เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2563 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และอดีตรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นถึงสภาพเศรษฐกิจช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี 2563 ว่า น่าจะกระเตื้องขึ้นบ้างโดยภาพรวม ทั้งการบริโภค การลงทุน การส่งออกและการท่องเที่ยว ภาคการบริโภคจะขยายตัวเป็นบวกเพิ่มเติมจากไตรมาสสามที่ผ่านมา แต่ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับสองเดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว
"มาตรการกระตุ้นการบริโภคลดภาษีชิม ช้อป ใช้ ในระดับปัจเจกบุคคลจะมีประสิทธิผลกระตุ้นบุคคลให้ใช้จ่ายน้อยกว่าปีที่แล้วเนื่องจากปลายปีนี้คนจำนวนมากไม่รู้สึกว่ามีความมั่นคงในงาน คนจำนวนไม่น้อยถูกลดเงินเดือนและเข้าสู่โครงการเกษียณก่อนกำหนดและถูกออกจากงาน แต่มีประสิทธิภาพในการสร้างการหมุนเวียนของการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมากกว่าเดิมเนื่องจากมีการออกแบบให้การใช้จ่ายให้มีการกระจุกตัวเฉพาะในเครือข่ายห้างค้าปลีกขนาดใหญ่น้อยลง เม็ดเงินกระจายไปยังผู้ค้ารายย่อยรายเล็กมากขึ้น" ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อในภาคชนบทและภาคเกษตรกรรมอ่อนแอลงจากปัญหาอุทกภัย และหากไม่มีการลงทุนในระบบการบริหารจัดการน้ำที่ดีกว่านี้ ระบบการผลิตในภาคเกษตรกรรมจะมีความผันผวนและเกิดการชะงักงันจากภาวะน้ำท่วม-น้ำแล้งได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันการระบาดระลอกสองของไวรัสโควิด-19 ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา เป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจและอาจเป็นปัญหาสาธารณสุขในระยะต่อไปได้
ส่วนการส่งออกและการท่องเที่ยวปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงสองเดือนสุดท้าย ธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีการเติบโตเพิ่มขึ้น แต่กำลังการผลิตส่วนเกินยังมีอยู่จำนวนมากและอัตราการใช้กำลังการผลิตยังคงอยู่ในระดับต่ำ ฉะนั้นจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนในภาคการลงทุนเอกชนในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า ด้านการลงทุนภาครัฐจะติดขัดในเรื่องกลไกภาครัฐ เป็นรัฐรวมศูนย์ไม่กระจายอำนาจ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าหมายและมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อนำมาใช้จ่าย โดยตนเห็นด้วยกับการเปิดประเทศบางส่วน เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบ Long Stay โดยจำกัดจำนวนเน้นคุณภาพ มีการควบคุมตามมาตรฐานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และควรนำโครงการอิลีท การ์ดที่ถูกยุบไปแล้วนำมาศึกษาและดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์จะช่วยฟื้นฟูธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ระดับหนึ่ง
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนวิกฤติรัฐธรรมนูญแม้เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญแต่สามารถแก้ไขได้หากผู้มีอำนาจรัฐยึดเวทีรัฐสภา ไม่แก้ปัญหานอกวิถีทางประชาธิปไตยและกฎหมาย การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 14 ต.ค.2563 จะไม่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจให้แย่ลงอีกตราบเท่าที่ไม่มีความรุนแรง ไม่ยืดเยื้อ ทางการสามารถคุ้มครองความปลอดภัยและไม่ใช้วิธีข่มขู่คุกคามสกัดการชุมนุมอันทำให้เกิดการการเผชิญหน้ามากขึ้น
"ทางออกตอนนี้ คือ รัฐสภาเปิดการประชุมวิสามัญเพื่อรับหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ จัดให้มีการลงประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในทันที รวมทั้งเปิดการเจรจาหารือสานเสวนาเพื่อหาทางออกร่วมกันระหว่างรัฐบาลและกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดความรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่อาจคาดเดาผลได้ สร้างผลกระทบทางลบต่อพี่น้องชาวไทยทุกคนทุกระดับไปอีกยาวนาน" ผศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี