่าน้ำประปา ให้ใช้น้ำประปาในวงเงิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีบัตรฯ เป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด
ทั้งนี้ ผู้มีบัตรฯ ต้องนำใบแจ้งค่าไฟฟ้าและใบแจ้งค่าน้ำประปาไปชำระที่สำนักงานการไฟฟ้านครหลวง สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ สำนักงานการประปานครหลวง และสำนักงานการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งแสดงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยทุกสิ้นเดือนการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กิจการไฟฟ้า สวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค จะส่งบันทึกรายชื่อผู้มีบัตรฯ ที่ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาภายใต้วงเงินที่กำหนดให้กรมบัญชีกลาง เพื่อที่กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (กองทุนประชารัฐฯ) มาจ่ายคืนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (ช่อง e-Money)
นอกจากนี้ กรณีค่าน้ำประปาจะมีการพิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น ประปาหมู่บ้าน เป็นต้น
3. กลุ่มเป้าหมาย ผู้มีบัตรฯ จำนวนประมาณ 13.9 ล้านคน คิดเป็นครัวเรือนประมาณ 8 ล้านครัวเรือน (1 ครัวเรือนใช้ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น)
4. ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 ถึงเดือนกันยายน 2564 รวมเป็นระยะเวลา 12 เดือน
5. งบประมาณ ประมาณการสำหรับค่าไฟฟ้าจำนวน 1,390 ล้านบาทต่อปี ประมาณการสำหรับค่าน้ำประปาจำนวน 33.5 ล้านบาทต่อปี งบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,423.5 ล้านบาทต่อปี โดยขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่กองทุนประชารัฐฯ
ทั้งนี้ คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (คณะกรรมการฯ) ในการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 มีมติเห็นชอบให้นำเรื่องการขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
23. เรื่อง การกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตำรวจทางหลวง) สำนักงาน ก.พ. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมโรงแรมไทย สมาคมผู้ประกอบการขนส่งทั่วไทย และสายการบินไทยแอร์เอเชีย มาร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับการกำหนดให้มีวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุม 2502 ตึกบัญชาการ 2 ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวร่วมกับปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการบริหารจัดการของภาครัฐและเอกชนแล้ว สรุปข้อเสนอของที่ประชุม ดังนี้
1. ผู้ประกอบการภาคเอกชนทุกรายเห็นด้วยกับนโยบายการเพิ่มวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศทดแทนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยเสนอแนะแนวทางทั่วไปว่า
1.1 หากจะมีวันหยุดราชการป็นกรณีพิเศษ ควรประกาศกำหนดล่วงหน้านานพอสมควร เพื่อความสะดวกในการเตรียมตัวทั้งในฝ่ายผู้ประกอบการและผู้เดินทาง
1.2 การส่งเสริมการเดินทางในวันทำการที่กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการพิเศษมีประโยชน์มากกว่าการเดินทางท่องเที่ยวในวันเสาร์อาทิตย์ เพราะปกติก็มีการเดินทางและการสร้างรายได้อยู่แล้ว ทั้งทำให้การจราจรหนาแน่นเกินควร
1.3 การกำหนดวันหยุดราชการพิเศษควรคำนึงถึงการเดินทางเป็นครอบครัวจึงควรพิจารณาช่วงวันปิดภาคการศึกษา โดยคำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศ และเทศกาลต่าง ๆ ประกอบด้วย
2. การกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษในเดือนตุลาคม 2563
เดือนตุลาคม 2563 มีวันหยุดราชการในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 และวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 จำนวน 2 วันอยู่แล้ว ซึ่งเพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับเดือนนี้ ที่ประชุมจึงเห็นควรไม่กำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษสำหรับเดือนตุลาคม 2563
แต่โดยที่เดือนนี้ส่วนราชการต่าง ๆ มีกำหนดจัดพิธีถวายผ้ากฐิน ณ วัดต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จึงควรใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐ โดยให้สำนักงาน ก.พ. แจ้งเวียนหน่วยงานของรัฐกรณีมีกำหนดการถวายผ้ากฐิน ณ วัดต่างจังหวัดในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ซึ่งข้าราชการอาจต้องเดินทางไปเตรียมการล่วงหน้าในวันศุกร์ หรือเดินทางกลับในวันจันทร์ ก็ให้ถือเป็นการปฏิบัติราชการตามปกติโดยไม่ถือเป็นการลาสำหรับหน่วยงานนั้น
ทั้งนี้ เลขาธิการ ก.พ. ได้เสนอว่า สำนักงาน ก.พ. จะได้จัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐ ด้วยการสนับสนุนให้มีการจัดประชุม อบรม สัมมนา และการปฏิบัติราชการในต่างจังหวัดในช่วงปีงบประมาณ 2564 ซึ่งเป็นการขยายแนวคิดจาก work from home เป็น work anywhere ต่อไป
3. การกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษในเดือนพฤศจิกายน 2563
เดือนพฤศจิกายน 2563 ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่ประชุมจึงเห็นสมควรเสนอรัฐบาลให้กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเติมเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยในเดือนนี้ โดยเห็นควรกำหนดให้มีวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษในวันพฤหัสบดีที่ 19 และวันศุกร็ที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดราชการต่อเนื่องไปถึงวันเสาร์ – วันอาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 19 – 22 พฤศจิกายน 2563 รวมทั้งสิ้น 4 วัน
ทั้งนี้ การกำหนดให้มีวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษดังกล่าว ไม่ถือเป็นวันหยุดราชการประจำปีและไม่จำเป็นต้องถือเป็นวันหยุดตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทานฯ ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ในการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษในวันหยุดราชการประจำปีและวันหยุดนักขัตฤกษ์
4. การกำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษในเดือนธันวาคม 2563
เดือนธันวาคม 2563 มีวันหยุดราชการในวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563 (วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษารัชกาลที่ 9) ซึ่งจะหยุดชดเชยในวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 วันพฤหัสที่ 10 ธันวาคม 2563 (วันรัฐธรรมนูญ) และวันหยุดสิ้นปีต่อเนื่องปีใหม่ตั้งแต่ วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวามคม 2563 ถึงวันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 และโดยที่เดือนนี้อาจจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศในวันอาทิตย์ของสัปดาห์ใดสัปดาห์หนึ่งของของเดือนตามที่กระทรวงมหาดไทยเตรียมการอยู่ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้เสนอให้เลื่อนวันหยุดชดเชยจากวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 ไปหยุดชดเชยในวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดราชการต่อเนื่องรวม 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 – 13 ธันวาคม 2563 โดยหากมีการกำหนดวันเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศในช่วงนี้ การกำหนดวันหยุดราชการต่อเนื่อง 4 วันจะช่วยให้ประชาชนสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อเลือกตั้งท้องถิ่น อันเป็นการส่งเสริมการดำเนิการกิจกรรมตามระบอบประชาธิปไตยอีกทางหนึ่งด้วย
อนึ่ง การกำหนดวันหยุดพิเศษเหล่านี้ ควรให้บางหน่วยงานที่อาจมีการนัดประชาชนไว้แล้ว สามารถพิจารณาตามความเหมาะสมได้ เช่น โรงพยาบาล ศาล ธนาคาร สถาบันการเงิน
5. แนวทางการดำเนินการต่อไป
เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนสืบสานรักษาเทศกาลประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของแต่ละภูมิภาค ที่ประชุมได้เสนอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปศึกษาเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาคตามเทศกาลประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญของแต่ละภูมิภาค ซึ่งไม่มีนัยสำคัญต่อภูมิภาคอื่น เช่น ประเพณียี่เป็งของภาคเหนือ ประเพณีไหลเรือไฟของภาคอีสาน ประเพณีสารทเดือนสิบของภาคใต้ และควรทำตารางกิจกรรมท่องเที่ยวของแต่ละท้องที่ในแต่ละเดือน โดยอาจหารือกระทรวงวัฒนธรรมด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เสนอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปศึกษาเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการครึ่งวันเป็นกรณีพิเศษ เช่น ครึ่งบ่ายของวันศุกร์ และครึ่งเช้าของวันจันทริ์ ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมเสนอว่าจะช่วยให้ได้ประโยชน์จากระยะเวลาการพำนักที่ยาวนานขึ้น
24. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 30,000 ล้านบาทให้กระทรวงการคลัง เพื่อดำเนินการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาล และการดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการลงทะเบียนฯ) รอบใหม่และการจดสรรสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรฯ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสำคัญ
1.1 เหตุผลและความจำเป็น
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 8 และ 22 พฤศจิกายน 2559 และ 28 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/2560 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และ ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว โดยมียอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 จำนวน 24,685,394,570.29 บาท
1.2 สาระสำคัญ
เพื่อลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลสำหรับมาตรการดังกล่าวซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 24,685,394,570.29 บาท ไม่ให้สูงจนเกินไป กระทรวงการคลังจึงเห็นควรใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลของโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/2560 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท ให้แก่ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจต่อไป
2. โครงการลงทะเบียนฯ รอบใหม่และการจัดสรรสวัสดิการผ่านบัตรฯ
2.1 เหตุผลและความจำเป็น
การดำเนินโครงการลงทะเบียนฯ ที่ผ่านมายังมีกลุ่มตกหล่นที่ไม่สามารถเข้าถึงโครงการลงทะเบียนฯ ได้ อีกทั้งโครงการลงทะเบียนฯ ได้มีการดำเนินการมาเป็นระยะหนึ่ง ซึ่งอาจไม่สะท้อนความเป็นผู้มีรายได้น้อย ณ เวลาปัจจุบัน และอาจทำให้มีทั้งผู้ที่สมควรได้รับบัตรฯ แต่ไม่ได้รับบัตรฯ (Exclusion Error) และมีผู้มีบัตรฯ ที่ไม่ควรได้รับบัตรฯ (Inclusion Error) จำนวนหนึ่ง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจของผู้มีรายได้น้อย
2.2 สาระสำคัญ
เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการระบุตัวผู้มีรายได้น้อย และมีข้อมูลเป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา (Dynamic Data) ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการสังคมของภาครัฐ จึงเห็นควรให้ดำเนินโครงการลงทะเบียนฯ รอบใหม่ ซึ่งจากสถานการณ์ COVID-19 จึงคาดว่า จะมีผู้ผ่านคุณสมบัติผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนฯ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งให้มีงบประมาณรองรับสำหรับการจัดสรรสวัสดิการที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ผู้มีบัตรฯ ดังนั้น เพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังจึงเห็นควรใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 10,000 ล้านบาท ให้แก่กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศษฐกิจฐานรากและสังคม (กองทุนประชารัฐฯ)
ผลกระทบ
1. ลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลเพื่อให้ยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลสำหรับโครงการดังกล่าวไม่ให้สูงจนเกินไป และเพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้ ธ.ก.ส. นำมาหมุนเวียนในการช่วยเหลือเกษตรกรให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและการช่วยเหลือตามมาตรการต่าง ๆ
2. สามารถดำเนินโครงการลงทะเบียนฯ รอบใหม่และการจัดสรรสวัสดิการผ่านบัตรฯ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการระบุตัวผู้มีรายได้น้อย และมีข้อมูลเป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา (Dynamic Data) ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการสังคมของภาครัฐ พร้อมทั้งมีงบประมาณรองรับสำหรับการจัดสรรสวัสดิการที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ผู้มีบัตรฯ
ต่างประเทศ
25. เรื่อง การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับองค์การสุขภาพสัตว์โลกว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับองค์การสุขภาพสัตว์โลกว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ (MoU between the Association of Southeast Asian Nations and the World Organization for Animal Health on Technical Cooperation) และเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับองค์การสุขภาพสัตว์โลกว่าด้วยความร่วมมือทางวิชชาการ และอนุมัติในหลักการว่าก่อนที่จะมีการลงนาม หากมีการแก้ไขในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของเลขาธิการอาเซียน โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวข้างต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับองค์การสุขภาพสัตว์โลกว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขอบข่ายงานทั่วไป (เช่น การจัดการด้านการเงิน แนวทางการดำเนินกิจกรรมร่วมกัน แนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา) เพื่อให้ประเทศที่เข้าร่วมสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันผ่านความร่วมมือทางวิชาการ ดังนี้
1. เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางวิชาการด้านสุขภาพสัตว์ในการควบคุมและป้องกันโรคระบาดสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ตามหลักระบาดวิทยาทางสัตวแพทย์
2. เพื่อพัฒนามาตรฐานและอำนวยความสะดวกด้านการค้าสัตว์และสินค้าปศุสัตว์ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงและปลอดภัยด้านอาหาร ด้านสุขภาพสัตว์และมนุษย์ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและการดำรงชีวิตของประชาชนแห่งอาเซียน
3. เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการบริการทางสัตวแพทย์ภายในภูมิภาคอาเซียน
4. การดำเนินโครงการและกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว ขึ้นอยู่กับแหล่งงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนในขณะนั้น
5. บันทึกความเข้าใจจะมีผลบังคับใช้ในวันที่มีการลงนาม และจะมีผลบังคับใช้ต่อเนืองไปอีก 5 ปี เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังผู้เข้าร่วมอีกฝ่ายหนึ่งล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน
ทั้งนี้ องค์การสุขภาพสัตว์โลก (World Organisation for Animal Health - OIE) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับจากองค์การการค้าโลกให้เป็นองค์กรอ้างอิงสำหรับมาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยสำหรับการค้าสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ระหว่างประเทศ โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสุขภาพสัตว์ สัตวแพทย์สาธารณสุขและสวัสดิภาพสัตว์ รวมถึงความโปร่งใสของสถานการณ์โรคสัตว์ทั่วโลก
26. เรื่อง การบริจาคเงินสมทบกองทุนตั้งต้นเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Start - Up Fund for Safe, Orderly and Regular Migration) ภายใต้การบริหารของสหประชาชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการมาตรฐาน (Standard Administrative Arrangement: SAA) สำหรับการบริจาคเงินสมทบทุนตั้งต้นเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Start - Up Fund for Safe, Orderly and Regular Migration) อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่าง SAA ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อประโยชน์ของไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 [เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ (ตามข้อ 5.6)] รวมทั้งอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เป็นผู้ลงนามใน SAA โดย กต. จะจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรฯ สำหรับการลงนามครั้งต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศ 8 หน่วยงาน ได้แก่ 1) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration: IOM) 2) องค์การแรงงานระหว่างประเทศ 3) สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ 4) สำนักงานกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ 5) องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund: UNICEF) 6) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ 7) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และ 8) สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจมาตรฐานสำหรับกองทุนตั้งต้นเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Start - Up Fund for Safe, Orderly and Regular Migration) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนรัฐในการนำ (Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration: GCM) ไปปฏิบัติผ่านการดำเนินโครงการในประเทศต่าง ๆ โดยมีคณะกรรมการอำนวยการ (Steering Committee) ทำหน้าที่บริหารจัดการและพิจารณาข้อเสนอโครงการต่าง ๆ และมีผู้อำนวยการใหญ่ IOM เป็นประธาน ทั้งนี้ ในการบริจาคเงินสมทบกองทุนฯ ประเทศผู้บริจาคจะต้องลงนาม SAA ซึ่งเป็นแบบฟอร์มมาตรฐานที่จัดทำขึ้นโดยฝ่ายเลขานุการกองทุนฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสต่อแนวทางการบริหารจัดการเงินบริจาค
กต. เห็นว่าการบริจาคเงินเข้ากองทุนฯ เป็นการแสดงบทบาทในการร่วมบริหารจัดการโยกย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศที่เป็นรูปธรรม เช่น สนับสนุนการเข้าถึงบริการสาธารณะ โดยในการประชุมคณะมนตรี IOM สมัยที่ 110 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ณ นครเจนีวา ประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะบริจาคเงินสมทบกองทุนฯ ภายหลังการดำเนินกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว (ปัจจุบันมีประเทศที่บริจาคเงินเข้ากองทุนฯ แล้ว 8 ประเทศ ประมาณ 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยผู้อำนวยการใหญ่ IOM แจ้งว่าไทยเป็น 1 ใน 3 ของกลุ่มประเทศผู้บริจาคร่วมกับสหพันธรัฐเยอรมนีและสหราชอาณาจักรที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกคณะกรรมการอำนวยการกองทุนฯ และจะมีการหมุนเวียนการเป็นสมาชิกในช่วงสิ้นปี 2563
ร่าง SAA มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดการให้เงินของประเทศผู้บริจาคและการใช้เงินในกองทุนฯ เพื่อดำเนินความร่วมมือต่าง ๆ ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของกองทุนฯ ดังนี้ (1) การชำระเงินทุนให้แก่ตัวแทนบริหารจัดการและบัญชีกองทุน (2) การจัดสรรเงินทุนให้แก่หน่วยงานสหประชาชาติที่เข้าร่วมและบัญชีแยกประเภท (3) การรายงานผล (4) การติดตามและการประเมินผล (5) การตรวจสอบ ได้แก่ การตรวจสอบภายนอกและภายใน การตรวจสอบภายในร่วม ค่าใช้จ่ายของการตรวจสอบภายใน และการตรวจสอบพันธมิตรที่ร่วมดำเนินการ (6) การฉ้อโกง การทุจริตและพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรม (7) การสื่อสารและความโปร่งใส (8) การสิ้นสุดการเปลี่ยนแปลง การยุติ และยอดเงินที่ไม่ได้ใช้ (9) การมีผลบังคับใช้ โดยมีผลบังคับใช้เมื่อผู้เข้าร่วมได้ลงนามและจะมีผลบังคับใช้จนกว่าข้อตกลงจะสิ้นสุดหรือถูกยกเลิก (10) การยุติข้อพิพาท ข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากเงินสนับสนุนที่ผู้บริจาคให้แก่กองทุนจะได้รับการแก้ไขผ่านการหารือระหว่างผู้บริจาค ตัวแทนบริหารจัดการและหน่วยงานสหประชาชาติที่เข้าร่วมที่เกี่ยวข้อง
27. เรื่อง การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2564 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบงบประมาณ จำนวน 4,600,000 ดอลลาร์สหรัฐ และแผนการดำเนินงานประจำปี 2564 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (องค์กรร่วมฯ) ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. องค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (องค์กรร่วมฯ) จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2533 เพื่อดำเนินการและรับผิดชอบแทนรัฐบาลทั้งสองประเทศในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในพื้นดินใต้ทะเลและใต้ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area : JDA) ซึ่งเป็นพื้นที่ใต้ทะเลบริเวณไหล่ทวีประหว่างประเทศไทยและมาเลเซียในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง (ประมาณ 260 กิโลเมตรจากจังหวัดสงขลา) ซึ่งทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์เหลื่อมล้ำกัน มีเนื้อที่ประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร โดยแบ่งพื้นที่สำรวจเป็น 2 พื้นที่ คือ แปลง A - 18 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางกิโลเมตร และแปลง B - 17 และ C - 19 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 4,250 ตารางกิโลเมตร และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและผลประโยชน์ที่องค์กรร่วมฯ ได้รับจากกิจกรรมที่ดำเนินงานในพื้นที่พัฒนาร่วม รัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมรับผิดชอบและแบ่งปันอย่างเท่าเทียม
2. ทั้งสองประเทศได้แต่งตั้งคณะกรรมการองค์กรร่วมฯ เพื่อเป็นตัวแทนของรัฐบาลทั้งสองในการควบคุมการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในพื้นที่พัฒนาร่วม และเป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วยประธานร่วมฝ่ายละ 1 คน และสมาชิกฝ่ายละ 6 คน (นายคุรุจิต นาครทรรพ เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย โดยจะครบกำหนดการดำรงตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม 2564) ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการองค์กรร่วมฯ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2563 ได้เห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2564 จำนวน 4,600,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงร้อยละ 4 หรือ 191,700 ดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี 2563 โดยรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้ (1) ค่าใช้จ่ายที่ลดลง ได้แก่ เงินเดือนเจ้าหน้าที่ ค่าฝึกอบรม และค่าเดินทางของคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ (2) ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ การจัดซื้อรถยนต์เพื่อทดแทนคันเดิมที่ใช้งานมากกว่า 5 ปี จำนวน 3 คัน และการปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับ Video Conference ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน (พน.) พิจารณาและเห็นชอบคำของบประมาณดังกล่าวแล้ว
28. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 10
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 10 และร่างแผนปฏิบัติการความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี ค.ศ. 2021 - 2025 ของการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 10 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้งให้รัฐมนตรีต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงของประธานร่วมฯ และแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ มีดังนี้
1. ร่างถ้อยแถลงของประธานร่วมฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิก สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) การทบทวนความคืบหน้าของการดำเนินการในช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ การยกระดับสู่การประชุมระดับผู้นำ การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของกรอบความร่วมมือฯ การส่งเสริมความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐาน สารสนเทศและการสื่อสาร การพัฒนาอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการน้ำ การเกษตร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การดำเนินโครงการภายใต้กองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี (2) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน (3) การกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคต ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างความมั่นคง ด้านสาธารณสุข และการส่งเสริมการทำงานร่วมกันและสอดประสานกันกับกรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคและภูมิภาค (4) การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อประเด็นที่ท้าทายความมั่นคงในภูมิภาค อาทิ ปัญหาภัยแล้ง สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้ และประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ และ (5) แผนจัดการประชุมที่สำคัญภายใต้กรอบความร่วมมือข้างต้น
2. ร่างแผนปฏิบัติการฯ เป็นเอกสารกำหนดเป้าหมายและการดำเนินการของกรอบความร่วมมือฯ ในระยะเวลา 5 ปี (ค.ศ. 2021 - 2025) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ของสาธารณรัฐเกาหลี และปฏิญญาแม่น้ำโขง - แม่น้ำฮัน โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ (1) กลไกความร่วมมือ อาทิ การจัดการประชุมในระดับต่าง ๆ กองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี กลไกภาคธุรกิจ การส่งเสริมการทำงานร่วมกันและสอดประสานกันกับกรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคและภูมิภาค (2) การส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือใน 7 สาขา ได้แก่ การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเกษตรและการพัฒนาชนบท โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สิ่งแวดล้อม และประเด็นที่ท้าทายความมั่นคงรูปแบบใหม่ (3) การทำงานร่วมกันกับกรอบความร่วมมืออื่น ๆ (4) กลไกการดำเนินการของแผนปฏิบัติการฯ อาทิ การใช้ประโยชน์จากกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - สาธารณรัฐเกาหลี และการใช้โอกาสการประชุมในระดับต่าง ๆ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินการ
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เสนอแต่งตั้ง นายสมศักดิ์ เพิ่มเกษร ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) สำนักงาน กปร. ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ดังนี้
1. นายประทีป ทรงลำยอง รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสาวบุปผา เรืองสุด รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะครบเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ดังนี้
1. นายชนินทร์ ขาวจันทร์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
2. นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง) ทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง) ทดแทนตำแหน่งที่ว่าง 4 ตำแหน่ง ดังนี้
1. หม่อมราชวงศ์รณจักร์ จักรพันธุ์ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง)
2. นายอนันต์ แก้วกำเนิด ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง)
3. นายสมมิตร โตรักตระกูล ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง)
4. นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
35. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
1. ให้คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 15 คน (นับรวมประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ว่าการ ซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง) ตามมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย จำนวน 2 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
2.1 นายอรรถฤทธิ์ ศฤงคไพบูลย์ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์)
2.2 นายสมชาย พูลสวัสดิ์ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารการกีฬา)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
36. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งใช้บังคับเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 จำนวน 10 คน ดังนี้
1. ผู้ซึ่งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ และสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ร่วมกันเสนอ จำนวน 3 คน
1.1 นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ด้านการอุดมศึกษา
1.2 นายกานต์ ตระกูลฮุน ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
1.3 นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ด้านสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์
2. ผู้ซึ่งคณะกรรมการสรรหากรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พิจารณาคัดเลือก จำนวน 6 คน
2.1 รองศาสตราจารย์กำจร ตติยกวี ด้านการอุดมศึกษา
2.2 รองศาสตราจารย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา ด้านการอุดมศึกษา
2.3 รองศาสตราจารย์เอมอร อุดมเกษมาลี ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
2.4 นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
2.5 นายบัณฑูร ล่ำซำ ด้านสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์
2.6 นายพณชิต กิตติปัญญางาม ด้านสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์
3. ผู้ซึ่งหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมที่มิใช่สถาบันอุดมศึกษาร่วมกันเสนอ จำนวน 1 คน ได้แก่ นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การเสนอขอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช) จำนวน 5 คน ดังนี้
1. รองศาสตราจารย์เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต
2. นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
3. ร้อยโท วโรดม สุจริตกุล ผู้ประสานงานสถาบันป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Fire Protection Association : NFPA)
4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5. ศาสตราจารย์ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
38. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 2139
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 21 จำนวน 14 คน เนื่องจากคณะกรรมการเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. นายอภิญญา สุจริตตานันท์ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
2. นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
3. นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
4. นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้แทนฝ่ายรัฐบาล
5. นางสาวศุภานัน ปลอดเหตุ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
6. นายอรรถยุทธ ลียะวณิช ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
7. นายอังสุรัสมิ์ อารีกุล ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
8. นางเนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
9. นางสาววันเพ็ญ เจียรยืนยงพงศ์ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง
10. นายอ่อนสี โมฆรัตน์ ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
11. นายพิจิตร ดีสุ่ย ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
12. นายไพโรจน์ วิจิตร ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
13. นายสมชาย มูฮัมหมัด ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
14. นายวีรสุข แก้วบุญปัน ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
39. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 287/2563 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 240/2563 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 และคำสั่งที่ 265/2563 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 10 กันยายน 2563 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 240/2563 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ดังนี้
1.ยกเลิกข้อ 5.3.1
2.ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 6.4.3
“6.4.3 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี