วันนี้ (29 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ได้มีการใช้บังคับมาเป็นเวลานาน และมีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การกำหนดขั้นตอนการเจรจาและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานที่ขาดความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมการแก้ไขข้อขัดแย้งและการยุติข้อพิพาทแรงงานด้วยระบบทวิภาคี การกำหนดให้มีการจดทะเบียนองค์กรฝ่ายนายจ้างและองค์กรฝ่ายลูกจ้าง และการจำกัดสิทธิการปิดงานหรือนัดหยุดงานขององค์กรฝ่ายนายจ้างและองค์กรฝ่ายลูกจ้าง และการจำกัดสิทธิการรวมตัวจัดตั้งองค์กรของฝ่ายลูกจ้างที่กำหนดให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสหภาพแรงงานได้เพียงสหภาพแรงงานเดียว อันมีลักษณะเป็นการควบคุมจากภาครัฐซึ่งไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เกี่ยวกับวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน การห้ามปิดงานหรือการนัดหยุดงาน หลักเกณฑ์การจัดตั้งและการดำเนินงานของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเสรีภาพในการรวมตัวเพื่อจัดตั้งและดำเนินกิจการขององค์กรดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ตลอดจนปรับปรุงอัตราโทษให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในรัฐวิสาหกิจให้มีการเจราจายุติข้อพิพาทในระดับทวิภาคี ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน คุ้มครองการดำเนินการของลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพแรงงาน และพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและหลักสากล รง. จึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ขึ้น
2. รง. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้โดยจัดสัมมนาไตรภาคี เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 รับฟังความคิดเห็นโดยส่งแบบแสดงความคิดเห็นให้กระทรวงต่าง ๆ ที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ จำนวน 15 กระทรวง และให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ จำนวน 47 แห่ง และรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 และ รง. ได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย พร้อมทั้งได้เปิดเผยเอกสารดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) และได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 (เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562) ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว
จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 โดยมีสาระสำคัญที่ต่างไปจากเดิม ดังนี้
1. ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
สาระสำคัญ
- กำหนดระยะเวลาในการยื่นข้อเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โดยกำหนดให้ยื่นภายในระยะเวลา 60 วัน ก่อนวันที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิมจะสิ้นสุดลง
- กำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่กระทำโดยนายจ้างกับสหภาพแรงงานซึ่งมีลูกจ้างเป็นสมาชิกเกินกว่าสองในสามของลูกจ้างทั้งหมด มีผลผูกพันนายจ้างและลูกจ้างทุกคน
- กำหนดให้นายจ้างนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมาแจ้งต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย
2. วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน
สาระสำคัญ
กำหนดให้ในกรณีที่มีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายอาจตกลงกันให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการประนอมข้อพิพาทแรงงานต่อไป หรือนำข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้นั้นไปเจรจาตกลงกันเอง หรือส่งข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงานเพื่อชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
3. การปิดงานและการนัดหยุดงาน
สาระสำคัญ
- กำหนดให้นายจ้างอาจปิดงานหรือลูกจ้างอาจนัดหยุดงานได้โดยนายจ้างที่ประสงค์จะปิดงานหรือลูกจ้างที่ประสงค์จะนัดหยุดงานต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและอีกฝ่ายทราบล่วงหน้าเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนการปิดงานหรือนัดหยุดงาน
- กำหนดให้การปิดงานหรือการนัดหยุดงานในงานที่เป็นบริการสาธารณะ ฝ่ายที่ปิดงานหรือนัดหยุดงานต้องจัดให้มีบริการขั้นต่ำเท่าที่จำเป็น
- กำหนดงานที่เป็นบริการสาธารณะ ได้แก่ โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์หรือโทรคมนาคม บรรเทาสาธารณภัย ควบคุมการจราจรทางอากาศ และกิจการอื่นตามที่ประกาศกำหนด
4. คณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงาน
สาระสำคัญ
- กำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการกระทำอันไม่เป็นธรรมและข้อพิพาทแรงงาน ประกอบด้วยอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นประธานกรรมการ และให้ผู้อำนวยการสำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นกรรมการและเลขานุการ
- กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ในการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้
5. สหภาพแรงงาน
สาระสำคัญ
- กำหนดให้รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งสามารถมีสหภาพแรงงานได้มากกว่าหนึ่งสหภาพแรงงาน
- อนุญาตให้ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจที่เป็นฝ่ายบริหารสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานได้
- กำหนดให้สหภาพแรงงานตั้งแต่สองสหภาพแรงงานขึ้นไปสามารถรวมกันจัดตั้งเป็นสหพันธ์แรงงานได้
- กำหนดให้สหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานไม่น้อยกว่า 10 แห่งสามารถจัดตั้งเป็นสภาองค์การแรงงาน
6. อัตราโทษ
สาระสำคัญ
ปรับอัตราโทษของความผิดในพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่ต้องออกเพื่อให้การเป็นไปตามสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เกี่ยวกับอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่าย โดยให้การคุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไป อีก 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย เพื่อให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพิ่มเติมข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการ และแก้ไขข้อยกเว้นการละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี อันจะเป็นการยกระดับการคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ผู้ให้บริการ” และ “ผู้ใช้บริการ” และแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “มาตรการทางเทคโนโลยี”
2. แก้ไขอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่าย โดยให้ลิขสิทธิ์ในงานภาพถ่ายกลับไปใช้อายุความทั่วไป คือ กำหนดให้การคุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
3. กำหนดให้ลิขสิทธิ์ในงานโสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียงหรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ให้มีอายุ 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น แต่ถ้าได้มีการโฆษณางานนั้นในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปีนับแต่ได้มีการโฆษณาเป็นครั้งแรก
4. กำหนดประเภทของผู้ให้บริการโดยแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ (1) ผู้ให้บริการในฐานะสื่อกลาง (2) ผู้ให้บริการในการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นการชั่วคราว (3) ผู้ให้บริการในการรับฝากข้อมูลคอมพิวเตอร์ และ (4) ผู้ให้บริการในการสืบค้นแหล่งที่ตั้งข้อมูลคอมพิวเตอร์
5. กำหนดให้ผู้ให้บริการที่จะได้รับยกเว้นความรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์อันเนื่องมาจากการให้บริการของตน ต้องเป็นผู้ให้บริการที่ได้ประกาศมาตรการยกเลิกการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการที่กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ซ้ำไว้อย่างชัดแจ้งและได้ปฏิบัติตามมาตรการนั้น ทั้งนี้ การยกเว้นความรับผิดของผู้ให้บริการ ให้เป็นไป
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
6. กำหนดข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการในฐานะสื่อกลางไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการเป็นสื่อกลางส่งผ่านข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่านกระบวนการทางเทคนิคที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มการส่งผ่านหรือเลือกผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาของข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น
7. กำหนดข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการในการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นการชั่วคราวไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่านระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยมิได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาของข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นไม่แทรกแซงการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานของผู้ใช้บริการ และมีระบบที่ทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
8. กำหนดให้ผู้ให้บริการรับฝากข้อมูลคอมพิวเตอร์ไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ว่ามีข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์บนระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ตนให้บริการ และได้นำข้อมูลดังกล่าวออกจากระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระงับการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว โดยไม่ชักช้าเมื่อได้รู้หรือได้รับแจ้งถึงการละเมิดนั้น
9. กำหนดให้ผู้ให้บริการสืบค้นแหล่งที่ตั้งข้อมูลคอมพิวเตอร์บนอินเทอร์เน็ตไม่ต้องรับผิดสำหรับการละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ให้บริการไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ว่ามีข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ และได้นำแหล่งอ้างอิงหรือจุดเชื่อมต่อของข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อ้างว่าได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือระงับการเข้าถึงแหล่งอ้างอิงหรือจุดเชื่อมต่อของข้อมูลดังกล่าว โดยไม่ชักช้าเมื่อได้รู้หรือได้รับแจ้งถึงการละเมิดนั้น
10. กำหนดให้การให้บริการ ผลิต ขาย หรือแจกจ่าย ซึ่งบริการ ผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ที่ทำให้มาตรการทางเทคโนโลยีไม่เกิดผลเป็นการละเมิดมาตรการทางเทคโนโลยี และกำหนดข้อยกเว้นความรับผิดสำหรับกรณีดังกล่าว รวมทั้งปรับปรุงบทกำหนดโทษ
11. กำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลิขสิทธิ์ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
3. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการโดยเคร่งครัดต่อไป
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
1. โดยที่การสำรวจเขตที่ดินเพื่อเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. 2559 เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นั้น กทม. ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคการจัดกรรมสิทธิ์ทำให้การเข้าสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นไม่มีความคืบหน้า โดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนไม่ให้ความร่วมมือ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ได้สิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับแล้ว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อเนื่อง
2. ปัญหาและอุปสรรคในการจัดกรรมสิทธิ์ไม่มีความสืบหน้า สืบเนื่องจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนไม่ให้ความร่วมมือเพราะแนวเขตของถนนตามโครงการเดิมมีความกว้าง 10 เมตร จึงมีจำนวนผู้ถูกเวนคืนที่ดิน จำนวน 23 แปลง แต่หากปรับลดแนวเขตถนนเหลือความกว้าง 6 เมตร ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ให้ใช้บังคับแผนผังปรับปรุงเขตเพลิงไหม้ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 2 มีนาคม 2547 จะเหลือผู้ถูกเวนคืน จำนวน 1 ราย
3. สำนักงบประมาณได้พิจารณาการจัดสรรงบประมาณที่ต้องจ่ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 แล้ว เห็นว่า โครงการนี้ใช้จ่ายเงินจากงบประมาณของ กทม. ทั้งจำนวน ไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณของประเทศ
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจักรเพชรกับซอยจินดามณี ในท้องที่แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปสำรวจและเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องได้มาโดยแน่ชัด
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายพาหนะและค่าดูแลรักษายานพาหนะ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายพาหนะและค่าดูแลรักษายานพาหนะ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
คค. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 42/1 แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549 บัญญัติให้ผู้อำนวยการทางหลวงหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงมีอำนาจเคลื่อนย้ายยานพาหนะที่หยุดหรือจอดอยู่ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ยานพาหนะอื่นหรือผู้ใช้ทางหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยทางหลวง โดยผู้ขับขี่หรือเจ้าของยานพาหนะต้องชำระค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายยานพาหนะ ตลอดจนค่าดูแลรักษายานพาหนะระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของผู้อำนวยการทางหลวง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว คค. จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ขึ้น
2. กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทได้นำร่างกฎกระทรวงดังกล่าวลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ www.doh.go.th และ www.drr.go.th เพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นด้วยแล้ว ซึ่งไม่มีประชาชนแสดงความคิดเห็น จึงไม่มีประเด็นที่จะนำมาปรับปรุงร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายพาหนะและค่าดูแลรักษายานพาหนะ พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของยานพาหนะต้องชำระค่าใช้จ่ายในกรณีที่ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน ผู้อำนวยการทางหลวงพิเศษ ผู้อำนวยการทางหลวงสัมปทานและผู้อำนวยการทางหลวงชนบท หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงดังกล่าวได้เคลื่อนย้ายยานพาหนะของตน ตามอัตราดังนี้
ประเภท |
คันละ/บาท |
1. รถจักรยานยนต์ |
50 |
2. รถยนต์ขนาดไม่เกิน 4 ล้อ |
1,500 |
3. รถยนต์ขนาด 6 ล้อ |
1,500 |
4. รถยนต์ขนาด 8 ล้อ |
2,000 |
5. รถยนต์ขนาด 10 ล้อ |
2,000 |
6. รถยนต์ขนาดเกิน 10 ล้อ |
2,500 |
7. ยานพาหนะทางบกประเภทอื่น |
2,500 |
2. ผู้ขับขี่หรือเจ้าของยานพาหนะต้องชำระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษายานพาหนะที่ถูกเคลื่อนย้ายมาในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของผู้อำนวยการทางหลวง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการทางหลวงตามข้อ 1. ตามอัตราดังนี้
ประเภท |
วันละ/บาท |
1. รถจักรยานยนต์ |
200 |
2. รถยนต์ขนาดไม่เกิน 4 ล้อ |
300 |
3. รถยนต์ขนาด 6 ล้อ |
300 |
4. รถยนต์ขนาด 8 ล้อ |
500 |
5. รถยนต์ขนาด 10 ล้อ |
500 |
6. รถยนต์ขนาดเกิน 10 ล้อ |
500 |
7. ยานพาหนะทางบกประเภทอื่น |
500 |
3. การนับเวลาตามข้อ 2. ให้ถือว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นหนึ่งวัน เศษของวันให้นับเป็นหนึ่งวัน
เศรษฐกิจ - สังคม
5. เรื่อง มาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ (เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สุขภาพ และสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ (เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สุขภาพ และสังคม) (มาตรการฯ) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ โดยให้ พม. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการและติดตาม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไป สู่การปฏิบัติต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1. ปัจจุบันสัดส่วนผู้สูงอายุในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องทำให้ฐานภาษีของประเทศแคบลง ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้จากภาษีเงินได้ของภาครัฐที่จะนำมาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศลดลงตามไปด้วย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณและการสะสมหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต จึงได้มีการจัดทำมาตรการฯ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนทั้งระบบ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการขับเคลื่อนงานทุกมิติ และเพื่อให้มีกลไกขับเคลื่อนงานรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้ พม. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรการฯ และมาตรการดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการรับฟัง ความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
มาตรการ |
ตัวอย่างวิธีการดำเนินงาน |
มิติเศรษฐกิจ ประกอบไปด้วย 8 ประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ |
|
1. การบูรณาการระบบบำนาญ และระบบการออมเพื่อยามสูงอายุ และการปฏิรูประบบการเงินการคลังที่เหมาะสมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย |
เสนอร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... เพื่อสร้างระบบบำนาญและการออมที่มั่นคง เพียงพอ และยั่งยืน (คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการแล้ว เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559) |
2. การส่งเสริมและสนับสนุนประชากรวัยทำงาน กลุ่มที่ไม่ใช่ลูกจ้างในการเตรียมความพร้อมเพื่อการเข้าสู่ การใช้ชีวิตยามสูงอายุ |
ปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 โดยส่งเสริมการสมัครสมาชิกซึ่งมีรูปแบบสอดคล้องกับอาชีพและรายได้ที่แตกต่างกัน |
3. การส่งเสริมและสนับสนุนประชากรวัยทำงานกลุ่มลูกจ้างในการเตรียมความพร้อมเพื่อการเข้าสู่การใช้ชีวิตยามสูงอายุ |
จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับในรูปแบบของกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ |
4. การขยายอายุการทำงาน |
- ขยายอายุเกษียณราชการเป็น 65 ปี เฉพาะบาง สายงาน (ไม่ครอบคลุมตำแหน่งบริหาร) - กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมให้ภาคเอกชนขยายอายุการทำงานของลูกจ้าง |
5. การสนับสนุนและสร้างระบบการออมทั้งแบบถ้วนหน้าและสมัครใจผ่านกลไกต่าง ๆ เพื่อรองรับความต้องการในยามสูงอายุ |
สร้างระบบการออมอย่างถ้วนหน้า และส่งเสริมการออมภาคสมัครใจในรูปแบบต่าง ๆ |
6. การสนับสนุนการเพิ่มพูนทักษะและอาชีพทางเลือกที่ 2 ในวัยทำงานและหลังเกษียณ เพื่อใช้ประโยชน์ในยามสูงอายุ |
สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มพูนทักษะจากสถาบันและภาคธุรกิจเอกชน |
7. การกระจายแหล่งการจ้างงานให้อยู่ใกล้ชุมชนชนบท |
สร้างแรงจูงใจให้อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และบริการไปตั้งในต่างจังหวัด |
8. การจูงใจให้คนต่างชาติที่มีคุณภาพและต้องการทำงานในประเทศไทยอย่างถาวรได้มีโอกาสทำงานและพำนักในประเทศไทย |
จูงใจและอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่มีคุณภาพสนใจและเข้ามาทำงานในประเทศไทย |
หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงแรงงาน (รง.) พม. กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการสjงเสริมการลงทุนและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง |
|
มิติสภาพแวดล้อม ประกอบด้วย 4 ประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ |
|
1. การปรับปรุงกฎกระทรวงให้มีผลใช้บังคับให้สอดคล้อง ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากขึ้น |
แก้ไขกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวม 3 ฉบับ เช่นกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. 2548 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ หรือบริการสาธารณะอื่น เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2555 |
2. งบประมาณในการสร้างอาคาร โครงสร้างพื้นฐาน (เช่น ถนน ระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น) ต้องสอดคล้องกับกฎกระทรวงที่แก้ไขแล้ว |
ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด |
3. ให้มีการรายงานผลและตรวจติดตามอาคารส่วนราชการทั้งหมดว่าได้ดำเนินการแก้ไขตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 แล้ว แต่ขาดความครอบคลุมและไม่ต่อเนื่อง |
ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการร่วมกับองค์กรผู้สูงอายุ คนพิการในพื้นที่ตรวจติดตามและมอบประกาศรับรองอาคารที่ผ่านเกณฑ์ |
4. ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีภารกิจในการปรับสภาพแวดล้อมบ้านผู้สูงอายุในชุมชนได้ |
ให้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย (มท.) และรายละเอียดกฎเกณฑ์เรื่องการปรับสภาพแวดล้อม บ้านผู้สูงอายุในชุมชน |
หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กค. กระทรวงคมนาคม (คค.) พม. มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
|
มิติสุขภาพ ประกอบด้วย 3 ประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ |
|
1. บูรณาการศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยปฏิบัติการ (Operation Unit) ในการบูรณาการกิจกรรมและทรัพยากร |
บูรณาการกิจกรรมศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการเจ็บป่วยเฉียบพลันและศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุเข้าด้วยกัน |
2. การยกระดับผู้บริบาลมืออาชีพ Formal (Paid) Care Giver |
- กำหนดคุณสมบัติมาตรฐาน - มีการสอบและออกใบอนุญาต/รับรองจากส่วนกลาง |
3. การจัดให้มีศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทุกอำเภอควบคู่กับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ผู้ป่วยระยะกลาง (Intermediate Care) |
การส่งเสริมให้โรงพยาบาล (ประจำอำเภอ) มีศูนย์ ฟื้นฟูฯ ครบทุกอำเภอภายใน 5 ปี (พ.ศ. 2567) |
หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ พม. มท. กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) |
|
มิติสังคม ประกอบด้วย 4 ประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ |
|
1. เพิ่มบทบาท อปท. ให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักใน การบูรณาการและขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติ และพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละท้องถิ่น |
คณะรัฐมนตรีควรมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. กำหนดกรอบภารกิจของ อปท. ให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงระบบรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนของ อปท. |
2. การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ “บวรวชร” (บ้าน วัด โรงเรียน วิสาหกิจ ชมรม โรงพยาบาล) ในการรองรับสังคมสูงวัยในชุมชน |
- ใช้มติคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความร่วมมือจากมหาเถรสมาคมให้จัดสรรงบประมาณจากเงินบริจาคที่วัดได้รับมาใช้ในกิจกรรมรองรับสังคมสูงวัยในชุมชน - ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน/วิสาหกิจด้วยการขยายผลโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคม เช่น ระบบการดูแลผู้สูงอายุในเขตเมือง |
3. การกำหนดให้มี “ผู้พิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ” |
บัญญัติกฎหมายกำหนดให้มีผู้พิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุในกรณีที่มีภาวะพึ่งพิงหรือสมองเสื่อมที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เพื่อทำหน้าที่จัดการทรัพย์สินและดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ |
4. การส่งเสริมผู้ที่มีความพร้อมให้มีบุตรและชะลอการตั้งครรภ์ของผู้ที่ไม่พร้อม |
- กำหนดให้หน่วยงานราชการ/เอกชน มีสถานเลี้ยงดูเด็ก - เพิ่มค่าลดหย่อนบุตร |
หน่วยงานรับผิดชอบ ได้แก่ กค. พม. รง. มท. วธ. สธ. สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น |
ทั้งนี้ มีประเด็นเร่งด่วนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืนที่ต้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนงานในทุกมิติ ได้แก่ 1) การจัดทำบัญชีนวัตกรรมอุปกรณ์ช่วยเหลือในการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ 2) การออกระเบียบให้ อปท. ดำเนินภารกิจด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 3) การส่งเสริมให้มีระบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ และ 4) การสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ทั้งทักษะการทำงานและทักษะชีวิต การส่งเสริมการเพิ่มพูนและปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานและทักษะชีวิต เพื่อเตรียมคนในวัยทำงานให้พร้อมที่จะเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ (เรียนรู้ในที่ทำงานหรือออนไลน์)
6. เรื่อง ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการปรับแผนการดำเนินงานทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และให้ ศธ. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ศธ. รายงานว่า
1. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (คณะกรรมการฯ) ในคราวประชุมครั้งที่ 36 – 4/2560 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 มีมติเห็นชอบในหลักการแผนการดำเนินงานทุน พสวท. พ.ศ. 2560 - 2564 และต่อมาในคราวประชุมครั้งที่ 37 – 1/2561 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการปรับรายละเอียดในประเด็นต่าง ๆ ของแผนการดำเนินงานทุน พสวท. พ.ศ. 2560 - 2564 เช่น การปฏิบัติงานตอบแทนทุนของผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. ในหน่วยงานภาคเอกชนและสถานศึกษาเอกชน การนับเวลาปฏิบัติงานตอบแทนทุนของผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขเดิม เป็นต้น
2. ศธ. (สสวท.) ได้ประชุมหารือร่วมกับสำนักงาน ก.พ. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 (เรื่อง การจัดสรรทุนรัฐบาลให้แก่หน่วยงานของรัฐ) ซึ่งสำนักงาน ก.พ. เห็นด้วยในหลักการและเห็นว่า สสวท. (1) ควรมีวิธีการและเทคนิคในการกำหนดจำนวนทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และ (2) ควรมีแนวทางและระบบการบริหารและติดตามการตอบแทนทุนที่ชัดเจน นอกจากนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้พิจารณากรอบอัตราค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผู้รับทุน พสวท. ในประเทศแล้วเห็นชอบด้วย โดย ศธ. (สสวท.) ได้ปรับแก้ไขแผนการดำเนินงานทุน พสวท. ดังกล่าวตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. แล้ว สรุปได้ ดังนี้
แผนการดำเนินงานทุน พสวท. พ.ศ. 2555 – 2559 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 |
แผนการดำเนินงานทุน พสวท. พ.ศ. 2560 – 2564 (สิ่งที่ขอปรับในครั้งนี้) |
เหตุผล |
|
การสรรหานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษเข้ารับทุน พสวท. |
|
||
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.ปลาย) โดยคัดเลือกผู้จบมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ต้น) ที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านกระบวนการสอบและสอบสัมภาษณ์ ซึ่งนักเรียนที่สอบคัดเลือกได้ต้องย้ายไปศึกษา ณ โรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท. |
- ระดับ ม.ปลาย โดยคัดเลือกผู้จบ ม.ต้น เข้าศึกษาในโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท. หรือสามารถศึกษาในโรงเรียนเดิม/โรงเรียนอื่นที่มีศักยภาพสูงเทียบเท่าโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท. ได้ตามความต้องการของผู้เรียน อย่างไรก็ตามนักเรียนที่ได้รับทุนจะไม่สามารถรับทุนอื่นซ้ำซ้อนและจะจำกัดจำนวนผู้รับทุนในสถานศึกษาหนึ่ง ๆ |
เนื่องจากนักเรียนระดับ ม.ต้น มีความนิยมที่จะเลือกศึกษาต่อที่โรงเรียนเดิมหรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในระดับ ม.ปลาย |
|
- ระดับปริญญาตรี (ป.ตรี) โดยรับนักเรียนจากโรงเรียนที่เป็นศูนย์ พสวท. ต่อเนื่อง และคัดเลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากทั่วประเทศผ่านกระบวนการสอบและการสอบสัมภาษณ์ ซึ่ง นักเรียนที่สอบคัดเลือกได้ต้องย้ายไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยที่เป็นศูนย์ พสวท. |
- ระดับ ป.ตรี คงเดิม |
|
|
จำนวนทุนการศึกษาต่อปี |
|
||
- ทุนการศึกษาในประเทศ 1) ม.ปลาย โดยคัดเลือกใหม่ จำนวน 100 ทุน/ชั้นปี 2) ป.ตรี โดยรับต่อเนื่องจากนักเรียนทุน พสวท. ม.ปลาย จำนวน 90 ทุน/ชั้นปี และรับจากนักเรียน ม.ปลาย ทั่วไป จำนวน 80 ทุน/ชั้นปี รวม 170 ทุน/ชั้นปี 3) ปริญญาโท (ป.โท) โดยรับต่อเนื่องจาก นักเรียนทุน พสวท. ป.ตรี ในประเทศ จำนวน 155 ทุน/ชั้นปี 4) ปริญญาเอก (ป.เอก) โดยรับต่อเนื่อง จากนักเรียนทุน พสวท. ป.โท ในประเทศ จำนวน 135 ทุน/ชั้นปี - ทุนการศึกษาต่างประเทศ 1. ป.ตรี-โท-เอก โดยรับต่อเนื่องจาก นักเรียนทุน พสวท. ม.ปลาย จำนวน 10 ทุน/ชั้นปี 2. ป.โท-เอก โดยรับต่อเนื่องจากนักเรียน ทุน พสวท. ป.ตรี ในประเทศ จำนวน 15 ทุน/ชั้นปี 3. ป.เอก โดยรับต่อเนื่องจากนักเรียนทุน พสวท. ป.โท ในประเทศ จำนวน 20 ทุน/ชั้นปี
|
- ทุนการศึกษาในประเทศ 1) ม.ปลาย โดยคัดเลือกใหม่ จำนวน ไม่เกิน 40 ทุน/ชั้นปี 2) ป.ตรี โดยคัดเลือกจาก (1) นักเรียน ทุน พสวท. ม.ปลาย และ (2) จาก นักเรียนทั่วไปและนักเรียนโครงการทุน วิทยาศาสตร์อื่น ๆ ของรัฐบาลและ เอกชน จำนวนไม่เกิน 140 ทุน/ชั้นปี และจะได้รับการสนับสนุนให้ศึกษา ต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษาระดับ ป.โท และ ป.เอก
- ทุนการศึกษาต่างประเทศ 1. ป.ตรี–โท-เอก โดยคัดเลือกจาก นักเรียนทุน พสวท. ม.ปลาย ที่มี คุณสมบัติตามที่ สสวท. กำหนดก่อน แล้วจึงคัดเลือกนักเรียนโครงการทุน วิทยาศาสตร์อื่น ๆ ของรัฐบาลและ เอกชนเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 40 ทุน/ชั้นปี นอกจากนี้เมื่อสำเร็จ การศึกษาระดับ ป.ตรี ผู้รับทุนสามารถ สมัครเพื่อขอรับทุนวิทยาศาสตร์อื่นของ รัฐบาลและทุนอื่น ๆ เพื่อศึกษาต่อใน ระดับที่สูงขึ้นได้ 2. ป.โท-เอก คงเดิม 3. ป.เอก คงเดิม |
ปัจจุบันมีโครงการและทุนที่ดึงดูดผู้มีศักยภาพสูงจากองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงขอปรับลดจำนวนทุนการศึกษาในประเทศ และขอปรับเพิ่มจำนวนทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ ระดับ ป.ตรี-โท-เอก เพื่อให้นักเรียนทุน พสวท.ได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างสูงสุด |
|
ทุนการศึกษาส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว |
|
||
- ศึกษาในประเทศ 1) ม.ปลาย 6,100 บาท/เดือน 2) ป.ตรี 7,300 บาท/เดือน 3) ป.โท 8,700 บาท/เดือน 4) ป.เอก 12,000 บาท/เดือน - ศึกษาต่างประเทศ ใช้อัตราค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนรัฐบาล ณ ต่างประเทศของสำนักงาน ก.พ.
|
- ศึกษาในประเทศ 1) ม.ปลาย 9,150 บาท/เดือน (เพิ่มขึ้น 3,050 บาท) 2) ป.ตรี 10,950 บาท/เดือน (เพิ่มขึ้น 3,650 บาท) 3) ป.โท 12,180 บาท/เดือน (เพิ่มขึ้น 3,480 บาท) 4) ป.เอก 16,800 บาท/เดือน (เพิ่มขึ้น 4,800 บาท) - ศึกษาต่างประเทศ คงเดิม
|
เนื่องจากปัจจุบันค่าครองชีพต่าง ๆ สูงขึ้นมาก ดังนั้นจึงขอปรับกรอบค่าใช้จ่ายส่วนตัวในอัตราที่ไม่มากกว่าวุฒิขั้นต่ำที่ข้าราชการได้รับ |
|
เงื่อนไขเวลาการปฏิบัติงานตอบแทนทุน การบูรณาการทุนการศึกษากับทุนรัฐบาลอื่น ๆ และการชดใช้ทุนเป็นเงิน |
|
||
- เวลาการปฏิบัติงานตอบแทนทุน ทุนศึกษาในประเทศ 1. ระดับ ม.ปลาย ไม่นับเวลาปฏิบัติงาน ตอบแทนทุน 2. ระดับ ป.ตรี ป.โท และ ป.เอก ให้ปฏิบัติงานตอบแทนทุนการศึกษา ไม่น้อยกว่า 1 เท่า ของระยะเวลาที่ศึกษา ด้วยทุน พสวท. - ทุนศึกษาต่างประเทศ ระดับ ป.ตรี ป.โท และ ป.เอก ให้ปฏิบัติงานตอบแทนทุนการศึกษาไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของระยะเวลาที่ศึกษาด้วยทุน พสวท. ในกรณีนับระยะเวลาปฏิบัติงานตอบแทนทุนการศึกษารวมแล้วเกิน 10 ปี ให้ปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 10 ปี ในทุกกรณี ทั้งทุนศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
- การบูรณาการทุน พสวท. กับทุนรัฐบาล อื่น ๆ ให้นับเวลาปฏิบัติงานตอบแทนทุนรัฐบาลอื่น (สำหรับการศึกษาในระดับที่สูงกว่า) ให้ครบก่อนแล้วจึงนับเวลาปฏิบัติงานตอบแทนทุน พสวท. ต่อจากทุนอื่น
- การชดใช้ทุนเป็นเงิน หากผิดสัญญาจะต้องจ่ายคืนเงินทุนการศึกษาเป็นจำนวน 2 เท่าของที่ได้รับไป ทั้งทุนศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
- หน่วยงานที่ปฏิบัติ ผู้สำเร็จการศึกษาที่รับทุน พสวท. ต้องปฏิบัติงานตอบแทนทุนในตำแหน่งนักวิจัย หรือนักวิทยาศาสตร์ หรืออาจารย์ในหน่วยงานภาครัฐ ในกรณีที่ไม่มีอัตราบรรจุอาจปฏิบัติงานในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวรายปีหรือลูกจ้างที่มีแผนปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 2 ปี ให้นับเป็นเวลาปฏิบัติงานตอบแทนทุนได้ |
- เวลาการปฏิบัติงานตอบแทนทุน
คงเดิม
ในกรณีที่ผู้รับทุนมีระยะเวลาการปฏิบัติงานตอบแทนทุนรวมมากกว่าหรือเท่ากับ 10 ปี ให้ถือว่าการปฏิบัติงานตอบแทนทุน พสวท. หมดลงในปีที่ 10 ของการปฏิบัติงานตอบแทนทุน ทั้งทุนศึกษาในประเทศและต่างประเทศ - การบูรณาการทุน พสวท. กับทุนรัฐบาลอื่น ๆ หากนับเวลาปฏิบัติงานตอบแทนทุนรวมกันแล้วมากกว่า 10 ปีให้ถือว่าการปฏิบัติงานตอบแทนทุนในส่วนของทุน พสวท. สิ้นสุดลงในปีที่ 10 ของการปฏิบัติงานตอบแทนทุน ทั้งนี้ หากผู้รับทุน พสวท. ไปรับทุนอื่น ๆ ในระดับบัณฑิตศึกษา แต่มีความประสงค์ที่จะรับสิทธิประโยชน์จากทุน พสวท. หลังจากสำเร็จการศึกษาจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพในระดับบัณฑิตศึกษาครบตามที่ทุน พสวท. กำหนด - การชดใช้ทุนเป็นเงิน ทุนศึกษาในประเทศ 1. ระดับ ม.ปลาย หากผู้รับทุนไม่ประสงค์จะศึกษาต่อเนื่องในระดับที่สูงขึ้นด้วยทุน พสวท. ต้องแจ้งความจำนงภายในเวลาที่ สสวท. กำหนด เพื่อที่จะไม่ต้องชดใช้ทุนการศึกษา หากลาออกจากทุนก่อนกำหนด ต้องใช้ทุนคืน 1 เท่า ของจำนวนเงินทุนการศึกษาและเงินอื่นใดที่ผู้รับทุนได้รับไปทั้งหมด 2. ระดับ ป.ตรี ป.โท และ ป.เอก ผู้รับทุนที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของทุน พสวท. หรือที่ไม่ประสงค์จะศึกษาต่อเนื่องในระดับที่สูงขึ้นต้องชดใช้ทุน 1 เท่าของจำนวนเงินทุนการศึกษาและเงินอื่นใดที่ผู้รับทุนได้รับไปทั้งหมด ทุนศึกษาต่างประเทศ คงเดิม - หน่วยงานที่ปฏิบัติ 1. ให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. เข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานภาครัฐก่อน หากภาครัฐมีอัตราจำกัดให้ผู้สำเร็จทุน พสวท. ไปปฏิบัติงานในหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจที่มีงานวิจัยรองรับหรือบริษัทเอกชนที่ภาครัฐถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 51 (ที่อาจพิจารณาเทียบเคียงกับรัฐวิสาหกิจได้) โดยมีคณะทำงานกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการบรรจุผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. 2. ผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. ที่ประสงค์จะปฏิบัติงานชดใช้ทุนในหน่วยงานภาคเอกชน ผู้สำเร็จการศึกษาหรือหน่วยงานเอกชนต้นสังกัดจะต้องชดใช้เงินทุนให้กับ พสวท. เป็นจำนวน 1 เท่า ของเงินทุนการศึกษาและหรือเงินอื่นใดที่ผู้รับทุนได้รับไปจาก พสวท. โดยคิดทั้งมูลค่าความร่วมมือในรูปตัวเงิน (in-cash) และความช่วยเหลือ (in-kind) เช่น การสนับสนุนทรัพยากรในด้านต่าง ๆ การเป็นวิทยากร สนับสนุนสถานที่ในการฝึกอบรม เป็นต้น |
เนื่องจากมีผู้ไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนส่วนตัวเพิ่มมากขึ้นและมีทุนการศึกษาที่ไม่มีข้อผูกพันจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศผู้เรียนจึงเลือกที่จะไม่รับทุน พสวท. เช่นที่ผ่านมา
ภาคเอกชนยังขาดแคลนนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านโดยต้องพึ่งพาอาศัยนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ดังนั้น จึงขอปรับเปลี่ยนรูปแบบและหน่วยงานสำหรับปฏิบัติงานตอบแทนทุนให้สามารถปฏิบัติงานตอบแทนทุนในหน่วยงานภาคเอกชนและสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนภายในประเทศได้ |
|
* สำหรับประมาณการค่าใช้จ่าย สสวท. จะดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีจาก สำนักงบประมาณ (สงป.) ผ่าน ศธ. โดยทำความตกลงในรายละเอียดร่วมกับ สงป. ต่อไป
7. เรื่อง ขอยกเลิกการขอใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C (สำนักงาน ป.ป.ท) และเรื่อง การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่ โซน C (สำนักงาน ปปง.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พื้นที่โซน C ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ป.ป.ท. และสำนักงาน ปปง. รายงานว่า
1. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 กค. ได้จัดสรรพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ พื้นที่โซน C ให้กับสำนักงาน ป.ป.ท. จำนวน 20,000 ตารางเมตร และสำนักงาน ปปง. จำนวน 44,235 ตารางเมตร ต่อมาสำนักงาน ป.ป.ท. และสำนักงาน ปปง. ประสงค์จะขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ดังกล่าวจึงได้แจ้งกรมธนารักษ์ กค. โดยได้ขอใช้ที่ดินและอาคารที่ได้มาจากการยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามกฎหมายของสำนักงาน ปปง. มาทดแทนแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดและเหตุผลความจำเป็นในการยกเลิกการขอใช้พื้นที่ฯ สรุปได้ ดังนี้
สำนักงาน ป.ป.ท. |
|
ประเด็น |
รายละเอียด |
สถานที่ทำการ (ปัจจุบัน) |
สำนักงาน ป.ป.ท. ได้เช่าอาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลคลองเกลือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พื้นที่ใช้สอยอาคารทั้งหมด 9,134.87 ตารางเมตร เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานและเป็นสถานที่ในการปฏิบัติงาน ตั้งแต่ปี 2552-2563 คิดเป็นค่าเช่ารวมทั้งสิ้น 468.071 ล้านบาท แต่สถานที่ดังกล่าวคับแคบเป็นอาคารเช่า ซึ่งไม่สามารถขยายพื้นที่เพื่อรองรับภารกิจงานได้ ประกอบกับ มีผู้รับบริการจำนวนเพิ่มขึ้น สำนักงาน ป.ป.ท. จึงได้ขอเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ พื้นที่โชน C เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงาน ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ท. ได้รับการจัดสรรพื้นที่จากกรมธนารักษ์ รวมทั้งสิ้น 20,000 ตารางเมตร |
เหตุผล/การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการฯ |
เนื่องจากสำนักงาน ป.ปท. เป็นองค์กรหลักของฝ่ายบริหารในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยเป็นศูนย์กลางด้านการป้องกันการปราบปรามและการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ดังนั้น สำนักงาน ป.ป.ท. ควรจัดหาที่ดินเพื่อสร้างอาคารสำนักงานเป็นของตนเองให้มีพื้นที่ที่เหมาะสม เป็นสัดส่วน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในด้านเอกสารคดีและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นภารกิจลับที่มีความหลากหลายและแตกต่างจากภารกิจของส่วนราชการอื่น ดังนั้น สำนักงาน ป.ป.ท. จึงได้ขอยกเลิกเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการฯ ต่อ กรมธนารักษ์ (วันที่ 18 กันยายน 2562) |
สถานที่ทำการ (ใหม่) |
สำนักงาน ป.ป.ท. ได้ขอใช้ประโยชน์ในที่ดินจากสำนักงาน ปปง. (ที่ตั้งในตำบลบางรักใหญ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน รวมเนื้อที่ทรัพย์สิน จำนวน 6 ไร่ 2 งาน 98.4 ตารางวา) เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมภาคสนามในการฝึกทักษะให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ และข้าราชการสำนักงาน ป.ป.ท. ซึ่งปัจจุบันเลขาธิการ ปปง. ได้อนุญาตให้สำนักงาน ป.ป.ท. ใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว และได้มีการส่งมอบทรัพย์สิน (ที่ดิน) ให้สำนักงาน ป.ป.ท. แล้วเมื่อวันที่ 19พฤศจิกายน 2562 |
สถานที่ทำการ (ปัจจุบัน) |
สถานที่ทำการของสำนักงาน ปปง. ในปัจจุบัน มี 3 แห่ง ประกอบด้วย อาคารสูง 12 ชั้น ตั้งอยู่ (ในที่ราชพัสดุ) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ จำนวน 11,564 ตารางเมตร รองรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ได้เพียง 500 คน จากจำนวนอัตรากำลังทั้งหมด จำนวน 800 คน ดังนั้น สำนักงาน ปปง. จึงได้เช่าอาคารเอกชนเพิ่มเติม (สัญญาปีต่อปี) จำนวน 2 แห่ง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 3,240 ตารางเมตร เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่อีกประมาณ 300 คน และเนื่องจากสำนักงาน ปปง. มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำนักงานเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นพื้นที่ปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสำนักงน ปปง. และสำหรับเป็นพื้นที่เก็บทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดตามกฎหมาย สำนักงาน ปปง. จึงได้ขอเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ พื้นที่โชน C รวมทั้งสิ้น 44,235 ตารางเมตร เพื่อเป็นที่ตั้งสำนักงาน ปปง. |
เหตุผล/การยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการฯ |
การเช่าอาคารเอกชนทั้ง 2 แห่ง ทำให้สำนักงาน ปปง. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าเป็นเงินปีละประมาณ 21.30 ล้านบาท ประกอบกับศูนย์ราชการฯ อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4-5 ปี ส่งผลทำให้สำนักงาน ปปง. จำเป็นต้องเช่าอาคารเอกชนต่อไปอีก 4-5 ปี ซึ่งจะทำให้เสียค่าเช่าเป็นเงินประมาณ 100 ล้านบาทเศษ นอกจากนี้ สำนักงาน ปปง. ยังมีระบบศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ (Data Center) ที่ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อปลายปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และใช้งบประมาณในการดำเนินการเป็นเงินทั้งสิ้น 208 ล้านบาท หากจะต้องย้ายที่ทำการไปยังศูนย์ราชการฯ พื้นที่โชน C ทั้งหมด จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายและติดตั้งระบบดังกล่าวใหม่เป็นเงินจำนวนมาก ดังนั้น สำนักงน ปปง. จึงได้ขอยกเลิกเข้าใช้พื้นที่ศูนย์ราชการฯ ต่อกรมธนารักษ์ (วันที่ 3 กรกฎาคม 2562) |
สถานที่ทำการ (ใหม่) |
ปัจจุบันสำนักงาน ปปง. ได้ยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นอาคารพร้อมที่จอดรถสูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคารและอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณถนนรัชดาภิเษก ซอย 20 (ใกล้กับที่ตั้งของศาลแพ่ง) สำนักงาน ปปง. พิจารณาแล้วเห็นว่า อาคารดังกล่าวมีความเหมาะสม สามารถใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานของสำนักงาน ปปง. และมีพื้นที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน สามารถรองรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ได้ไม่น้อยกว่า 500 คน จึงได้ขอใช้ประโยชน์อาคารดังกล่าวเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแชมอาคารดังกล่าวข้างต้นเพียง 12 ล้านบาท ก็สามารถเข้าไปใช้พื้นที่เพื่อการปฏิบัติงานได้ภายในเวลา 6 เดือน ส่งผลทำให้ประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการนี้ เลขาธิการ ปปง. ได้อนุญาตให้สำนักงาน ปปง. เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารดังกล่าวแล้ว |
2. สำนักงาน ป.ป.ท. และสำนักงาน ปปง. ได้ส่งเรื่องเกี่ยวกับการขอยกเลิกการใช้พื้นที่ศูนย์ราชการฯ ต่อกรมธนารักษ์แล้ว โดยกรมธนารักษ์พิจารณาแล้วมีความเห็นสรุปได้ ดังนี้
2.1 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (26 พฤศจิกายน 2561) อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) โดยมีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรพื้นที่ 11 หน่วยงาน (รวมถึงสำนักงาน ป.ป.ท. และสำนักงาน ปปง.) นั้น ปัจจุบัน กค. (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ได้จัดหาแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศให้ ธพส. เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จและให้ส่วนราชการเข้าใช้พื้นที่ได้ในปี 2566 และขณะนี้อยู่ระหว่างกรมธนารักษ์เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่าอาคารโครงการศูนย์ราชการฯ พื้นที่โชน C ให้กับ ธพส. แทนหน่วยงานที่เข้าใช้ประโยชน์ โดยมีกำหนดเวลา 30 ปี
2.2 กรณีสำนักงาน ป.ป.ท.และสำนักงาน ปปง. ขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการฯ พื้นที่โชน C จะต้องดำเนินการตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 และวันที่ 11 ธันวาคม 2550 กรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่ปฏิบัติงานในศูนย์ราชการฯ ไว้แล้ว จะต้องแจ้งเหตุผลความจำเป็นที่จะขอยกเลิกการเข้าใช้พื้นที่ดังกล่าวให้กรมธนารักษ์ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี พร้อมทั้งเสนอเรื่องขอยกเลิกการใช้พื้นที่ในศูนย์ราชการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาไปพร้อมกันด้วย
8. เรื่อง การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer Management Guideline)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ [Government Chief Information Officer (GCIO) Management Guideline] ของสำนักงาน ก.พ.
2. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในข้อ 1
3. เห็นชอบการเพิ่มเติมบทบาทของ GCIO ระดับกระทรวง กรม และจังหวัด ในการเป็นผู้นำการปรับเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการบริการของหน่วยงานในรูปแบบ Digital Transformation เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเร่งด่วน
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า
1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการ GCIO สำนักงาน ก.พ. ได้จัดประชุมร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ (คพร.) เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการ GCIO ให้ได้ข้อยุติร่วมกัน โดยมีประเด็นที่มีผลต่อการปรับรายละเอียดแนวทางการบริหารจัดการ GCIO ดังนี้
1.1 การปรับรายละเอียดแนวทางการบริหารจัดการ GCIO เฉพาะในส่วนขององค์ประกอบและบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของคณะกรรมการ GCIO ดังนี้
รายละเอียดตามนัยมติคณะรัฐมนตรี (26 พฤศจิกายน 2562) |
รายละเอียดที่เสนอปรับปรุงครั้งนี้ |
องค์ประกอบ |
|
1) รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลภารกิจด้านการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เป็นประธาน |
1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน |
2) รับมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นรองประธาน |
2) ไม่มีการกำหนดตำแหน่งรองประธานและองค์ประกอบอื่นเป็นไปตามเดิม |
หน้าที่ความรับผิดชอบ |
|
3) ให้ความเห็นชอบสถาปัตยกรรมองค์กรภาครัฐรวมทั้งบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกัน |
3) ให้ข้อเสนอแนะหรือคำแนะนำสถาปัตยกรรมองค์กรภาครัฐ รวมทั้งบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกัน |
1.2 การเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงระดับจังหวัด (Provincial Chief Information Officer: PCIO) ดังนี้
องค์ประกอบ PCIO ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี (26 พฤศจิกายน 2562) |
ประเด็นที่ปรับปรุง |
1) ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน |
1) ผู้ว่าราชการจังหวัด/ปลัดกรุงเทพมหานคร หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัด/รองปลัดกรุงเทพมหานครที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน |
2) หัวหน้าสำนักงานจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ |
2) หัวหน้าสำนักงานจังหวัด/หัวหน้าหน่วยงานการบริหารจัดการการขับเคลื่อนภารกิจของกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการและเลขานุการ |
3) สถิติจังหวัด เป็นผู้ช่วยเลขานุการ |
3) สถิติจังหวัด/หัวหน้าหน่วยงานการจัดระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศของกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ช่วยเลขานุการ |
หมายเหตุ: องค์ประกอบอื่นคงเดิม |
1.3 เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดอบรมหลักสูตร GCIO จะไม่มีผลกระทบต่อหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (หลักสูตร รอส.) จึงเห็นควรเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ดังนี้
ถ้อยคำตามนัยมติคณะรัฐมนตรี (26 พฤศจิกายน 2562) |
ถ้อยคำที่ขอปรับในครั้งนี้ |
ให้ สพร. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการอบรมหลักสูตร GCIO … |
ให้ สพร. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตร GCIO ... (ถ้อยคำที่เหลือคงเดิม) |
ก.พ. โดยคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) วิสามัญเฉพาะกิจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการ ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 เห็นชอบการปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียดแนวทางการบริหารจัดการ GCIO และการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (26 พฤศจิกายน 2562) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร รอส. แล้ว
2. กพ. โดย อ.ก.พ. วิสามัญเฉพาะกิจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการ ในการประชุมครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 และครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 เห็นชอบการเพิ่มเติมบทบาทของ GCIO ระดับกระทรวง กรม และจังหวัด ในการเป็นผู้นำการปรับเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการบริการของหน่วยงานในรูปแบบ Digital Transformation เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเร่งด่วน เช่น การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 วางแนวทางสนับสนุนการปฏิบัติงานบนฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) เช่น การจัดหาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) หรือปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของหน่วยงาน และการนำอุปกรณ์ไอทีส่วนตัวมาใช้ในการปฏิบัติงาน (Bring Your Own Device) เป็นต้น โดยให้ดำเนินการให้สอดคล้องกันอย่างเป็นระบบและสร้างความยั่งยืนในการดำเนินการ
2.2 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงานในหน่วยงานและพัฒนาหรือจัดให้มีระบบเทคโนโลยีดิจิทัลที่รองรับการปฏิบัติงานและให้บริการประชาชนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เช่น ระบบ e - Office ระบบ e - Saraban ระบบ e - Meeting ระบบ e - Service และระบบ e - Edutainment เป็นต้น โดยให้มีการพิจารณาถึงความต้องการในการใช้งานที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคตและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการสร้างวิถีชีวิตใหม่ในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและมีผู้รับผิดชอบการดำเนินการที่ชัดเจน จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นเจ้าภาพหลัก โดยเร่งผลักดันและดำเนินการ ดังนี้
ประเด็น |
ผู้รับผิดชอบหลัก/กลไกการดำเนินงาน |
1) การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับการให้บริการผ่านระบบดิจิทัลที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการและสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน |
สพร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
2) การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับการปฏิบัติงานของบุคลากรภาครัฐ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยง การแลกเปลี่ยนและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน |
ดศ. สพร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
3) การสร้างการรับรู้ และความเข้าใจในกฎ ระเบียบ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานด้านดิจิทัลของบุคลากรในหน่วยงาน ซึ่งควรมีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์หรือหลักสูตรให้ความรู้กับผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงด้วย |
ดศ. สพร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
4) การสร้างความพร้อมและพัฒนาบุคลากรผู้ปฏิบัติงานให้พร้อมรับและปรับตัวเข้ากับการปฏิบัติงาน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและวิถีชีวิตใหม่ในการปฏิบัติงาน ซึ่งควรมีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ หรือหลักสูตรให้ความรู้กับผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงด้วย |
สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
5) การปรับปรุงหรือแก้ไขกฎ ระเบียบ การวางหรือจัดทำแนวทาง มาตรการที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหา อุปสรรคในการปฏิบัติงานและการบริหารงานภาครัฐด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการสร้างวิถีชีวิตใหม่ในการปฏิบัติงาน |
ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง ระดับกระทรวง (MCIO) ระดับกรม (DCIO) และระดับจังหวัด (PCIO) รวบรวมประเด็นการดำเนินการ ได้แก่ - เพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการปฏิบัติงานและการบริหารงานภาครัฐด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเสนอ GCIO Committee ที่จะจัดตั้งขึ้น เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและการดำเนินการที่สอดรับประเด็นดังกล่าวต่อไป |
6) การสนับสนุนงบประมาณเพื่อรองรับการสร้างและพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล หรือการดำเนินการที่รองรับการปฏิบัติงานและให้บริการประชาชนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ |
สำนักงบประมาณ (สงป.) |
2.3 กำหนดแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของหน่วยงานเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล การปฏิบัติงานที่บ้านหรือการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของหน่วยงาน โดยมีการดำเนินการหลัก ดังนี้
การดำเนินการ |
วัตถุประสงค์ |
1) รวบรวมการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของกระบวนการหรือระบบการทำงานก่อนและระหว่างการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในหน่วยงาน |
เพื่อแสดงภาพรวมการเปลี่ยนแปลง และความเคลื่อนไหวของการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการและระบบปฏิบัติงานของหน่วยงาน |
2) วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และปัญหาและอุปสรรคจากการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล |
เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมและการสร้างความยั่งยืนในการดำเนินการ |
3) ประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล |
เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินงาน การประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และคุณภาพของงานที่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดหรือความพึงพอใจของผู้รับบริการ |
9. เรื่อง ขออนุมัติจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของ รฟท. (บริษัทลูกฯ) [เบื้องต้นจะใช้ชื่อว่า บริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (บริษัทฯ)] ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ตามมาตรา 39 (8) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 และตามขั้นตอนของหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุนในบริษัทในเครือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550 โดยให้นำความเห็นตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ไปประกอบการดำเนินการอย่างเคร่งครัด
2. เห็นชอบให้ รฟท. กู้ยืมเงิน จำนวน 200 ล้านบาท ตามมาตรา 39 (4) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 เพื่อนำมาลงทุนเป็นทุนจดทะเบียนในบริษัทลูกฯ โดย รฟท. รับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และกระทรวงการคลัง (กค.) ค้ำประกันการกู้เงิน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม สำหรับการขอยกเว้นการคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่ รฟท. พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของ กค.
10. เรื่อง การลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park ตั้งอยู่ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ 1,383.76 ไร่ มูลค่าประมาณ 2,370.72 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการลงทุนโครงการพัฒนานิคมอุตสหกรม Smart Park ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ 1,383.76 ไร่ โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยคาดว่จะใช้เวลาพัฒนาพื้นที่ประมาณ 3 ปี และคาดว่าพื้นที่จะถูกเช่าหมดภายใน 4 ปี หลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ ทั้งนี้ กนอ. แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กนอ. อยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าพื้นที่ โดยเบื้องต้นจะกำหนดในอัตราที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เช่าพื้นที่ในนิคมอุตสหกรรมมาบตาพุดแล้วประมาณร้อยละ 88 ทั้งนี้ โครการฯ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้ง คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ประกอบกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแล้วเห็นชอบ
2. กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งว่า โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม Smart Park มีกรอบวงเงินลงทุนโครงการ 2,480.73 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณของ กนอ. 2,451.17 ล้านบาท และงบประมาณแผ่นดิน 29.56 ล้านบาท (งบประมาณปี 2561 ดำเนินการแล้วเสร็จ) ทั้งนี้ รายงานการประชุมสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า การลงทุนโครงการฯ ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาหรือกระทบต่อฐานะทางการเงินของ กนอ. เนื่องจาก กนอ. จะยังคงมีเงินคงสภาพคล่องแต่ละปีมากกว่า 1,100 ล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณลงทุนตามแผนการลงทุนและก่อสร้างโครงการฯ ที่จะดำเนินการในแต่ละปี
3. ผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการระยะ 30 ปี พบว่า มีความคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน โดยในส่วนความคุ้มค่าทางการเงินมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV เท่กับ 585.74ล้านบาท อัตราผลตอบแทนของโครงการ (IRR) ร้อยละ 8.91 ซึ่งมากกว่าต้นทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินทุน (WACC) ของ กนอ. (ร้อยละ 7.25)
11. เรื่อง กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 วงเงินดำเนินการ จำนวน 1,510,238 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 291,809 ล้านบาท (รวมงบลงทุนในรูปแบบสัญญาเช่าที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากกิจกรรมหลักโดยตรง วงเงินดำเนินการ จำนวน 1,431 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 348 ล้านบาท) ประกอบด้วย (1) กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่อง วงเงินดำเนินการ จำนวน 1,210,238 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 241,809 ล้านบาท และ (2) กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน 300,000 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 50,000 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน
2. เห็นชอบให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2564 ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รวมถึงงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม งบกลางหรืองบประมาณที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการงบประมาณหรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ (สงป.) แล้ว และปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับการอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ
3. มอบหมายให้ สศช. โดยประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว
4. เห็นชอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจรับข้อเสนอแนะในส่วนที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะทุกไตรมาสและเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี 2564 ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ 5 ของเดือน อย่างเคร่งครัด รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง
5. รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ 2564 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 73,503 ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี 2565-2567 ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ 383,998 ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ 106,239 ล้านบาท
12. เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เสนอดังนี้
1. รับทราบและอนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ (คณะกรรมการฯ) ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ดังนี้
1.1 รับทราบการปรับลดกรอบวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโณนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดกู้เงินโควิด-19ฯ) ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2563 จากเดิม 600,000 ล้านบาท เป็น 450,000 ล้านบาท โดยนำวงเงินกู้ที่ได้ปรับลดมาบรรจุในแผนฯ ปีงบประมาณ 2564
1.2 อนุมัติแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ที่ประกอบด้วยแผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 1,465,438.61 ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิมวงเงิน 1,279,446.80 ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงิน 387,354.84 ล้านบาท
1.3 อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การเคหะแห่งชาติ (กคช.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Dept Service Coverage Ratio: DSCR) ต่ำกว่า 1 เท่า สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่งดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย
1.4 รับทราบแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง 5 ปี (ปีงบประมาณ 2564 – 2568) และมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในระยะต่อไป
2. อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 และให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ (คณะกรรมการฯ) ในการะประชุมครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 มีมติ ดังนี้
1.1 เห็นชอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
รายการ |
วงเงิน (ล้านบาท) |
||
แผนฯ ปี 2563 (ปรับปรุงครั้งที่ 2) |
แผนฯ ปี 2564 |
การเปลี่ยนแปลง (ปี 64 – ปี 63) |
|
1. แผนการก่อหนี้ใหม่ |
1,656,020.40* |
1,465,438.61 |
-190,581.79 |
1.1 รัฐบาล |
1,545,771.27 |
1,346,170.52 |
-199,600.75 |
1.2 รัฐวิสาหกิจ |
108,256.96 |
117,460.05 |
9,203.09 |
1.3 หน่วยงานอื่นของรัฐ |
1,992.17 |
1,808.04 |
-184.13 |
2. แผนการบริหารหนี้เดิม |
968,510.10 |
1,279,446.80 |
310,936.70 |
2.1 รัฐบาล |
810,215.57 |
1,140,580.79 |
330,365.22 |
2.2 รัฐวิสาหกิจ |
156,794.53 |
137,366.01 |
-19,428.52 |
2.3 หน่วยงานอื่นของรัฐ |
1,500.00 |
1,500.00 |
- |
3. แผนการชำระหนี้ |
367,043.90 |
387,354.84 |
20,310.94 |
3.1 แผนการชำระหนี้ของรัฐบาลและหนี้หน่วยงานของรัฐจากงบประมาณรายจ่าย |
236,824.13 |
293,454.32 |
56,630.19 |
3.2 แผนการชำระหนี้จากแหล่งอื่น ๆ |
130,219.77 |
93,900.52 |
-36,319.25 |
* หมายเหตุ: วงเงินค่อนข้างสูงเนื่องจากมีวงเงินกู้ของรัฐบาล กรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ จำนวน 214,093.92 ล้านบาท บรรจุเพิ่มเติมไว้ในแผนฯ ปีงบประมาณ 2563 (ปรับปรุงครั้งที่ 2)
โดยสาระสำคัญของแผนฯ ปีงบประมาณ 2564 มี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.1.1 แผนการก่อหนี้ใหม่โดยหลักเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2564 วงเงิน 623,000 ล้านบาท การกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินโควิด - 19ฯ วงเงิน 550,000 ล้านบาท และการกู้เพื่อลงทุนในโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 74,007.02 ล้านบาท เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร เป็นต้นอย่างไรก็ตาม เพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐจากการใช้เงินกู้และงบประมาณข้างต้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เห็นควรให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงานหรือโครงการให้สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างแท้จริง นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) จะดำเนินการกู้เงินเพื่อรักษาสภาพคล่องเงินคงคลังของภาครัฐให้เพียงพอต่อการรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลจากปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 โดยออกตั๋วเงินคลังระยะสั้น อายุไม่เกิน 120 วัน วงเงิน 99,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานในระยะยาวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.1.2 แผนการชำระหนี้ ประกอบด้วย แผนการชำระหนี้ของรัฐบาลและหนี้หน่วยงานของรัฐจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พศ. 2564 วงเงิน 293,454.32 ล้านบาท (เป็นวงเงินชำระต้นเงินกู้ 99,000.00 ล้านบาท และชำระดอกเบี้ย 194,454.32 ล้านบาท) และแผนการชำระหนี้จากแหล่งเงินอื่น ๆ วงเงิน 93,900.52 ล้านบาท เช่น ชำระหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นตัน
1.2 ในแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 มีรัฐวิสาหกิจ จำนวน 4 แห่งที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) นับแต่มีการก่อหนี้ในอัตราไม่ต่ำกว่า 1 เท่า ที่ต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2561 ข้อ 12 ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การเคหะแห่งชาติ การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ ทั้ง 4 แห่ง สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิม ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย
1.3 คณะกรรมการฯ ได้จัดทำแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2564 - 2568) โดยมีโครงการลงทุนรวม 182 โครงการ วงเงินลงทุนรวม 819,283.16 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง 5 ปีเดิม (ปีงบประมาณ2563 - 2567) ประมาณร้อยละ 30 เนื่องจากปัญหาความไม่ชัดเจนของนโยบายและรูปแบบการลงทุน และความไม่พร้อมของหน่วยงานเจ้าของโครงการ คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัดประสานงานกับรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการในกลุ่มโครงการที่ยังขาดความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการและการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในระยะต่อไป
2. การจัดทำแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2564 ได้จัดทำขึ้นภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2561 โดย กค. คาดว่าระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 อยู่ที่ร้อยละ 57.23 (กรอบไม่เกินร้อยละ 60) รวมทั้งได้จัดทำประมาณการหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ในช่วงปีงบประมาณ 2565 - 2568 อยู่ระหว่างร้อยละ 58.13 – 59.07 ซึ่งยังอยู่ภายใต้สัดส่วนที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดที่ระดับร้อยละ 60
13. เรื่อง ระเบียบคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำประมวล
จริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรม และกระบวนการรักษาจริยธรรมของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ระเบียบคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำประมวลจริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรรมและกระบวนการรักษาจริยธรรมของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2563 เพื่อสำนักงาน ก.พ. จะได้ดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า
1. ในการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ) ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการและวิธีการของการจัดทำร่างระเบียบคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำประมวลจริยธรรมข้อกำหนดจริยธรรม และกระบวนการรักษาจริยธรรมของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงาน ก.พ. ได้ปรับปรุงร่างระเบียบฯ ตามความเห็นและข้อสังเกตของ ก.ม.จ. โดยแจ้งเวียน ก.ม.จ. ให้ความเห็นชอบ และรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ประชาสัมพันธ์ทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.พ. เพื่อให้ข้าราชการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พิจารณาให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างระเบียบฯและได้เสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการมาตรฐานทาง จริยธรมพิจารณาลงนาม และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
2. ส่วนสาระสำคัญของระเบียบคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำประมวลจริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรรม และกระบวนการรักษาจริยธรรมของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ประกอบด้วย 4 หมวด และบทเฉพาะกาลจำนวน 22 ข้อ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
หมวด 1 บททั่วไป (ข้อ 5-ข้อ 6) กำหนดให้องค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรมดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับจากวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หมวด 2 หลักเกณฑ์การจัดทำประมวลจริยธรรมและข้อกำหนดจริยธรรม (ข้อ 7 - ข้อ 12) ประกอบด้วย
(1) หลักการจัดทำประมวลจริยธรมต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานทางจริยธรมที่กำหนดไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 และให้มีความสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน ยึดหลักการตามรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ บริบทสากล และการแก้ไขปัญหาหรือความเสี่ยงทางจริยธรรม โดยจะต้องแสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์ และคุณลักษณะของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดี
(2) วิธีการจัดทำประมวลจริยธรรม ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อจัดทำร่างประมวลจริยธรรมแล้วเสร็จให้เสนอ ก.ม.จ. เพื่อพิจารณา และจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อใช้บังคับ
(3) ส่วนราชการอาจจัดทำข้อกำหนดจริยธรรม โดยนำหลักเกณฑ์การจัดทำประมวลจริยธรรมมาปรับใช้ ทั้งนี้ ต้องเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทราบด้วย
หมวด 3 กระบวนการรักษาจริยธรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ข้อ 13-ข้อ 18) ได้กำหนด หน้าที่และอำนาจ กลไก วิธีการขององค์กรระดับต่าง ๆ ทั้งองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรม หน่วยงานของรัฐ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ และกลุ่มงานจริยธรรม เพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานทางจริยธรรมของหน่วยงาน
หมวด 4 การประกาศ เผยแพร่ และการประชาสัมพันธ์ (ข้อ 19-ข้อ 21) กำหนดให้องค์กรที่มีหน้าที่จัดทำประมวลจริยธรรมประกาศประมวลจริยธรรมในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับทราบและถือปฏิบัติ นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประมวลจริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรรม และกระบวนการรักษาจริยธรรมของหน่วยงานต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีช่องทางสอดส่องดูแลการประพฤติของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
บทเฉพาะกาล (ข้อ 22) กรณีได้มีการจัดทำประมวลจริยธรรมแล้วแต่ยังไม่ได้กำหนดกระบวนการรักษาจริยธรรม ให้กลไกที่มีอยู่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เดิมจนกว่าจะมีการกำหนดกระบวนการรักษาจริยธรรม
14. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ
ตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 และโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
คณะรัฐมนตรีมีเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เสนอมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 ดังนี้
1. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (แผนแม่บทฯ) ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ และให้ สศช. ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำแผนแม่บทฯ ในรูปแบบเฉพาะกิจเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ในช่วงระหว่างปี 2564 -2565 ตามที่ สศช. เสนอ ประกอบด้วย
1.1 มอบหมาย สศช. ใช้ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด – 19 พ.ศ. 2564 – 2565 (แผนแม่บทเฉพาะกิจฯ) ที่ สศช. ได้จัดทำขึ้นเบื้องต้นในการรับฟังความคิดเห็นผ่านวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกภาคีพัฒนาที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ให้แล้วเสร็จภายในช่วงเดือนตุลาคม 2563 โดยจะใช้การประชุมประจำปี 2563 ของ สศช. เป็นเวทีแรกในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ เพื่อนำความคิดเปห็นมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่างแผนแม่บท
เฉพาะกิจฯ ฉบับสมบูรณ์
1.2 มอบหมาย สศช. เสนอร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ฉบับสมบูรณ์ต่อคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไปภายในเดือนพฤศจิการยน 2563
2. เห็นชอบโครงการสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และมอบหมายให้ สศช. สำนักงบประมาณ (สงป.) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการสำคัญตามที่ สศช. เสนอ ประกอบด้วย
2.1 มอบหมาย สงป. พิจารณาจัดสรรงบประมาณรองรับการดำเนินโครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 571 โครงการ ในลักษณะงบประมาณพิเศษ หรืองบประมาณแบบบูรณาการ และให้ใช้ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ และห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย (Final Value Chain Thailand) เพื่อประกอบการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเพื่อการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ต่อไป
2.2 มอบหมายให้ สศช. ร่วมกับหน่วยงานที่มีโครงการสำคัญจัดทำรายละเอียดโครงการสำคัญให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ต้นจากระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) และร่วมกับหน่วยงานเจ้าภาพแผนแม่บทฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2570 ต่อไป
2.3 มอบหมายทุกหน่วยงานของรัฐจัทำแผนปฏิบัติราชการรายปีตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
สาระสำคัญของเรื่อง
สศช. รายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 พิจารณาเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. การแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทฯ ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ ตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560
1.1 ความเป็นมา
สศช. ได้ประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ผลกระทบของโควิด-19 ในมิติต่าง ๆ ที่อาจเกดิขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้เกิดการดำรงชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) สรุปได้ ดังนี้ (1) ผลกระทบระยะสั้น อาทิ การลดลงของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ การหดตัวของเศรษฐกิจ ความเสี่ยงในการปิดกิจการโดยเฉพาะ SMEs และการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น (2) ผลกระทบระยะยาว อาทิ การเร่งขึ้นของการเข้าสู่โลกดิจิทัล (Digital Transformation) ที่เทคโนโลยีจะมีบทบาทมากขึ้น ทั้งต่อพฤติกรรมการบริโภค แนวทางการประกอบธุรกิจ และรูปแบบการทำงาน การลดความเข้มข้นของกระแสโลกาภิวัฒน์ และ (3) จุดแข็งและโอกาส อาทิ ความสำเร็จในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโควิด – 19 ความพร้อมของไทยทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศ ความต้องการของตลาดโลกโดยเฉพาะด้านอาหารปลอดภัย สถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งการลงทุนที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ผลกระทบจากการระบาดของโควิด – 19 ข้างต้นแล้ว พบว่า ยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 1 มีประเด็นการพัฒนาที่ครอบคลุมถึงเรื่องการรับมือและปรับตัวต่อโรคอุบัติใหม่แล้ว โดยบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ยุทธศาสตร์ชาติที่ 5) ดังนั้น จึงควรมีการถ่ายระดับเป้าหมายและประเด็นการพัฒนาจากยุทธศาสตร์ชาติถึงแผนระดับต่าง ๆ และโครงการที่เกี่ยวข้อง ตามหลักการความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (Causal Relationship : XYZ) โดยเฉพาะการดำเนินการในส่วนของแผนแม่บทฯ ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 2 ที่มีการถ่ายระดับเป้าหมายและประเด็นการพัฒนาก่อนการระบาดของโควิด – 19 และยกระดับการพัฒนาประเทศตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
สศช. จึงได้จัดให้มีการประชุมหารือประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 คณะ โดยที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดทำแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ สศช. จึงได้ดำเนินการยกร่าง “แผนแม่บทเฉพาะกิจฯ” และนำเสนอที่ประชุมร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติอีกครั้ง ก่อนนำเสนอคณะกรรมกรยุทธศาสตร์ชาติเห็นชอบและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน
1.2 ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
หลักการ |
มุ่งเน้นการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ภูมิคุ้มกัน ความรู้ และคุณธรรม เพื่อให้ประเทศในระยะต่อไปได้รับการพัฒนาให้สามารถ “ล้มแล้วลุกไว” (Resilience) |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อทำให้ประเทศไทยสามารถกลับเข้าสู่ระดับการพัฒนาก่อนการระบาดโควิด – 19 และยกระดับการพัฒนาประเทศตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป |
เป้าประสงค์ |
เพื่อให้ “คนสามารถยังชีพอยู่ได้ มีงานทำ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวเข้าสู่สภาวะปกติ และมีการวางรากฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ (Economic Transformation)” |
แนวทางการพัฒนา |
ประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่ (1) การพร้อมรับ (Cope) (2) การปรับตัว (Adapt) และ (3) การเปลี่ยนแปลงเพื่อพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน (Transform) |
ประเด็นการพัฒนาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในระยะ 2 ปีข้างหน้า |
(1) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) (2) การยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Future Growth) (3) การพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ (Human Capital) (4) การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) ให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพของประเทศ |
โครงการรองรับการดำเนินการตามร่างแผนแม่บท เฉพาะกิจฯ |
(1) โครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 เพื่อรองรับผลกระทบจากโควิด – 19 ได้อย่างทันท่วงที (2) โครงการประจำปีงบประมาณปี 2564 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 (3) โครงการสำคัญประจำปีงบประมาณประจำปี 2565 ที่ดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 จำนวน 250 โครงการ |
1.3 มติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ โดยมอบหมายให้ สศช. เสนอต่อคณรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้ สศช. ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในรูปแบบเฉพาะกิจเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด – 19 ในช่วงระหว่างปี 2564 – 2565 ตามที่ สศช. เสนอ ดังนี้
แนวทางการดำเนินการ |
ช่วงเวลาดำเนินการ |
1. สศช. เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 |
ภายในเดือนกันยายน 2563 |
2. สศช. จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ผ่านวิธีการที่หลากหลาย เพื่อนำความคิดเห็นมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ฉบับสมบูรณ์ |
ภายในเดือนตุลาคม 2563 |
3. สศช. นำเสนอร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ฉบับสมบูรณ์ต่อคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะรัฐมนตรพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป |
ภายในเดือนพฤศจิกายน 2563 |
2. โครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
2.1 ความเป็นมา
สศช. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ร่วมกับหน่วยงานของรัฐในระดับกรมหรือเทียบเท่าและหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพแผนแม่บทฯ ทั้ง 3 ระดับ ในการจัดทำโครงการสำคัญประจำปี 2565 รวม 571 โครงการ จาก 3,428 โครงการ ซึ่งได้ผ่านกระบวนการและขั้นตอนการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยสามารถจำแนกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มโครงการ |
จำนวน |
1. โครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ 2565 ตามแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ (Top Priorities) จำแนกตาม 4 ประด็นการพัฒนา ได้แก่ (1) การเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาต่างประเทศ อาทิ โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs และโครงการส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุ (2) การยกระดับขีดความสามารถเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Future Growth) อาทิ ขยายตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวสีในต่างประเทศ และสร้างอุตสาหกรรมการแพทย์ใหม่บนฐานการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีด้านชีววิทยาศาสตร์ (3) การพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน (Human Capital) ให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ อาทิ โครงการส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) และแพลตฟอร์มการเฝ้าระวังสถานการณ์ของโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ หรือโรคติดต่ออันตรายแบบบูรณาการ (4) การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) อาทิ โครงการบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะสู่ชุมชนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และโครงการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสังคมและชุมชน |
250 โครงการ |
2. โครงการสำคัญรองรับการพัฒนาประเทศ ที่สอดคล้องกับการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายย่อยที่เกี่ยวข้องจากทั้ง 140 เป้าหมายของ 23 แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ โครงการ Smart Tourism Village และเพิ่มโอกาสการค้าด้วย e-Commerce |
321 โครงการ |
นอกจากนี้ สศช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำรายการห่วงโซ่คุณค่าของประเทศไทย (Final Value Chain Thailand) ของทั้ง 140 เป้าหมายแผนแม่บทย่อย ที่มีข้อมูลองค์ประกอบ ปัจจัยสำคัญ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการบรรลุเป้าหมายซึ่งในปัจจุบันยังขาดโครงการสำคัญรองรับ
2.2 มติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
เห็นชอบโครงการสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และมอบหมายให้ สงป. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการสำคัญตามที่ สศช. เสนอ
15. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2563 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 5) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 3 กันยายน 2563 เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศ
การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะสำนักงานประสานงานกลาง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้เชิญหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการในด้านต่างๆ ตามพระราชกำหนดฯ ผู้แทนส่วนราชการและประชาคมข่าวกรองเข้าร่วมการประชุม โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด–19 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในภาพรวมทั่วโลกยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและมีการแพร่กระจายในหลายภูมิภาค นอกจากนี้ ปัจจุบันยังพบคนไทยในประเทศติดเชื้อโควิด-19 โดยไม่ทราบสาเหตุ ประกอบกับรัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศโดยการอนุญาตให้ชาวต่างชาติหลายกลุ่มสามารถเดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักรเพิ่มเติม รวมทั้ง ยังมีสถานการณ์การรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อชุมนุมประท้วงทางการเมือง ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดในระลอกที่สอง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีอำนาจตามกฎหมายเพื่อกำกับดูแลโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวด เป็นเอกภาพและต่อเนื่อง เพื่อควบคุมมิให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคภายในประเทศ
2. ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่ายังมีความจำเป็นจะต้องใช้อำนาจตามพระราชกำหนดฯ เพื่อกำกับดูแลและบริหารจัดการให้เป็นไปตามมาตรการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ 1) การควบคุมการเดินทาง เข้า - ออกราชอาณาจักรในทุกช่องทาง 2) การจัดทำระบบติดตามตัว การกักตัว และการเฝ้าระวังบุคคลต้องสงสัย และ 3) การกำหนดมาตรการควบคุมโรคที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างครอบคลุมในทุกกิจกรรม/กิจการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจะต้องมีระบบการบริหารจัดการวิกฤติการณ์ในลักษณะการรวมศูนย์ที่มีการบูรณาการกำลังจากพลเรือน ตำรวจ และทหาร เข้าร่วมปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอตามภารกิจที่เกี่ยวข้อง
3. ที่ประชุมให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าอำนาจตามพระราชกำหนดฯ ถือเป็นเครื่องมือทางกฎหมายของภาครัฐเพื่อป้องกันและควบคุมมิให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในระหว่างการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง
4. สมช. ได้นำผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 12/2563 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
16. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากในปัจจุบันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ยังมีความรุนแรง ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อฯ รายใหม่ทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อฯ สะสมทั่วโลกมากกว่า 30 ล้านราย ทำให้คนต่างด้าวจำนวนหนึ่งยังคงตกค้างอยู่ในประเทศไทยเนื่องจากไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อกลับประเทศได้ และไม่สะดวกในการดำเนินการตามมาตรา 35 และมาตรา 37 (5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นได้ทันภายในวันที่ 26 กันยายน 2563 จึงจำเป็นต้องจัดทำประกาศกระทรวงมหาดไทย ตามมาตรา 17 แห่พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมาตรา 35 และ มาตรา 37 (5) ของคนต่างด้าว โดยให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษไปพลางก่อน ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 ตุลคม พ.ศ. 2563
17. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน จำนวน 10,000,000,000 บาท ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อดำเนินการลดยอดลูกหนี้รอการชดเชยของรัฐบาลใน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ภายในกรอบวงเงิน จำนวน 5,000 ล้านบาท และ 2) โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2559/2560 ภายในกรอบวงเงิน จำนวน 5,000 ล้านบาท
18. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 22/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ 22/2563 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ และการพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ รวมทั้งการพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาตามขั้นตอนของพระราชกำหนดฯ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
1. อนุมัติโครงการคนละครึ่ง ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กรอบวงเงินไม่เกิน 30,000.00 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 3.3 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ พร้อมทั้งเห็นควรให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการฯ ในรายละเอียด ทั้งนี้ กรณีที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการฯ ให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อ 18 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ อย่างเคร่งครัด
2. อนุมัติโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กรอบวงเงินไม่เกิน 20,922.7770 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 2.1 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
3. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการคนละครึ่งและโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และดำเนินการดังนี้
3.1 รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปประกอบการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
3.2 จัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายวัน (โครงการคนละครึ่ง) / รายเดือน (โครงการเพิ่มกำลังซื้อฯ) เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
3.3 รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงปัญหาอุปสรรค โดยจัดส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนดภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
3.4 ประสานกับกระทรวงการคลังในการรายงานขีดความสามารถในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดฯ ด้วย
4. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ของกรมการจัดหางาน
5. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 เรื่อง โครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงสาธารณสุข และเห็นควรอนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงินรวม 878.20 ล้านบาท และใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1.5 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
6. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก จังหวัดลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จังหวัดลำพูน และสถาบันวิทยาลัยชุมชน และเห็นควรให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก จังหวัดลำปาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จังหวัดลำพูน และสถาบันวิทยาลัยชุมชน ดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จำนวน 8 โครงการ กรอบวงเงินรวม 41,437,200 บาท โดยใช้จ่ายจากภายใต้แผนงานที่ 3.2 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ ต่อไป
7. มอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการตรวจสอบและแก้ไขปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ ของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ให้ถูกต้อง พร้อมทั้งรายงานการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้คณะกรรมการฯ ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายละเอียดดังกล่าวต้องไม่ทำให้สาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนแปลงไป โดยในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการปฏิบัติตามข้อ 18 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป
ต่างประเทศ
19. เรื่อง ร่างพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) และภาคผนวกมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) และภาคผนวกมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในร่างพิธีสารดังกล่าว ให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาลงนามในพิธีสารฯ พร้อมให้นำพิธีสารฯ ส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาให้มีความเห็นชอบตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารหรือสารของพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียนให้แก่เลขาธิการอาเซียน เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารดังกล่าวแล้ว โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอว่า
1. ข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals : MRA on TP) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกอาเซียน และแลกเปลี่ยนข้อมูลการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสอนและฝึกอบรมบุคลากรโดยใช้สมรรถนะเป็นหลัก และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ครอบคลุม 32 ตำแหน่งงาน ใน 2 สาขา คือ (1) สาขาที่พัก (Hotel Service) และ (2) สาขาการเดินทาง (Travel Service)
2. ประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นชอบให้มีการเพิ่มตำแหน่งงานและมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียนสำหรับสาขาไมซ์และสาขาการกิจกรรม (MICE and Event Industry) และสำนักเลขาธิการอาเซียนพิจารณาความเป็นไปได้ในการแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากร ด้านการท่องเที่ยวอาเซียนเพื่อให้สามารถเพิ่มตำแหน่งงานและบรรจุมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานของบุคลากร ด้านการท่องเที่ยวอาเซียนสำหรับสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรม รวมทั้งบุคลากรในสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การท่องเที่ยวได้ในอนาคต
3. สำนักเลขาธิการอาเซียนได้ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนจัดทำพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Protocol To Amend the Asean Mutual Recognition Arrangement on Tourism Professionals) เพื่อให้สามารถเพิ่มตำแหน่งงานและมาตรฐานสมรรถนะขั้นพื้นฐานของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียนสำหรับสาขาไมซ์และสาขาการจัดกิจกรรมในภาคผนวก และให้สามารถ ขยายตำแหน่งงานในสาขาด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ในอนาคต ซึ่งประเทศสมาชิกได้เห็นชอบร่างสุดท้ายของพิธีสารแก้ไขข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรด้านการท่องเที่ยวอาเซียน เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2562
4. ที่ประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้ ลงนามพิธีสารดังกล่าว ทั้งนี้ พิธีสารข้างต้นจะมีผลบังคับใช้เมื่อประเทศสมาชิกทั้งหมด ยื่นสัตยาบันต่อ สำนักเลขาธิการอาเซียนแล้ว โดยรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนขอให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2563
20. เรื่อง ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินและความเห็นชอบร่างข้อตกลงการจ้างและสัญญาจ้างสัญญางาน ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (THE TRACKWORK, ELECTRICAL AND MECHANICAL (E&M) SYSTEM, EMU, AND TRAINING CONTRACT) (สัญญา 2.3) ฉบับสมบูรณ์ โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ – นครราชสีมา)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับกรอบวงเงินของสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) (The Trackwork, Electrical and Mechanical (E&M) System, EMU, and Training Contract) ที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 จาก 38,558,380,000 บาท เป็น 50,633,500,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ซึ่งไม่กระทบกับกรอบวงเงินรวมของโครงการ และให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสัญญา 2.3 ให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดทั้งสิ้น และร่างสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นคราชสีมา) ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 50,633,500,000 บาท ซึ่งเท่ากับผลรวมของจำนวนเงิน 2 ส่วน ดังนี้ (1) จำนวนเงิน 1,313,895,268 ดอลลาร์สหรัฐ (ซึ่งเทียบเท่ากับ 40,506,799,859.50 บาท) และ (2) จำนวนเงิน 10,126,700,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 สำหรับแนวทางการรับภาระค่าจ้างสัญญางานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) และแนวทางในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง สรุป ดังนี้
โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้จัดทำร่างสัญญา 2.3 งานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (THE TRACKWORK, ELECTRICAL AND MECHANICAL (E&M) SYSTEM, EMU, AND TRAINING CONTRACT) (สัญญา 2.3) ซึ่งร่างสัญญาดังกล่าวผ่านการพิจารณาของอัยการสูงสุดแล้ว ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 30/2560 โดยขอปรับกรอบวงเงินสัญญา 2.3 จากเดิมวงเงิน 38,558.38 ล้านบาท เป็น 50,633.50 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 (เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิมจำนวน 12,075.12 ล้านบาท) เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริง เนื่องจากมีการปรับขอบเขตงานการเปลี่ยนรุ่นขบวนรถ การเปลี่ยนรูปแบบทาง ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยได้ปรับเกลี่ยวงเงินค่าใช้จ่ายภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ภายใต้กรองวงเงินจำนวน 179,412.21 ล้านบาท สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามสัญญาดังกล่าวกระทรวงคมนาคม (คค.) ได้ขอให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายของสัญญา 2.3 และค่าความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดตามความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 และเสนอขอความเห็นชอบให้ รฟท. มีอำนาจในการปรับปรุงรายละเอียดด้านงบประมาณของสัญญา 2.3 ภายใต้กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงบประมาณของ รฟท. ทั้งนี้ คค. ได้รายงานผลการประกวดราคางานโยธาของโครงการฯ ประกอบด้วย 14 สัญญา (สถานะ ณ วันที่ 1 กันยายน 2563) ดังนี้ (1) ก่อสร้างแล้ว 2 สัญญา (2) อยู่ระหว่างลงนาม 8 สัญญา (3) อนุมัติสั่งจ้างแล้ว/อยู่ระหว่างประกาศผลประกวดราคา 2 สัญญา (4) อยู่ระหว่างพิจารณาเอกสารประกวดราคา 1 สัญญา และ (5) ดำเนินการร่วมกับโครงการอื่น 1 สัญญา
21. เรื่อง ร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อร่วมรับรองโดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยวิธีออนไลน์ ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75 โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยก่อนการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้ดุลยพินิจดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างปฏิญญาทางการเมืองระบุการดำเนินการต่าง ๆ ของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความร่วมมือ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ย้ำถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งกำหนดไว้ในการประชุมที่เมืองบันดุง เมื่อปี ค.ศ. 1955 และกรุงเบลเกรด เมื่อปี ค.ศ. 1961 ถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้สังคมโลกมีสันติภาพ มีความเสมอภาคและความร่วมมือ และประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี
2. แสดงความห่วงกังวลต่ออุปสรรคและความท้าทายต่าง ๆ อาทิ ความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนทรัพยากร ความเหลื่อมล้ำทางการค้า รวมถึงการใช้มาตรการบีบบังคับฝ่ายเดียว และการใช้ความรุนแรง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการเสริมสร้างสันติสุข และความเจริญรุ่งเรืองของโลก ดังนั้น ระบอบพหุภาคีและความร่วมมือระหว่างประเทศจึงมีความสำคัญ อีกทั้งเป็นรากฐานในการส่งเสริมและสนับสนุนสามเสาหลักของสหประชาชาติ ได้แก่ สันติภาพและความมั่นคง การพัฒนา และสิทธิมนุษยชน
3. แสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกประเทศ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการรับมือกับโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำว่า กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดพร้อมสนับสนุนให้ทุกประเทศสามารถเข้าถึงยา วัคซีน และอุปกรณ์ด้านการแพทย์สำหรับรับมือกับโควิด-1
แต่งตั้ง
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นางสุดา สุขอ่ำ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการศึกษาพิเศษและผู้ด้อยโอกาส (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการ พลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
1. นายเจษฎา กตเวทิน รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2. นายดุสิต เมนะพันธุ์ อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงราบัต ราชอาณาจักรโมร็อกโก ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา
4. นายพรภพ อ่วมพิทยา เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน นิวซีแลนด์
5. เรือเอก ชัชวรรณ สาครสินธุ์ เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนูร์-ซุลตัน สาธารณรัฐคาซัคสถาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการค้าภายใน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้ง (ย้าย) ข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหาร ระดับสูง เพื่อแทนตำแหน่งที่ว่างและจะว่าง จำนวน 8 ราย ดังนี้
1. นายธนู ขวัญเดช ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 10 สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
2. นายวีระ แข็งกสิการ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
3. นายสุทิน แก้วพนา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
4. นายวรัท พฤกษาทวีกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ
5. นายยศพล เวณุโกเศศ ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 8 สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
6. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
7. นายพีรศักดิ์ รัตนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
8. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง หม่อมหลวง สุนทรชัย ชยางกูร ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายเอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ 2. นายสรสินธุ ไตรจักรภพ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง
30. เรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน จำนวน 7 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา (ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารองค์การมหาชน)
2. นายศักรินทร์ ภูมิรัตน (ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารองค์การมหาชน)
3. นายสุรพล นิติไกรพจน์ (ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารองค์การมหาชน)
4. นายปรเมธี วิมลศิริ
5. นายประสงค์ พูนธเนศ
6. นายประสัณห์ เชื้อพานิช
7. นายวุฒิสาร ตันไชย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2563 เป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพเสนอ แต่งตั้งรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รวม 9 คน เนื่องจากรองประธานกรรมการคนที่สองและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมจะครบวาระการดำรงตำแหน่งสามปี ในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ดังนี้
1. นายสุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย (รองประธานกรรมการคนที่สอง)
2. นายพรเทพ ศิริวนารังสรรค์ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนด้านการสร้างเสริมสุขภาพ)
3. นายศรีสุวรรณ ควรขจร (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนด้านการพัฒนาชุมชน)
4. นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนด้านการสื่อสารมวลชน)
5. รองศาสตราจารย์สรนิต ศิลธรรม (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา)
6. นางประภาศรี บุญวิเศษ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬา)
7. นางจิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนด้านศิลปวัฒนธรรม)
8. นายไพโรจน์ แก้วมณี (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนด้านกฎหมาย)
9. ศาสตราจารย์สมคิด เลิศไพฑูรย์ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหาร)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป
32. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมและกำกับธุรกิจโรงแรม จำนวน 5 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมจะดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. นายปกอนันท์ โลหะภัณฑ์สมบูรณ์ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 1)
2. นายธรณินทร์ สิริพัฒโนดมสกุล (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 2)
3. นายธรรมจักร์ เหลืองประเสริฐ (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 3)
4. นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโรงแรมประเภทที่ 4)
5. นายสมคิด ใจยิ้ม (กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านโรงแรม)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป
33. เรื่อง การโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมจะเกษียณอายุราชการ และเพื่อการสับเปลี่ยนหมุนเวียน จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
2. นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
3. นายกฤษฎา คงคะจันทร์ รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
4. นายประสพ เรียงเงิน ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม ไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี