“อนุชา”เสียดายฝ่ายค้านไม่ร่วมเป็นกมธ.แก้รัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ ขอทุกฝ่ายหันหน้าพูดคุยกัน เพื่อประเทศเดินหน้า ย้ำทุกอย่างขอให้คุยในกมธ. ขอทุกฝ่ายเคารพเสียงข้างมาก อย่าแค่เอาชนะคะคานจนประเทศเสียหาย
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 30 กันยายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ส่งสัญญาณให้รับร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) ของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'บิ๊กตู่'ถอดชนวน ส่งซิกพรรคร่วมรบ. หนุนญัตติแก้รธน.ร่างฉบับรัฐบาล-ฝ่ายค้าน) ว่า ขณะนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเข้าสู่คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมรัฐสภา ซึ่งเวลา 30 วันคงจะได้อะไรชัดเจนขึ้น ตนเชื่อว่าทุกคนต้องการเห็นประเทศชาติเดินไปในทิศทางที่ตั้งกันไว้ ส่วนปัญหาต่างๆก็จะนำไปพูดคุยกันในคณะกรรมาธิการ
“น่าเสียดายที่หลายพรรคการเมือง ไม่ได้ร่วมเป็นกรรมาธิการฯชุดนี้ด้วย เพราะแทนที่จะได้ไประดมความคิดเห็นช่วยกันแก้ไข ช่วยกันหาทางออกตามที่ประชาชนคาดหวัง ซึ่งผมก็ยังอยากเห็นตรงนั้นอยู่ เสียดายไหมล่ะ ที่ฝ่ายค้านไม่ได้อยู่ร่วมเป็นกรรมการฯ มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายใช่ไหม เพราะในเมื่อมีเวทีให้แล้ว ก็น่าจะเป็นเวทีที่จะได้ช่วยกันแก้ไข จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง แต่เชื่อว่ากรรมาธิการฯไม่ได้มีความคิดที่จะกีดกันหรือปิดบังอะไร ซึ่งอาจจะมีการเชิญฝ่ายค้านเข้ามาร่วมเสวนาด้วย เพื่อให้แสดงความคิดเห็น ไม่ได้ปิดกั้นใดๆ” นายอนุชา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของรัฐบาลจะไม่มีการเสนอร่างของรัฐบาลเองแล้วใช่หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า เมื่อเราตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาแล้ว เราก็ไปพูดคุยกันในกรรมาธิการฯ ซึ่งเราคงไม่ไปชี้นำ แต่นายกฯมีเจตนาและหวังดี อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปได้
เมื่อถามว่า ไม่มีฝ่ายค้านร่วมอยู่ในคณะกรรมาธิการฯด้วย หากผลการพิจารณาออกมาแล้ว ฝ่ายค้านก็ไม่ยอมรับอยู่ดี จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีกหรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า สื่อคาดการณ์ไปเองหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นมันต้องมีเหตุมีผลก่อนว่าการพูดคุยจะไปสู่จุดไหน
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแก้ไขกันอย่างไร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย มีทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง ทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ และเสียงในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องเคารพเสียงคนหมู่มาก ถ้าปกครองด้วยเสียงคนส่วนน้อยคงไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ที่ปกครองอย่างนั้น นี่คือธรรมชาติของประชาธิปไตย แต่ไม่ว่าจะเสียงน้อยหรือเสียงมากก็ต้องมีการพูดคุยกันก่อน สรุปให้ลงตัวเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่จะเอาชนะคะคานกันจนลืมว่า ประเทศชาติเป็นของเสียงทุกเสียง เป็นของทุกคน ไม่ใช่ว่ากลุ่มใดมีพลังหรืออำนาจมากกว่า” นายอนุชา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่แน่ๆก็มีกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ยอมรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้และออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ นายอนุชา กล่าวว่า อยากฝากถึงกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีบทบาทของการพูดคุยเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องอยู่ที่ความเห็นของคนกลุ่มเดียว เพราะยังมีอีกหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ชุมนุมหรือไม่ชุมนุม หรือไม่แสดงออก ซึ่งพวกเราก็ทราบกันดีอยู่ว่ามีความเห็นต่างกันอยู่ในสังคม ดังนั้นเราจะทำอย่างไร เพื่อหาจุดร่วม เราเห็นบทเรียนที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นหากเราช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อประคับประคองประชาธิปไตยนำพาประเทศเราไปให้ได้อย่างแท้จริง สำหรับตนและพรรคพลังประชารัฐก็พยายามช่วย เพื่อนำพาประเทศไปให้ได้อย่างแท้จริง และให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตความขัดแย้งทางความคิดให้ได้
“ตอนนี้คณะกรรมาธิการฯ กำลังเริ่มพิจารณา เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้านยังอยู่ทั้ง 6 ญัตติ ยังไม่ได้ตกไป ซึ่งก็ต้องมาพูดคุยกันก่อนแล้วค่อยรับหลักการ ดังนั้นทุกฝ่ายก็ยังมีโอกาส เพราะคณะกรรมาธิการฯก็จะต้องศึกษาในทุกๆร่าง แต่บางทีก็จะต้องมีจุดยืนเพื่อให้มีความชัดเจนว่า ไม่แก้หมวด 1 หมวด 2 ทั้งนี้การที่นายกฯส่งสัญญาณให้รับร่างพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น ผมคิดว่ายังไม่มีความชัดเจนขนาดนั้น ขอให้มีการพูดคุยในชั้นกรรมาธิการฯก่อนดีกว่า เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน หันหน้าเข้าหากัน รวมไปถึง คนที่ไม่ได้เข้าร่วมในชั้นกรรมาธิการฯด้วยก็ต้องช่วยกัน” นายอนุชา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี