มติพปชร.หนุน‘บิ๊กตู่’
ไม่ต้องลาออกไม่ได้ทำอะไรผิด
ลุยทำงานรับใช้ประชาชนต่อไป
4ฝ่ายเคาะถกสมัยวิสามัญ23ชม.
‘ชวน’ดักคอต้องพูดตามญัตติ
ฝ่ายค้านจำใจเข้าร่วมประชุม
มติพปชร.ชู 3 จุดยืน หนุนนายกฯ“บิ๊กตู่” ขอเคียงข้าง ทำงานรับใช้ปชช.ต่อไป“อนุชา”ลั่นไม่ต้องลาออกไม่ได้ทำอะไรผิด สั่ง สส.ปลุกมวลชนจัดกิจกรรมปกป้องสถาบันทุกพื้นที่กำชับ สส.เข้าประชุมวิสามัญพร้อมเพรียงขณะ 4 ฝ่าย เคาะกรอบเวลาประชุมวิสามัญ 26-27 ตุลาคม“หาทางออกปท.” 23 ชั่วโมง ฝ่ายค้าน8 ชม. “ครม.-รบ.-สว.” ได้ฝ่ายละ5 ชม.“เพื่อไทย” แบะท่าไม่เข้าร่วมประชุม ส่วนส.ว.เตือนพูดถึงสถาบัน ต้องรับผิดชอบ ‘ปธ.สภาฯชวน’ดักคอสมาชิก ต้องพูดตามญัตติที่รบ.เสนอ“พรเพชร”ชี้ข้อเรียกร้องให้นายกฯลาออก หวั่นเปิดช่องปฏิวัติ ส่วน’ไทยภักดี’ชู5ข้อหนุน’บิ๊กตู่’อยู่ต่อ
เมื่อวันที่ 22ตุลาคม ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานประชุมร่วม4ฝ่ายประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี(ครม.),ส.ส.รัฐบาล,ส.ส.ฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภาเพื่อกำหนดประเด็นและกรอบเวลาในการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ วันที่ 26-27ต.ค.นี้ เวลา09.30น.เพื่อหาทางออกให้ประเทศจากสถานการณ์การชุมนุมของประชาชนกลุ่มราษฎร
‘ชวน’ย้ำสมาชิกต้องพูดตามญัตติ
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อเปิดให้มีการอภิปรายทั่วไปว่าแม้จะมีพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญแล้ว แต่ก็ยังออกหนังสือนัดประชุมไม่ได้ ต้องรอหนังสือจากทางรัฐบาลเพื่อขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา165ก่อน คาดว่าน่าจะมาภายในเย็นวันที่ 22 ต.ค.นี้โดยให้สภาเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วเพื่อออกหนังสือนัดประชุมได้
“แต่ขณะนี้ชัดเจนแล้วว่ามีพระราชกฤษฎีกาเปิดสมัยประชุมวิสามัญวันที่ 26-27ต.ค. ดังนั้น ในการประชุมร่วม 4 ฝ่ายก็น่าจะได้ข้อยุติว่าจะแบ่งเวลากันอภิปรายในการประชุมวิสามัญที่กำลังจะถึงโดยจะเริ่มประชุมตั้งแต่ช่วงเช้าซึ่งการอภิปราย จะต้องเป็นไปตามญัตติที่เสนอ”ประธานรัฐสภา ย้ำ
ยังไม่ได้รับรายงานกมธ.แก้รธน.
นายชวน ยังกล่าวถึงที่ฝ่ายค้าน เสนอให้นำญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง6ฉบับมาพิจารณาในวาระรับหลักการช่วงเปิดสมัยประชุมวิสามัญว่าขณะนี้คณะกรรมาธิการฯยังไม่ส่งผลการศึกษามา หากส่งมาเมื่อไหร่ก็จะพิจารณาอีกที ซึ่งจะต้องหารือนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภาอีกครั้งว่าสมควรจะบรรจุหรือไม่เพราะยังมีญัตติที่เป็นร่างของไอลอว์อีกฉบับหนึ่งที่จะครบกำหนด 30 วัน ในการตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อประชาชนในวันที่ 12 พ.ย.นี้
ปธ.สว.ชี้บีบบิ๊กตู่ออกนำสู่ปฎิวัติ
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงข้อเรียกร้องของกลุ่มคณะราษฎรที่ยื่นคำขาดให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลาออกจากตำแหน่งภายใน 3 วัน ว่า การออกจากตำแหน่งใดๆ มีขั้นตอนปฏิบัติตามกฎหมาย หากนำข้อเรียกร้องของกลุ่มคนมาดำเนินการ อาจเปิดช่องให้ใช้อำนาจนอกกฎหมาย และนำไปสู่การปฏิวัติได้ อย่างไรก็ตาม การรวมตัวของเยาวชน และการยื่นข้อเรียกร้องนั้น ตนเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของการชุมนุม
นายพรเพชร ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ล่าสุดคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ รัฐสภา ที่มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกมธ. พิจารณาแล้วเสร็จว่า กรณีดังกล่าวทำให้สว.เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ยื่นเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะยอมรับว่าการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เสนอโดยสส.และสว.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นการทำความเข้าใจ และใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการลงมติของญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตนไม่ขอตอบถึงทิศทางการลงมติของสว.ว่า จะรับหลักการหรือไม่ ตามที่มีกระแสข่าวว่า ส.ว.จะลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา256 และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
ถก4ฝ่ายเคาะเวลาถกทางออกปท.
ภายหลังประชุมเสร็จสิ้นนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐในฐานะประธานกรรมการสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)แถลงว่าได้แบ่งการกรอบเวลาการอภิปรายเป็น 4กลุ่มรวม 23 ชั่วโมง ได้แก่ ฝ่ายค้านได้ 8 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล ส.ว.และ ครม.ได้ฝ่ายละ 5 ชั่วโมง และแบ่งเวลาให้ ประธานรัฐสภาอีก 1-2 ชั่วโมง การประชุมในวันที่ 26 ต.ค.เริ่มเวลา 09.30 -22.00น.ส่วนวันที่สองจะอภิปรายต่อจนครบเวลาที่เหลืออยู่ หวังว่า ในญัตติของรัฐบาลที่เสนอให้เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญครั้งนี้ จะเป็นทางออกทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงบ้าง
‘พท.ส่อตีรวนไม่ร่วมถกทางออก
ด้าน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวว่าฝ่ายค้านเห็นเนื้อหาในญัตติที่ฝ่ายรัฐบาลขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญแล้วกังวลว่าจะขัดข้อบังคับการประชุมหรือไม่หากจะมีการพูดถึงเรื่องสถาบัน และการประชุมครั้งนี้จะตอบสนองความคาดหวังของสังคมในการหาทางออกให้ประเทศได้จริงหรือไม่
“ถ้าพิจารณาแล้ว ไม่ใช่ทางออก ฝ่ายค้านอาจจะพิจารณาทบทวนไม่เข้าร่วมการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ หรือ ถ้าจะเข้าร่วมประชุม จะเป็นในลักษณะใด เพราะประเทศไทยไม่เคยมีญัตติในลักษณะนี้มาก่อนโดยพรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือกันในวันนี้เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว แต่ฝ่ายค้านจะพยายามทำงานร่วมกับรัฐบาล และส.ว. เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสังคมให้มากที่สุด” นายสุทิน กล่าว
ก้าวไกลแบไต๋พูด3ข้อเรียกร้อง
ขณะทีนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในญัตติขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญของรัฐบาล มีการอ้างอิงถึงเรื่องขบวนเสด็จ ในวันที่ 14ต.ค.2563 รวมถึงข้อเรียกร้องต่างๆของนักศึกษา 3ข้อ เมื่อมีการกล่าวถึงข้อเท็จ จริงเหล่านี้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้ใช้รัฐสภาเป็นตัวอย่างในการอภิปรายเรื่องเหล่านี้อย่างมีวุฒิภาวะผู้อภิปรายต้องอภิปรายภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเหมาะสม
สว.เตือนต้องรับผิดชอบคำพูด
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.กล่าวว่ามองว่าการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญครั้งนี้ แม้จะไม่ใช่ทางออกทั้งหมด แต่เป็นจุดเริ่มต้นการนำปัญหากลับเข้ามาในสภา เพื่อนำไปแก้ไข เช่นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการอภิปรายเรื่องสถาบันนั้น หากจะอภิปรายต้องพูดอย่างมีวุฒิภาวะ ใครพูดอะไรต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง และรับผิดชอบหากสิ่งที่พูดไป ทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ
สว.ชวนฟังอภิปรายผ่าทางตัน
พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่1ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ วันที่ 26-27 ตุลาคม ที่รัฐบาลขอปรึกษาหารือเรื่องการชุมนุมทางการเมืองว่าไม่ทราบว่าจะนำ3ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมคือนายกฯ ลาออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีส.ส.ร.มาจากประชาชน และปฏิรูปสถาบัน หารือได้หรือไม่ โดยหลักการ คือารือเรื่องที่รัฐบาลนำเสนอ แต่การพูดคุยในประเด็นที่อ่อนไหวเช่น สถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ตนไม่กังวลหรือเป็นห่วงว่าจะมีการอภิปรายเกินเลย เชื่อว่าประธานในที่ประชุม จะควบคุมให้การประชุมเรียบร้อย โดยไม่ถึงขั้นขอให้การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมแบบลับ
“ขอให้ประชาชนติดตามฟังการอภิปรายวันที่26-27 ตุลาคม นี้ แล้วพิจารณาในเนื้อหาสาระและนำไปตัดสินใจ การอภิปรายในที่ประชุม ผมไม่กังวลแต่จะห่วงเรื่องเดียวคือการนำสาระที่อภิปรายนั้น ไปบิดเบือน”พล.อ.สิงห์ศึก ย้ำ และเมื่อถามถึงการปฏิรูปสถาบันที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ มีโอกาสจะยกหารือหรือไม่ พล.อ.สิงห์ศึก กล่าวว่า ประเทศไทย มีสถาบันพระมหากษัตริย์มานานกว่า 800 ปี ดังนั้นจะใช้เวลาเพียง1-2วัน เพื่อพูดคุยคงไม่ได้
26ตค.ส่งรายงานแก้รธน.ให้สภา
ด้าน นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ก่อนรับหลักการ จำนวน 6 ฉบับ แถลงว่า การทำงานของคณะกมธ.ถือเป็นวันสุดท้ายและได้พิจารณาเสร็จสิ้นเรียบร้อย เหลือเพียงตรวจทานความเรียบร้อยเท่านั้น คาดว่าจะยื่นรายงานคณะมกธ.ต่อประธานรัฐสภาในวันที่ 26 ตุลาคมนี้
ชี้เป็นแนวทางสส.-สว.โหวต
ส่วนที่กล่าวว่ารัฐบาลยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐสภาที่ประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว.ซึ่งร่างแก้รัฐธรรมนูญที่เสนอมีทั้งฝ่ายค้านและร่างของพรรคร่วมรัฐบาล เราก็ผ่านการพิจารณาในเบื้องต้น สิ่งที่เสียดายคือฝ่ายค้านไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย แต่เราได้พิจารณาร่างของผู้นำฝ่ายค้านครบทุกร่างรวมถึงร่างของรัฐบาลด้วย ทั้งนี้รายงานของคณะกมธ.จะเป็นแนวทางให้สมาชิกรัฐสภาใช้พิจารณาตัดสินใจในการที่จะโหวตรับหรือไม่รับร่าง
“รายงานนี้เป็นเพียงแค่แนวทาง ไม่ใช่มติ การพิจารณา ของกรรมาธิการก็ไม่มีการลงประชามติ ไม่มีเสียงส่วนใหญ่ ไม่มีเสียงส่วนน้อย มีแต่เพียงแนวทางเพื่อประกอบการตัดสินใจของสมาชิกรัฐสภาส่วนการตั้งส.ส.ร.จะต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นเรื่องในอนาคต”นายวิรัช กล่าว
ย้ำสส.พปชร.ประชุมพร้อมเพรียง
บ่ายวันเดียวกัน ที่พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) มีการประชุมพรรคนัดพิเศษ ซึ่งมีสส.ของพรรคเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญตามมาตรา 165อภิปรายทั่วไปของรัฐสภาโดยไม่ลงมติ เพื่อหารือถึงทางออกสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร์ 2563
ซึ่งมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล รองหัวหน้าพรรค และ นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรับมนตรี เลขาธิการพรรค ทำหน้าที่ประธานการประชุม
โดยนายวิรัช กล่าวว่าเป็นการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมการประชุมรัฐสภาตามมาตรา165ในวันที่ 26-27 ต.ค.ขอกำชับให้ ส.ส.อยู่ร่วมประชุมตลอดเวลาและไม่ต้องกังวลว่าจะกลับบ้านไม่ได้เนื่องจากนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคมได้เตรียมเรือไว้รองรับทุกท่านไว้แล้วจึงไม่ต้องกังวล
ย้ำถกทางออกปท.-ไม่มีแก้รธน
นายวิรัช กล่าวต่อว่า การเปิดสภาฯครั้งนี้จะไม่มีการเสนอญัตติเห็นชอบรัฐธรรมนูญทั้ง 6ร่างเพราะรัฐบาลเป็นผู้ขอเปิดประชุมสภาโดยมีเพียงวาระเดียวคือ การอภิปรายเพื่อรับฟังความเห็นของสมาชิกรัฐสภาอาทิเรื่องการชุมนุม สถานการณ์โควิด-19 และการจวบจ้วงในขบวนเสด็จฯเมื่อวันที่14ต.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้ได้มีการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548ที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งนายกฯบอกให้ถอยคนละก้าวและบัดนี้นายกฯได้ยอมถอยแล้วจึงต้องรอดูต่อไปว่าอีกฝ่ายจะยอมถอยหรือไม่
พปชร.ยัน‘บิ๊กตู่’ไม่ต้องลาออก
ด้านนายอนุชา นาคาศัย รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการ พปชร.กล่าวถึงข้อเรียกร้องกลุ่มผู้ชุมนุมให้นายกฯลาออกภายใน3วันว่า ยืนยันว่า พรรคมีจุดยืนอย่างแน่วแน่ที่นายกฯไม่ต้องลาออกเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ซึ่งที่ผ่านมา บริหารบ้านเมืองราบรื่น ตั้งใจให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ตามยุทธศาสตร์ชาติ และเมื่อนายกฯไม่มีความผิดก็ไม่มีบทกำหนดในรัฐธรรมนูญให้นายกฯลาออก นายกฯไม่มีความผิด หรือจำเป็นต้องลาออก เอาไว้ครบ 4 ปีค่อยว่ากัน ซึ่งความเห็นต่าง ไม่ใช่ต้องมาบังคับกันโดยความเห็นต่างตามระบอบประชาธิปไตย ต้องนำมาพูดคุยกับทุกภาคส่วนและนำมติเสียงส่วนใหญ่ว่า บ้านจะเมืองจะเดินไปอย่างไรโดยไม่ใช่นำคณะใดคณะหนึ่งมาตัดสิน เพราะการบังคับกันไม่ถือเป็นระบอบประชาธิปไตย
ลั่นแก้ไขห้ามแตะหมวดสถาบัน
นายอนุชากล่าวถึงหลายฝ่ายมีความห่วงใยสถานการณ์จะบานปลาย ว่าอยู่ที่เขาไม่ใช่อยู่ที่รัฐบาล แต่เชื่อว่า ไม่มีใครอยากให้บานปลาย ยกเว้น คนที่เสนอจึงอยากให้มีการพูดคุยกันในสภาตามกลไกล เพราะหากไม่เชื่อในระบบรัฐสภาและยึดตามระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่รู้จะยึดตามอะไร ยืนยันว่า การเปิดสภาวิสามัญ ไม่ใช่การยื้อเวลา พร้อมย้ำฝั่งรัฐบาลไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการปฏิรูปสถาบันโดยจุดยืน คือ ไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด1และหมวด2 ส่วนที่ นายกฯให้ต่างฝ่ายต่างถอยคนละก้าวนั้น ก็ขอให้ผู้ชุมนุมไปวางกรอบที่เป็นประชาธิปไตย ตามที่พวกเขาอยากเห็นและถอยจนต่างฝ่าย ต่างให้กันได้ เพราะบางสิ่งบางอย่างสังคมให้ไม่ได้อยู่แล้ว
มติปกป้องสถาบัน/หนุน’บิ๊กตู่’
ที่พรรคพลังประชารัฐ น.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ ส.ส.สมุทรปราการและ นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงหลังประชุมว่าที่ประชุมพปชร.มีมติยึดมั่น3ข้อ คือ1.ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.มีความมุ่งมั่นให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น3.สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการรัฐสภา และจะต้องไม่กระทบหมวด1 และ 2 โดย ส.ส.และสมาชิกพรรค จะยืนหยัดเคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ทำงานรับใช้ประชาชนคนไทยทุกคนและพวกเราเป็นกำลังใจให้ฟันฝ่าวิกฤติตรงนี้ไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติให้สมาชิกและส.ส.ทุกคนปกป้องสถาบันและสามารถจัดกิจกรรมในพื้นที่เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี การใส่เสื้อเหลือง ออกมาเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนเพื่อให้ผู้มีความเห็นต่างอีกฝ่ายได้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากที่รัก พร้อมจะปกป้องสถาบัน และยืนยันว่า จะไม่มีกลุ่มมวลชนมาปะทะกันอย่างแน่นอนส่วนใหญ่ผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองเป็นคนวัยทำงาน ผ่านชุมนุมมาหลายครั้ง เว้นแต่จะมีคนที่ต้องการสร้างสถานการณ์
‘ไทยภักดี’ชู5ข้อหนุนบิ๊กตู่อยู่ต่อ
ทางด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี ออกแถลงการณ์ของกลุ่มไทยภักดี ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป ไม่เพียงแต่ในเรื่องความชอบธรรม แต่หมายถึงการดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ด้วย โดยกลุ่มไทยภักดี ขอยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีความชอบธรรมดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป โดยมีเหตุผลดังนี้1.เป็นนายกฯที่มาตามระบอบประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้ง 2.ฝ่ายต่อต้าน ยังไม่สามารถหาเหตุผลใดๆรวมทั้งการทุจริตคอร์รัปชั่นที่แสดงว่านายกฯทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายแรง มีเพียงข้อกล่าวว่าเผด็จการ 3.ยืนยันว่านายกฯ ไม่ใช่เผด็จการ ตามที่ฝ่ายต่อต้านกล่าวหา 4.การเรียกร้องให้นายกฯลาออก เพียงเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายผู้ชุมนุมรุกต่อเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ 5.การเรียกร้องของผู้ชุมนุม ไม่ได้เป็นไปตามเหตุตามผลที่เกิดขึ้น เพียงแต่ใช้โซเชียลสร้างวาทกรรมกล่าวหา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี