เริ่มแล้วประชุมรัฐสภาถก 6 ญัตติด่วนแก้ไขรธน. “สมพงษ์”ชี้ต้องแก้รธน.เหตุไม่เป็นปชต.-ตัดสิทธิ์ สว.เลือกนายกฯ ด้าน"วิรัช"ยันไม่แตะหมวด 1-2
เมื่อเวลา 10.09 น. วันที่ 23 ก.ย. 63 ที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภาเข้าสู่ระเบียบวาระพิจารณาเรื่องด่วน 6 ญัตติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นฐานะประธานในที่ประชุม จากนั้นนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ชี้แจงถึงกรอบการประชุมต่อสมาชิกรัฐสภา ว่า หลังประชุมวิป 3 ฝ่าย เมื่อวานนี้ตกลงกันว่าขอให้รวมเรื่องด่วนทั้ง 6 ฉบับ พิจารณาร่วมกัน ส่วนการลงมติจะรับหลักการทีละฉบับ โดยการอภิปรายถึงเวลา 18.00 น. ก่อนการลงมติ โดยเวลาอภิรายได้ฝ่ายละ 7 ชั่วโมง 20 นาที ขณะที่ประธานรัฐสภา วินิจฉัยว่าควรดำเนินการตามระเบียบวาระ
จากนั้นเวลา 10.29 น. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้เสนอญัตติชี้แจงหลักการและเหตุผลญัตติของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเดิมต้องมีมติจาก ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 และมีเสียงจากพรรคการเมืองที่ไม่มีประธานหรือรองประธานสภาฯ หรือไม่มีคณะรัฐมนตรีอีกไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของพรรคการเมืองดังกล่าว และยังต้องทำประชามติ จึงเห็นควรให้กลับไปชี้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา รวมถึงเสียงเรียกร้องประชาชนที่ชี้ว่ารัฐธรรมนูญควรแก้ไขเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย จึงควรจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญ
นายสมพงษ์ ชี้แจงหลักการและเหตุผลในส่วนหลักการร่างแก้ไขยกเลิกมาตรา 270 ถึง 272 ว่า เป็นหลักการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและขัดกับหลักการถ่วงดุลอำนาจ โดยเฉพาะมาตรา 272 เกี่ยวกับการให้ ส.ว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีสิทธิร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่สอดคล้องกับหลักการและประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงไม่ควรให้ ส.ว.มีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป จึงเห็นควรยกเลิกมาตรา 272 และแก้ไขมาตรา 159 ให้การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.
ผู้นำฝ่ายค้าน ยังชี้แจงหลักการและเหตุผลให้ยกเลิกมาตรา 279 เกี่ยวกับการประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำของ คสช.และหัวหน้า คสช. ว่า มีผลกระทบต่อประชาชน ขัดหลักสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่ได้รับการรับรองให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ คสช. สิ้นสุดไปแล้ว แต่ยังคงบทบัญญัติไว้ ทำให้ไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงควรแก้ไขเพิ่มเติมยกเลิก
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ส่วนหลักการและเหตุผลการแก้ไขระบบเลือกตั้ง การใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวมีปัญหาหลายด้าน ยุ่งยากในทางปฏิบัติ ไม่สะท้อนเจตนารมณ์ประชาชน ไม่เป็นธรรมต่อพรรคการเมือง การคิดคำนวณไม่แน่นอนชัดเจน สมควรนำวิธีการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าที่ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ กลับมาใช้ ซึ่งเคยใช้มาหลายครั้ง ประชาชนเข้าใจ ไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ
จากนั้นเวลา 10.44 น. นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะวิปรัฐบาลที่เสนอญัตติของพรรคร่วมรัฐบาลแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ว่า เนื่องจากเมื่อบังคับใช้รัฐธรรมนูญระยะหนึ่ง แต่มีปัญหาไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมประชาชน ปัญหาการกระจายอำนาจ ปัญหาด้านสิทธิเสรีภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ จึงควรมีการศึกษาทบทวนรัฐธรรมนูญให้เกิดความชัดเจนและเหมาะสม เพื่อเป็นแม่แบบการดำเนินการด้านต่างๆ ให้ประเทศมีเสถียรภาพความมั่นคง ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่ด้วยบทบัญญัติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยุ่งยาก จึงควรแก้ไขมาตรา 156 ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมาะสม ไม่ยุ่งยากเหมือนปัจจุบัน และควรมีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ทำรัฐธรรมนูญที่เหมาะสม สอดคล้องเจตนารมณ์ประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการรับฟังความเห็นและออกเสียงประชามติ
นายวิรัช อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ก็ยังมีข้อบกพร่อง ส่วนรัฐธรรมนูญปี 2560 หลายพรรคการเมืองชูประเด็นตอนหาเสียงเลือกตั้งว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พรรคพลังประชารัฐไม่มีนโยบายแก้ไขเรื่องนี้ แต่เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล ก็ปรากฎเป็นนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนี้ก็มีกลุ่มภาคประชาชนทั้งคณะประชาชนปลดแอก หรือกลุ่มไทยภักดีกำลังเคลื่อนไหว ดังนั้นไม่ว่าจะแก้ไขมากหรือน้อยก็ต้องเกิดปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งตนเองอยากเห็นบ้านเมืองสงบไม่แบ่งแยก ซึ่งในญัตติพรรคร่วมรัฐบาลมีเจตนารมณ์แก้ในมาตราที่เป็นปัญหา แต่ยืนยันไม่แก้หมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ซึ่งทุกคนมีความเห็นตรงกัน รวมถึงญัตติของผู้นำฝ่ายค้าน และเห็นร่วมกันว่าควรแก้ไขมาตรา 256 แต่ถ้าจะแก้ไขได้ จะต้องอาศัยเสียงวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ร่วมลงมติเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย และขอให้สมาชิกโหวตลงมติรับหลักการญัตติพรรคร่วมรัฐบาล และขอให้ร่วมกันพิจารณาเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ ขอขอบคุณสมาชิกที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนญัตติ และหวังว่าจะได้มติจากวุฒิสภา
ต่อมาเวลา 11.05 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มีเจตนารมณ์ขัดหลักประชาธิปไตยหลายเรื่อง ทำให้ระบบการเมืองอ่อนแอ เศรษฐกิจถดถอยหลังจากบังคับใช้รัฐธรรมนูญ โดยเปรียบเทียบการจัดตั้ง ส.ส.ร.และทำให้มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 ซึ่งขณะนั้นประเทศไทนมั่งคั่ง เป็นสวรรค์ของนักลงทุน เป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย สามารถจัดระเบียบสังคม ปราบปรามาเฟีย ยาเสพติด พักหนี้เกษตรกร ปรับปรุงโครงสร้าภาษี จัดงบประมาณสมดุล ปลดหนี้ IMF ครบด้วยปัจจัย 4 ซึ่งสรุปว่ากติกาที่ประชาชนร่างมาทำให้ไทยผงาดในเอเชียและเวทีโลก แต่แม้รัฐธรรมนูญถูกฉีกทิ้ง แต่ก็ยังทิ้งมรดกไว้มากมาย เกิดนโยบายสำคัญมากมายที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ดังนั้นการจะให้กติกาได้รับการยอมรับ ต้องให้คนในสังคมมีส่วนร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาความขัดแย้งเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
น.อ.อนุดิษฐ์ อภิปรายต่อว่า ยกตัวอย่างการบัญญัติพระธรรมวินัยที่ใช้มาเกือบ 3,000 ปี เกิดจากการประชุมของสงฆ์ เป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวมไม่ขัดต่อหลักนิติธรรมสากล และมีการปรับตามเวลาจึงใช้มาถึงปัจจุบัน แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้เกิดจากการมีส่วนร่วม เกิดจากแนวคิดผู้ยึดอำนาจ ไม่มีหลักนิติธรรมสากล ทำให้มีผลอาญาย้อนหลัง พิจารณาคดีลับหลังได้ ขณะที่การแก้ไขทำได้ยากเย็นแสนเข็ญ ทำให้เกิดความขัดแย้งปัญหาการเมือง ที่มีรัฐธรรมนูญเป็นต้นตอปัญหา จึงต้องช่วยกันยุติปัญหาทางการเมือง คืนอำนาจให้ประชาชนร่างรัฐธรรมนูญของตัวเอง สนองความต้องการหยุดคุกคาม ร่างรัฐธรรมนูญโดย ส.ส.ร. และยุบสภา
น.อ.อนุดิษฐ์ อภิปรายว่า เชื่อว่า ส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้าน จะเห็นชอบหลักการตามญัตติที่เสนอ เหลือเพียงเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 24 เสียง ที่จะมีส่วนสำคัญทำให้บ้านเมืองพ้นจากความขัดแย้ง แต่วุฒิสภาบางคนยังเข้าใจผิดคิดว่าการตั้ง ส.ส.ร.เป็นการตีเช็คเปล่า จึงขอทำความเข้าใจว่า การคืนอำนาจให้ประชาชนร่างรัฐธรรมนูญมีความชอบธรรม หาก ส.ส.ร.ร่างมาไม่ดี รัฐสภาก็สามารถตีกลับได้ หรือประชาชนทำประชามติไม่เห็นชอบ ก็ไม่สามารถบังคับใช้ได้อยู่แล้ว จึงไม่ใช่การตีเช็คเปล่า และคิดว่าคุ้มหากจะงบประมาณประชามติเป็นหมื่นล้านบ้าน แลกกับการปล่อยให้เกิดความขัดแย้ง
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องรัฐบาล จึงไม่มีอุปสรรคต่อกัน รัฐบาลสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ จึงอยากเรียกร้องให้วุฒิสภาให้การสนับสนุนตั้ง ส.ส.ร. ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลเห็นชอบตรงกัน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ก็ขอให้วุฒิสภาสบายใจ ทำงานร่วมกัน ทุกฝ่ายสามารถตั้งตัวแทนร่วมเป็นกรรมาธิการได้ เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบครอบ เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด เชื่อ ส.ว.ทั้ง 250 คนมีความรักชาติไม่ต่างกัน จึงขอให้เห็นชอบหลักการที่เสนอ”น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี