"ปลัดสธ." เผยตั้งวอร์รูมเฝ้าสถานการณ์ โควิด-19 ชายแดนไทย-เมียนมาร์ หลังพบสถิติ 1 เดือนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ว่า ที่ประชุมศบค. ได้เตรียมพร้อม รับมือสถานการณ์โควิด-19 ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ เพราะจากสถิติที่เราได้พบ ประเทศเมียนมาร์มีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะนี้มากกว่า 10,000 คนแล้ว และแต่ละวันเพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 คน/วัน และยังพบว่าบางช่วงเพิ่มขึ้นเท่าตัวใน 1 เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 1,000 เป็น 2,000 และเป็น 4,000 เป็น 8,000 จนกระทั่งเป็น 10,000 คน ซึ่งเราได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ปลัดกระทรวงสธ. กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการอยู่ 2 แนวทาง คือ 1.ควบคุม การเข้าออกระหว่างสองประเทศ โดยบูรณาการร่วมกันทั้งฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง สาธารณสุข โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันช่องทางธรรมชาติตามแนวชายแดน 2. กระทรวงสาธารณสุขนำทีมลงตรวจ โดยเฉพาะการใช้ รถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน ซึ่งเป็นรถพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ลงตรวจในพื้นที่อำเภอแม่สอดจังหวัดตากจำนวน 2,000 กว่าราย แต่ก็ไม่พบผู้ติดเชื้อ ซึ่งมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติอย่างละครึ่ง นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้เตรียมพร้อมเรื่องโรงพยาบาล และสถานบริการทางการแพทย์ การพยาบาลต่างๆ ทุกระดับ รวมถึงการเตรียม อสม.หน้ากากอนามัย ชุดพีพีอี ที่ป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ งบประมาณลงไปในพื้นที่เพื่อให้เกิดความพร้อม
"นอกจากนี้ยังมีการตั้งวอร์รูมขึ้นที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อติดตามสถานการณ์และหากมีการเปลี่ยนแปลงจะได้เข้าไปสนับสนุนได้อย่างเต็มที่และทันท่วงที ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงได้ติดตามสถานการณ์ในประเทศเมียนมาร์อย่างใกล้ชิด ขณะที่ทางเมียนมาร์เองก็พร้อมให้การสนับสนุนและประสานงาน ให้ความร่วมมือกับประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งเป็นการรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำความรู้ความชำนาญของประเทศไทยที่มีอยู่ ซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาประเทศไปถ่ายทอดให้กับประเทศเพื่อนบ้าน"ปลัดสธ.กล่าว
ด้าน นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ประชุมได้มีการพูดคุยกำชับตามแนวชายแดนไทย-
เมียนมาร์ ว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทั้งเรื่องการแพร่ของโรคและการสกรีน เบื้องต้นรวมทั้งเรื่อง แรงงาน เมียนมาร์ที่เมื่อเข้ามาในไทยแล้วไม่มีงานทำ ถือว่าเป็นปัญหา ซึ่งถือว่ามีหลายมุมด้วยกัน ซึ่งเราจะต้องคิดถึงวิธีการที่จะไปช่วยเขา ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องของเวชภัณฑ์เท่านั้น แต่เราจะต้องไปถ่ายทอดประสบการณ์ที่เรามี เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเมียนมาร์ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องพิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่าในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศที่ประชุมได้กำชับ ให้ดำเนินการพิเศษอย่างไรหรือไม่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เราต้องคุยกับทางเมียนมาร์ ซึ่งโดยปกติ ได้มีการพูดคุยกับทางรัฐมนตรีต่างประเทศของเขาอยู่แล้ว และคงต้องคุยกันในเร็วๆนี้ว่าจะต้องช่วยเหลือกันอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากวัสดุอุปกรณ์และเวชภัณฑ์
"สิ่งที่อยากจากคุยคือเรื่องการสกรีนคนไม่ใช่ปล่อยให้มาออกันที่ด่านชายแดนเยอะแยะ เพราะเดี๋ยวจะควบคุมไม่ได้ เช่นเดียวกันทั้งขาเข้าและขาออก ซึ่งเราจะต้องทำกันอย่างเป็นระบบ โดยดูในเรื่องของการกักตัวแต่ละชุดจะดำเนินการกี่คนและมีการตรวจตรากันอย่างดี เพื่อให้รับรู้ว่าใครเป็นใคร"
นายดอน กล่าวว่า ในที่ประชุมศบค.วันนี้ได้พูดคุยกันอย่างละเอียด ดูกันทุกแง่มุม เพื่อให้สถานะของประเทศไทย เป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพื่อให้ประชาชนคนอื่นไม่ต้องหวาดผวา หากเกิดการระบาดระลอกสอง ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจ และหัวใจที่จริงคือการรักษาสถานภาพของการดูแล รับมือ อย่างที่เราได้ทำมาแล้ว และจะต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าการพูดคุยระหว่างไทย-เมียนมาร์จะต้องเป็นระดับใดและรวดเร็วแค่ไหน นายดอน กล่าวว่า ปกติเราพูดคุยกันหลายช่องทางซึ่งกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาร์ตนสามารถยกหูได้ อีกทั้ง รัฐมนตรีอาเซียนเราก็ยังมีการพูดคุยผ่านช่องทางไลน์อยู่แล้ว ซึ่งถือว่ารวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การดูแลตามมาตรฐานสาธารณสุขนั้นจะเป็นไป ตามแนวชายแดนไทยทั่วประเทศไม่เพียงแค่จังหวัดชายแดนไทย-เมียนมาร์เท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี