เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2563 ที่สถานีโทรทัศน์ พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จัดเลี้ยงงานวันเกิดครบรอบ 55 ปี และกล่าวว่า เหลือเวลาอีก 5 ปี ก็ครบ 60 ปี สู้กันมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังสู้อยู่บนถนนมากกว่าในที่ประชุมสภา ก็มีความหวังว่าประเทศไทยควรจะก้าวไปมากกว่านี้ ควรจะเป็นประเทศที่อยู่ในสถานะที่เป็นผู้นำในประเทศกลุ่มอาเซียน
แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ด้วยความที่ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง และการปกครองทำให้ประเทศเกิดความล้าหลังทั้งที่ควรจะก้าวไปได้ไกลมากกว่านี้ เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมในทุกด้าน ขาดเพียงเเต่ความมั่นคงทางการเมืองการปกครอง และประชาธิปไตย รวมถึงอำนาจของประชาชนที่ไม่มีความเเข็งแรงเรื่องการเมืองการปกครอง
"จนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นการเลือกตั้งและการยึดอำนาจที่มาเป็นของคู่กัน จะเห็นได้ว่าคนถือปืนและคนถือเงินสลับกันเข้ามามีอำนาจมาโดยตลอด ทำให้ประเทศไทยเกิดความล้าหลัง จึงมีความหวังว่า ในช่วงชีวิตนี้อยากเห็นประเทศไทยสามารถยืนหยัดได้และประชาชนมีความแข็งแรง เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เหล่านี้คือเป้าหมายที่ต่อสู้กันมาตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งอยู่ในวัยช่วงท้ายของชีวิตแล้ว"
นายจตุพร กล่าวถึงกรณี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.ผู้นำรัฐประหาร ปี 2549 โค่นล้มรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาสนับสนุนแนวทางการปรองดองนั้น ส่วนตัวมองว่า พล.อ.สนธิ พยายามลบล้างสิ่งที่เคยกระทำในการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยรู้สึกถึงความผิดพลาดในสิ่งที่เคยกระทำในอดีต และต้องการให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนตัวมองว่า พล.อ.สนธิ รู้จักการให้อภัย ไม่ต้องการให้ประเทศอยู่กับความเกลียดชังความอาฆาตพยาบาท แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับผู้นำของรัฐบาลในปัจจุบันนี้ ว่าจะมีจิตใจใหญ่เหมือนกับ พล.อ.สนธิ หรือไม่ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หลังจาก 19 กันยายน 2549 ตนก็เห็นถึงความพยายามของ พล.อ.สนธิ ที่จะให้ประเทศไทยได้เริ่มนับหนึ่งใหม่กันมาหลายครั้ง
"วันนี้ พล.อ.สนธิ อายุมากขึ้นก็ยังมีความปรารถนาเรื่องนี้อยู่ ดังนั้น เป็นเรื่องของผู้ปกครองว่าจะมีจิตใจที่กว้างขวางรู้จักการให้อภัยหรือไม่ หากไม่รู้จักการให้อภัยก็จะอยู่กับความเกลียดชัง ความชิงชัง และความผิดพลาดกันตลอดไป"
ส่วนกระแสข่าวรัฐบาลแห่งชาตินั้น ส่วนตัวมองว่า รัฐบาลแห่งชาตินั้นที่มีการพูดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตศรัทธาต่อระบบรัฐสภาทั้ง ส.ว.และ ส.ส.ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ ดังนั้น คำว่า รัฐบาลแห่งชาติ ก็ถูกหยิบขึ้นมาพูดกันหลายครั้งเมื่อเวลาที่ประเทศกำลังจะถึงจุดอับ หรือทางตัน แต่ก็ไม่เคยจบลงด้วยการมีรัฐบาลแห่งชาติ แต่จบลงด้วยการมีรัฐประหารทุกครั้ง
ดังนั้น เราเองก็ไม่เคยพิสูจน์ว่ารัฐบาลแห่งชาติดีหรือไม่ดีอย่างไรเพียงแต่เมื่อหยิบยกขึ้นมา คนต่างก็ไม่เห็นด้วย และเราก็ไม่เคยเห็น เพราะทันทีที่เรียกร้องรัฐบาลแห่งชาติคนไทยก็จะปฏิเสธและท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการรัฐประหารทุกครั้ง ดังนั้น ตนเชื่อว่ารัฐบาลแห่งชาติเกิดขึ้นได้ยาก เพราะคนไทยไม่ยอมรับและไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ แต่รัฐประหารจะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยเจออย่างหนึ่งคือ การลุกฮือของประชาชนผู้ทุกข์ยากทั้งหลาย และวันหนึ่งหากประชาชนคนจนซึ่งมีเป็นจำนวนมากในขณะนี้ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่อยู่ได้ ถึงวันนั้นตนเชื่อว่านี่คือศึกใหญ่กว่าทุกครั้งที่ประเทศไทยเคยเจอ
ส่วนท่าทีของผู้นำเหล่าทัพชุดใหม่ ที่ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งขึ้นมานั้น ต่างก็ออกมาประกาศจุดยืนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้น เราก็ต้องติดตามสถานการณ์นี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดนั้น ทหารที่ได้ปฏิญาณตนก็เป็นเรื่องความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ก็ประกาศกันทุกเหล่าทัพมีลักษณะแบบเดียวกัน เพียงแต่สถานการณ์ของประเทศไทยภายใต้ความลึกลับซับซ้อน รวมถึงมีปัจจัยภายนอกและภายในเป็นเรื่องของมหาอำนาจ ที่ต้องการจะใช้ประเทศไทย เพื่อเป็นฐานปฏิบัติการบางอย่าง หรือเป็นฐานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจนั้น หลายเรื่องจึงมีความเกี่ยวพันกันมากกว่าทุกครั้ง ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการชุมนุมในอดีตนั้นไม่มีความสลับซับซ้อน เหมือนกับในครั้งนี้ จึงต้องคิดทุกอย่างอย่างรอบคอบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี