‘ส.ว.ตวง’ นำเสนอน่าคิดหากใช้เวที ‘ส.ส.ร.’ มาจาบจ้วงสถาบันฯ จะทำอย่างไร กังวลปชต. ไม่ฟังคนอื่นเห็นต่างเป็นศัตรูไปหมด เสียงแข็งแก้รธน.ทั้งฉบับต้องประชามติถามปชช.ก่อน ไม่ติดใจแก้ระบบเลือกตั้ง ขณะที่‘สมเจตน์’ค้านสุดตัว ลั่นรื้อแก้รธน.’ เท่ากับ ‘สภาทาส’ ยกเคสยุคปูปี 55 เทียบรอบนี้ก็ไปไม่รอดอาจขัดคำวินิจฉัยศาล เพิ่มความแตกแยกชาติ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 ก.ย. 63 ที่รัฐสภา นายตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายว่า เราเข้าใจตรงกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไขได้ แต่แก้ไขมาตรา 256 ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ถ้าจะแก้ไขให้มีมาตรา 256 /1 ต้องไปถามประชาชนเสียก่อน ส่วนจะแก้ไขมาตรา 91-92 ตนเข้าใจ มองตาแล้วรู้ใจ พวกตนส่วนใหญ่เห็นด้วย ถ้าแก้แบบนี้ประชาชนจะไม่สับสน วิธีการนับคะแนน หลายพรรคชอบ และคิดว่าส.ว.ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย ไม่ได้ขัดแย้ง
“การแก้ไขมาตรา 256 ประเด็นอยู่ที่ว่าถ้าประชาชนสถาปนาให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประหนึ่งเป็นบ้านหลังหนึ่งให้ส.ว. ส.ส. เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เราจะรื้อบ้านหลังนี้โดยไม่ถามประชาชนเลยหรือ เราจะโอนแล้วคอยถามหรือ ทำไมเราไม่ทำประชามติถามประชาชนบ้าง ถ้าประชามติแล้วประชาชนบอกว่าทำได้ ก็คอยไปยกร่างว่าด้วยหมวด 15 มาตรา 256/1 ร่างมาเสร็จจะทำแบบไหน ออกแบบอย่างไร ก็ไปถามประชาชนอีกรอบ การที่จะบอกว่ามีสสร.ช่วยลดความขัดแย้งนั้น ตั้งแต่ปี 39 ล้วนแต่มีสสร.มาทั้งนั้น ถ้าเป็นแบบที่พูดจริง วันนี้ก็คงไม่เป็นเช่นนี้ จึงเรียนว่าพวกผมทำการบ้านมาแล้วเข้าใจและรู้ แต่ประเด็นคือท่านจะให้ทำประชามติตอนไหน ถ้าจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ถ้าแก้เป็นรายมาตรา พวกผมไม่ติดใจ” นายตวง กล่าว
นายตวง กล่าวด้วยว่า ต้องยอมรับความจริงว่าสสร.ไม่ใช่ตัวแก้ปัญหาการกระทบกระทั่งกัน ถ้าสสร.เป็นกลไกเดียวแก้ปัญหาได้ ประเทศไม่เป็นเช่นนี้ ความขัดแย้งคราวนี้กระจายไปสู่ครอบครัว สถาบันการศึกษา เป็นที่ปรากฏชัดอย่างที่เห็น ลามถึงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถามว่าถ้าส.ส.ร.เกิดขึ้นโดยไม่ถามประชาชนก่อน มีผู้คนใช้เวทีส.ส.ร.จาบจ้วงสถาบันทั่วประเทศ จะทำอย่างไร การปกครองในระบอบประชาธิปไตยต้องฟังและเคารพคนอื่น แต่ประชาธิปไตยที่ไม่ฟังคนอื่น คุกคาม ข่มขู่ เห็นต่างเป็นศัตรูไปหมด ถือว่าไม่ใช่วิธีนำไปสู่การแก้ไขปัญหาแบบสันติ ขอกังวลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ส.ว.ทำการบ้านมาแล้ว
นายตวง กล่าวด้วยว่า ถ้าจะแก้มาตรา 256 ให้มีการจัดตั้งสสร. เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติ 2 ครั้ง ครั้งแรก ถามว่าเห็นควรให้มีร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ถ้าให้ก็จัดตั้งสสร.ดำเนินการยกร่าง แล้วกลับไปถามว่าร่างแบบนี้เห็นอย่างไร ส่วนถ้าจะแก้ไขเป็นรายมาตรา 272 มาตรานี้มาจากคำถามพ่วงประชามติเช่นกัน คน 16 ล้านเสียงให้อำนาจส.ว. ถ้าจะแก้ไขมาตรานี้ก็ต้องทำประชามติถามประชาชน หากไม่ทำประชามติก่อนก็จะมีคนไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเหมือนในอดีต พวกตนตระหนักดีว่าบ้านเมืองต้องนำสู่การแก้ไขปัญหา บ้านเมืองต้องมีทางออกแต่ทางออกต้องยึดโยงกับประชาชน ต้องทำถามประชาชนว่าให้ทำหรือไม่
ขณะที่พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) อภิปรายญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าไปร่างฉบับใหม่ เป็นประวัติศาสตร์ที่วนเวียนซ้ำซากไม่รู้จบสิ้น เหตุการณ์ครั้งนี้เคยเกิดในสมัยปี 2555 สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นเรื่องทำนองเดียวกับปัจจุบัน ที่พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลเสนอ โดยการแก้ไขครั้งนี้ผู้เสนอญัตติให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลต่อโครงสร้างสถาบันในสังคมและส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง จึงต้องแก้ไขเพื่อระงับความขัดแย้ง ตนเห็นว่า ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นยุคที่รัฐบาลกุมเสียงข้างมากได้ และแก้ไขที่มาของ ส.ว. และให้ ส.ว. เสนอแก้ไขปัญหาการยุบพรรคให้ ส.ส. เหมือนผลัดกันเกาหลัง เนื่องจากรัฐบาลกุมเสียงข้างมาก มีการรีบเร่งแก้ไขที่มาของ ส.ว. จนเกิดเหตุการวุ่นวาย ถูกประณามว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา และเมื่อมีเหตการณ์ที่ต้องร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ภาพเหตการณ์นั้นก็ยังติดตา ตอนนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเห็นร่วมกันของทุกฝ่าย และการไปตัดเงื่อนไขสำคัญที่ต้องได้รับความเห็นชอบกับ ส.ว. 1 ใน 3 และ ส.ส.ฝ่ายค้าน 20% มันก็จะทำให้สภากลับไปเป็นสภาทาส ที่มีเผด็จการรัฐสภาเหมือนเดิม เสียงข้างมากไม่ฟังเสียงข้างน้อย หลายคนไปตำหนินายมีชัย ฤชุพันธ์ แต่ตนเห็นว่าต้องขอบคุณที่จะสร้างภาพพจน์ที่ดีของรัฐสภา ว่าแม้เสียงข้างน้อย 20% ก็สามารถยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ได้
พล.อ.สมเจตน์ กล่าวต่อว่า นักการเมืองหลายคนอ้างว่าการแก้ไขโดยการเพิ่มหมวดจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เหมือนปี 2540 ที่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่ตนเห็นว่าแนวทางที่เคยทำมาแล้วในอดีต หากจะเอามาเป็นต้นแบบปฏิบัติจะต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมือนกัน ปี 2539 สังคมมีความสามัคคี แม้จะเห็นต่างแต่ไม่แตกแยก และไม่มีคนกลุ่ใดที่มีพฤติกรรมเลวร้ายทำลายความคงอยู่ของสถาบัน ตอนนี้ประชาชนต้องกาประชาธิปไตย จึงได้รัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน และมีระบบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง แต่เมื่อได้รัฐธรรมนูญที่ดี แต่รัฐบาลที่ไม่ดีชุดหนึ่งสร้าง 4 ปัญหา ‘แตกแยก แทรกแซง โกงกิน หมิ่นเจ้า’ หลายคนประดิษฐ์วาทกรรมว่า ส.ว. สืบทอดอำนาจ พูดเหมือนตนเองเป็นเจ้าของประเทศเพียงผู้เดียว และสิ่งที่ตนเห็นมาคือรัฐบาลที่เชื่อมโยงกับประชาชนสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมาอย่างยาวนาน ผลพวงรัฐธรรมนูญ 2540 จากการบริหารของรัฐบาลชุดหนึ่ง และเหตการณ์ตั้งแต่ 2547 จนถึงปัจจุบัน บ้านเมืองแตกแยก เผาบ้านเผาเมือง และทหารตำรวจเสียชีวิต มีกองกำลังติดอาวุธ ชายชุดดำ และถ้าเอาสถานการณ์ปี 2539 เอามาเทียบกับปี 2547 ถึงปัจจุบัน แตกต่างกันสิ้นเชิง ดังนั้นการจะเอาแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 มาเป็นแนวทางของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างไร
ทำให้นายคารม พลพรกลาง ส.ส. บัญชรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วงผู้อภิปรายว่า เสียดสี เรื่องเผาบ้านเมืองหรือชายชุดดำ หลายคดียกฟ้อง เป็น ส.ว. อย่ามาเติมเชื้อไฟในสถานการณ์แบบนี้ที่ต้องหาทางออก ทำให้นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ตอนเราอภิปรายแรงกว่านี้ นี่เป็นการอภิปรายเพื่อให้รู้ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นยังไง
ด้านนายนิยม เวชกามา ส.ส. พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า รัฐบาลที่มาจากการยึดโยงกับประชาชน เป็นการเสียดสีรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โกงกินหมิ่นเจ้า ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้นายชวน กล่าวว่า ไม่มีการเจาะจงรัฐบาล เป็นการเล่าให้ฟัง แต่ขอเตือนพล.อ.สมเจตน์ ให้ระมัดระวัง
ขณะที่ พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตน ส.ว. และ ส.ส. บางส่วนยื่นหนังสือไปที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลก็รับคำร้องและมีคำวินิจฉัยว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับต้องลงประชามติก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ สุดท้ายรัฐสภาไม่มีการลงมติในวาระ 3 เทียบอดีตกับปัจจุบันก็เหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ดังนั้นรัฐสภาเป็นองค์กรสำคัญของรัฐธรรมนูญจะมีรอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ และการยกร่างใหม่ทั้งฉบับจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 256 หรือไม่เพราะกำหนดให้เป็นการแก้ ไม่ใช่ยกร่างฉบับใหม่ และหากจะยกร่างฉบับใหม่ต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ หลังเห็นชอบวาระ 3 ไปแล้ว
“ผมขอสรุปว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะทำให้กลับไปเป็นสภาทาส, การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 อาจขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ, สถานการณ์ความแตกแยกในปัจจุบัน หลายคนมีทัศนคติเลวร้ายบั่นทอนสถาบัน ไม่เอื้อต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะจะเพิ่มความแตกแยก, แก้ไขเพื่อประโยชน์ของใคร ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นหรือไม่ ประชาชนจะอยู่ดีกินดีไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่นักการเมืองจะปฏิบัติตามนิติธรรม นิติรัฐ, และผมมีความเข้าใจเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างดี ผมไม่เห็นชอบญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีผลยกเลิกฉบับ 2560 และทุกมาตราเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย” พล.อ.สมเจตน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี