ขังคุกยาวแกนนำคณะราษฎร
ไมค์-รุ้ง-เพนกวิน
ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัว
หวั่นออกไปเคลื่อนไหวอีก
รัฐสภาผวาม็อบบุกปิดล้อม
ร้องขอฝ่ายความมั่นคงช่วย
ปลดแอกยังเหิมขู่ยกระดับ
“ไมค์–รุ้ง-เพนกวิน” แกนนำคณะราษฎรนอนคุกยาวหลังศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัวเพราะกลัวจะหลบหนี หรือไปเคลื่อนไหวอีก ด้านม็อบหน้าเรือนจำพิเศษ กทม. ขู่ยกระดับการเคลื่อนไหว ขณะที่สภาฯผวาผู้ชุมนุม บุกปิดล้อมเปิดสมัยประชุมวิสามัญจันทร์-อังคารนี้ ร้องขอฝ่ายความมั่นคงเข้าไปช่วยดูแลความปลอดภัย ด้านเพื่อไทย จ้องถล่มบิ๊กตู่ ร่วมจี้ให้ไขก๊อก อ้างเป็นต้นเหตุของปัญหา
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2563 เวลา 10.00 น.ที่บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯถนนงามวงศ์วาน คณะราษฎร 63 นำโดยนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน แกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มคณะราษฎร ได้แถลงการณ์ถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎร 63ว่า การชุมนุมในวันนี้ ทางกลุ่มอยากเชิญชวนราษฎรทุกคน มาออกแบบการชุมนุมร่วมกัน อยากเห็นการชุมนุมในรูปแบบไหน เพื่อแลกเปลี่ยนให้การเคลื่อนไหวดีขึ้น ภายใต้กิจกรรม“ประยุทธ์ก็ต้องไล่ หนังสือก็ต้องอ่าน การบ้านก็ต้องทำ”พร้อมย้ำ จุดยืนเดิม 3ข้อ1.พลเอกประยุทธ์ต้องลาออกจากตำแหน่ง2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
“กิจกรรมในวันนี้ยืนยันจะปักหลักค้างคืนที่นี่ต่อเพื่อเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ เพื่อรอท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากที่กลุ่มคณะราษฎรได้ยื่นข้อเรียกร้อง โดยกำหนดเวลาไว้ 3วันโดยขีดเส้นตายในเวลา 22.00น.ของวันนี้ หากไม่ทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ กลุ่มคณะราษฎร 63 พร้อมยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไปทันที ส่วนจะยกระดับอย่างไรจะรอให้ราษฎรมาออกแบบร่วมกันเพื่อให้การชุมนุมในครั้งนี้เป็นการชุมนุมแบบที่ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ มีการแลกเปลี่ยนวิพากษ์วิจารณ์ได้”นายจตุภัทร์ ย้ำ
นอกจากนี้ ไผ่ ดาวดิน ยังเชื่อว่า หากตำรวจ จะมาจับตัวเอง การเคลื่อนไหวก็จะยังคงเดินหน้าต่อไปไม่มีแกนนำ การเคลื่อนไหวก็ไปต่อได้ ทุกคนสามารถขึ้นมาเป็นแกนนำได้ ในช่วงบ่าย จะเปิดเวทีให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ปราศรัย มีเวทีเสวนา โดยเน้นเรื่องการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์
‘ไมค์-เพนกวิน-รุ้ง’นอนคุกยาว
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกศาลได้อ่านคำสั่งของ ศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับการยื่นขอประกันตัวของ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง 3 ผู้ต้องหา แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มคณะราษฎร 2563 คดีร่วมกันชุมนุม “19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร” ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และการปักหมุดคณะราษฎร2563 ที่สนามหลวง เมื่อระหว่างวันที่ 19 -20 ก.ย. 2563 หลังศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสาม และทนายความยื่นอุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาการประกันตัว
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์พิจารณาสำนวนของนายภาณุพงศ์ 2 สำนวน คือ การชุมนุม ตามข้อหายุยงปลุกปั่นฯ กับข้อหาอื่นๆ และสำนวนปักหมุดคณะราษฎร 2563 บนพื้นสนามหลวง ตาม พ.ร.บ.โบราณสถานฯ กับอีกสำนวนของนายพริษฐ์และ น.ส.ปนัสยา เป็นสำนวนเดียวกัน ทั้งหมด 3 สำนวน
หวั่นจะไปก่อเหตุซ้ำ หลบหนี
โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า การกระทำตามข้อกล่าวหามีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลจำนวนมาก อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง มีการชักนำให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน โดยการบุกรุกทำลายทรัพย์สินของทางราชการไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองประกอบ
เมื่อพิจารณาถึงพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราวแล้ว ยังปรากฏว่าผู้ต้องหายังถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายคดีในหลายท้องที่ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาทั้งสามอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นและน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนีได้ สมควรรอฟังผลการสอบสวนก่อน คำสั่งของศาลอาญาที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสามนั้นชอบแล้ว ยกคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะนี้”ไมค์ และเพนกวิน” ได้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วน”รุ้ง”ถูกควบคุมตัว ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ซึ่งยังคงปักหลักค้างคืนชุมนุมตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.ที่บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
‘สมยศ-เอกชัย’หวืดประกันตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่23ต.ค.ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหา แกนนำกลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตย ในคดีชุมนุม“19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร”ที่ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์และสนามหลวง เมื่อวันที่19-20ก.ย.2563 หลัง ศาลชั้นต้นไม่ให้ประกันตัว และทนายความยื่นอุทธรณ์ขอให้พิจารณาประกันตัว
ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์ถึงความหนักเบาแห่งข้อหา และพฤติการณ์แห่งคดีประกอบลักษณะการกระทำความผิดตามที่ปรากฏในคำร้องขอฝากขังแล้วว่า ผู้ต้องหาร่วมกับพวกระดมมวลชน จัดให้มีการชุมนุมและก่อให้เกิดการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ หากปล่อยชั่วคราว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจก่อให้เกิดความเสียหายประการอื่นในทำนองเดียวกันขึ้นอีกในชั้นนี้สมควรรอฟังผลการสอบสวนก่อนที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมานั้นชอบแล้ว ยกคำร้อง
ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์ สั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายเอกชัย หงส์กังวาล ผู้ต้องหาคดี กระทำการประทุษร้ายพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 เช่นกัน โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ความหนักเบาของข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้วยกคำร้องส่งผลให้ ทั้งนายสมยศ และนายเอกชัยต้องถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป
ตร.ขอศาลให้ม็อบพ้นหน้าเรือนจำ
ขณะที่พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผช.น.) เปิดเผยว่า กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักค้างคืนที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พร้อมขีดเส้นตายให้นายกรัฐมนตรี ลาออก เวลา 22.00 น. วันที่ 24 ตุลาคม นั้น ซึ่งการชุมนุมในบริเวณดังกล่าว ถือว่าเป็นความผิดซึ่งผู้กำกับการสน.ทุ่งสองห้อง ทำหนังสือแจ้งขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมหยุดการชุมนุมแล้วแต่ไม่เป็นผล
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่าโดยขั้นตอนต่อไปจะขอให้ศาลออกข้อบังคับเพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ เพราะขณะนี้กลุ่มผู้ชุมนุมมีความผิดตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ กีดขวางการจราจรและตั้งวางสิ่งของหรือสิ่งอื่นใดบนทางเท้า ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ส่วนการจัดกำลังตำรวจเข้าดูแลความเรียบร้อย อยู่ในความรับผิดชอบของกองบังคับการตำรวจนครบาล2 และสน.ทุ่งสองห้อง ในเบื้องต้นยังไม่ได้มีการร้องขอกำลังเสริมจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล
ธนกรอัดปิยบุตรดูแคลนปชช.
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุว่าประชาชนที่ออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกจัดตั้งหรือเกณฑ์มาว่านับวันนายปิยบุตรจะไม่เห็นหัวประชาชน ทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของประเทศ กล้าที่จะดูถูกดูแคลนประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อยากบอกนายปิยบุตรว่าประชาชนทั่วประเทศรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต ไม่มีใครถูกเกณฑ์หรือจัดตั้งมา แต่มาด้วยหัวใจที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นายปิยบุตร คงกู่ไม่กลับแล้ว แทนที่จะช่วยกันคิดปฏิรูปประเทศ แต่กลับจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย มีแต่สถาบันพระมหากษัตริย์จะสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้กับประชาชนมาตลอด
เลิกปลุกปั่นทำลายชาติ-สถาบัน
นายธนกร กล่าวอีกว่าพอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้ม็อบคณะราษฏร63 ถอยคนละก้าวและเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อนำปัญหามาแก้ในสภา แต่นายปิยบุตรกลับมองว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยถอยแต่รุกคืบแดนประชาธิปไตย วันๆใช้แต่โวหารหลอกลวงไปเรื่อยๆ พล.อ.ประยุทธ์พยายามประคับประคองให้ประเทศเดินหน้าไปให้ได้ด้วยความสงบสุข ไม่อยากเห็นประชาชนขัดแย้งกันเอง มองนักศึกษา เหมือนลูกหลาน การใช้เวทีรัฐสภาแก้ปัญหาให้ประชาชน ตอนนายปิยบุตรเป็นส.ส.ก็เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา แต่มาตอนนี้กลับบอกว่าอาจมี ส.ส.ฝั่งรัฐบาลและส.ว.ใช้เวทีถล่มนักศึกษา เป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ อยากให้นายปิยบุตรช่วยกันแก้ปัญหาอย่างสันติ อย่าพยายามยุยงปลุกปั่น ประเทศเสียหายมามากแล้ว หยุดเคลื่อนไหวปฏิรูปสถาบันทันทีก่อนที่จะสายเกินไป
วรงค์ซัดปิยบุตรขู่-ใกล้จบแล้ว
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาระบุว่า อะไรจะเกิดขึ้นหากสถาบันกษัตริย์ไม่ยินยอมปฏิรูป โดยมีเนื้อหาดังนี้..#ขู่แบบนี้แสดงว่าใกล้จบ นายปิยบุตร ออกมาขู่อีกแล้วครับ เปรียบเทียบปฏิรูปกับปฏวัติ แสดงว่าถ้าไม่ยอมปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็จะปฏิวัติ ทั้งๆที่ยังนึกไม่ออกว่า สถาบันฯ สร้างปัญหาอะไรให้ประเทศ ที่คุณคิดแต่จะล้มล้าง สิ่งที่ปิยบุตรขู่ออกมาแสดงว่าเก็บอาการไม่อยู่ คงอยากหาทางลง เราต้องอดทนที่จะต้องทำการเมืองสะอาด ขจัดนักการเมืองชั่ว พวกที่จ้องทำร้ายประเทศ หลอกลูกหลานประชาชนมาบังหน้า แต่ตัวเองนอนอยู่บ้าน ปั่นคีย์บอร์ดและไม่เคยทำประโยชน์ใดๆ เก็บอาการไม่อยู่ ขู่ออกมาแบบนี้ แสดงว่าใกล้จบละครับ พวกเราต้องตั้งหลักกันให้ดีๆ #การเมืองสะอาดขจัดนักการเมืองชั่ว”
‘พท.’ล็อคเป้าเน้นถล่ม ‘บิ๊กตู่’
ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองก่อนจะมีการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 26-27 ตุลาคมนี้ โดยพรรคเพื่อไทย นางสาวอรุณีกาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่าพรรคเพื่อไทย จะประชุม ส.ส.ของพรรคในวันที่ 25 ตุลาคม เพื่อเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้ายในประเด็นการอภิปราย โดยเป้าหมายหลักคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นต้นเหตุของปัญหา และท่าทีที่ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการบริหารประเทศ ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ และการนำพาประเทศไปสู่ความขัดแย้ง ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม
โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่าการที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในครั้งนี้ แม้จะถูกบีบด้วยเงื่อนไขของเวลาและญัตติของรัฐบาล แต่สิ่งหนึ่งในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านต้องทำคือการหาทางออกในกระบวนการทางสภา ชี้แจงให้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้และอธิบายในสิ่งที่ประชาชนถูกกล่าวหาผ่านญัตติที่ฝ่ายรัฐบาลยื่นมา
ย้ำต้องลาออกก่อนชาติพัง
“เรามีหน้าที่ในการปกป้องประชาชนและประเทศชาติ หากไม่ใช้เวทีสภาในการพยายามหาทางออกจากปัญหาร่วมกัน จะยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายเกินกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะรับผิดชอบได้ จุดยืนของเราในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้คือนายกฯต้องลาออกทันที รัฐบาลต้องหยุดคุกคามประชาชนทันที และเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร่งด่วน เราในฐานะพรรคการเมืองจะทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจฝ่ายบริหารคู่ขนานไปกับเสียงเรียกร้องของประชาชนนอกสภา”นางสาวอรุณี กล่าว
ปชป.ถกนัดพิเศษ สส.พรรค
ทางด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานประธานส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนได้เชิญ ส.ส.ของพรรคประชุมเป็นกรณีพิเศษในวันอาทิตย์ที่25ต.ค.เวลา 16.00 น. เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมตามที่รัฐบาลขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ม.165 โดยไม่มีการลงมติ โดยจะมีการกำหนดบุคคลที่จะร่วมอภิปรายในวาระที่สำคัญนี้ตามเวลาที่ได้มีการจัดสรรไปตามสัดส่วนให้ทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และ ส.ว.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชู3จุดยืนอภิปรายสร้างสรรค์
โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ จะเน้นอภิปรายอย่างสร้างสรรค์แบบมีวุฒิภาวะ ด้วยเนื้อหาสาระที่จะช่วยกันร่วมมือแสวงหาทางออกจากปัญหาต่างๆ ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ตามจุดยืนของพรรค 3 ประการคือ1.ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2.การแก้ปัญหาควรใช้แนวทางสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม 3.ใช้รัฐสภาเป็นเวทีหาทางออกของประเทศ
ย้ำสภาต้องช่วยกันหาทางออก
ส่วนที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญให้มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้นั้น นายองอาจกล่าวว่าการแก้ไขปัญหามีได้หลายวิธี การใช้เวทีรัฐสภาที่มีผู้แทนประชาชนจากหลากหลายความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเพื่อช่วยกันหาทางออกให้ประเทศ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ทุกภาคส่วนต้องใช้เวทีรัฐสภาเพื่อแก้ปัญหาบนพื้นฐานของความจริงใจคำนึงถึงประเทศชาติบ้านเมืองเป็นหลักมากกว่าคำนึงถึงผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น
“การเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยกันย่อมเกิดประโยชน์ในการหาทางออกให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ จึงหวังว่าทุกฝ่ายจะช่วยกันระดมสมอง กลั่นกรองวิธีการที่เหมาะสมหาทางออกให้ประเทศมากกว่าหาทางออกให้ตัวเองเชื่อมั่นว่าถ้าทุกฝ่ายคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมร่วมกันในทุกมิติ จะช่วยทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างแน่นอน”นายองอาจ กล่าว
สภาหวั่นม็อบปิดล้อมถกวิสามัญ
นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยของรัฐสภาในระหว่างการประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาวันที่ 26-27 ต.ค.ว่านโยบายของประธานรัฐสภานั้นมองว่า รัฐสภาเป็นสถานที่ที่ตัวแทนของประชาชนเข้ามาทำงาน ดังนั้นท่านจึงเชื่อมั่นว่าประชาชนจะมองว่าตัวแทนของพวกเขากำลังเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ เชื่อว่าผู้ชุมนุมน่าจะเข้าใจว่า พวกเรากำลังทำงานให้กับประชาชน
“คงไม่จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเข้มข้นเข้มงวดเหมือนกับค่ายทหาร จนประชาชนเข้ามาไม่ได้ เพียงแต่มาตรการรักษาความปลอดภัย อาจจะเข้มข้นมากกว่าปกติเท่านั้น อาจจะยกระดับในการคัดกรองบุคคลที่ผ่านเข้ามาให้เข้มข้นขึ้น รวมถึงการตรวจตรารถยนต์ที่เข้ามาก็ต้องเข้มข้นขึ้น หากเป็นไปได้ก็อยากขอความร่วมมือสมาชิกทุกคน ถ้าสามารถเดินทางมาโดยรถขนส่งสาธารณะได้ แต่ไม่ใช่บังคับถึงขั้นว่าห้ามนำรถยนต์เข้ามา”นายสมบูรณ์ กล่าว
ประสาน‘ฝ่ายมั่นคง’ดูแลปลอดภัย
เมื่อถามว่าหากกลุ่มผู้ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาจะดำเนินการอย่างไรนายสมบูรณ์กล่าวว่ารัฐสภาก็มีความกังวลแต่หากมีความจำเป็นก็จะต้องประสานกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อประสานงานกันในการเปิดทางในกรณีที่หากเลิกประชุมแล้ว สมาชิกไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ตรงนี้จะเป็นเรื่องฝ่ายความมั่นคงที่จะหาทางออก โดยวางมาตรการเป็นขั้นตอนไป เชื่อว่าสถานการณ์คงไม่รุนแรง ประชาชนจะเข้าใจว่าสภากำลังหาทางออกให้ประเทศอยู่
สำหรับการรักษาความปลอดภัยภายนอกนั้นเป็นเรื่องของหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งอาจจะมีการจัดกำลังตำรวจมาที่รัฐสภาแต่ไม่เกี่ยวกับสภา เพียงแต่ได้ขอร้องว่าให้แจ้งให้สภาได้รับทราบด้วย ขณะที่มาตราการสำหรับกรณีที่ต้องอพยพต่างๆ นั้น ฝ่ายความมั่นคงก็มีการวางมาตรการการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางบกและทางน้ำ
ฟังความเห็นประชาชน
วันดียวกัน พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวระหว่างพูดคุยกับตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่ จ.เชียงใหม่ หลังเปิดการสัมมนาวิชาการ “พลังอุดมศึกษากับการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” โดยยอมรับว่า ต้องรับฟังและเคารพความเห็นของเยาวชน แต่อยากให้คำนึงถึงปัญหาความขัดแย้งจะส่งผลให้ประเทศและประชาชนบอบช้ำมากกว่านี้ และประเทศชาติจำเป็นต้องเดินหน้าต่อ จึงต้องให้ทุกคนเคารพกฎหมาย
ด้านนายจิรวัฒน์ แก้วตา นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า พลเอกอนุพงษ์ ฝากความหวังในการพัฒนาประเทศไว้กับคนรุ่นใหม่ แต่อยากให้ยึดหลักของสันติและความสงบสุขของประเทศด้วย
ก่อนหน้านี้ระหว่างการสัมมนา พลเอกอนุพงษ์ยอมรับว่า ไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง ทั้งเทคโนโลยี การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลก ทำให้ต้องช่วยกันประคองประเทศให้เดินหน้า และอยากให้นักวิชาการนำความรู้ที่มีมาช่วยต่อยอดในการพัฒนาประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าของสินค้าการเกษตรซึ่งเป็นพื้นฐานของประเทศ
ไม่ไล่ออกเด็กชู3นิ้ว
นายภักดี เหมทานนท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชูทิศ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยถึงกรณีที่มีเด็กนักเรียนบางคนลุกขึ้นยืนชู 3 นิ้วในขณะที่โรงเรียนกำลังทำพิธีถวายบังคมเนื่องในวันปิยมหาราชว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรกับเด็กคนดังกล่าว เนื่องจากติดช่วงวันหยุด แต่เมื่อโรงเรียนเปิดก็จะมีการเรียกเด็กมาอบรมสั่งสอนในเรื่องของกาลเทศะ ความเหมาะสมของสถานที่ เราจะต้องสอนและบอกกับลูกของเรา
“ส่วนความคิดเห็นที่แตกต่าง ทางโรงเรียนไม่เคยปิดกั้น เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล เพียงแต่การแสดงออกต้องดูกาลเทศะด้วย ส่วนที่มีข่าวว่ามีการไล่เด็กออกนั้น ไม่เป็นความจริง ไม่ได้มีการไล่เด็กออกแต่อย่างใด และไม่คิดที่จะไล่ออก เพราะเด็กไม่ได้ทำความผิดอะไร และพ่อแม่เด็กก็ยังไม่ได้พาเด็กมาลาออกจากโรงเรียนอย่างที่มีการแชร์กันในสังคมออนไลน์แต่อย่างใดด้วย” นายภักดี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี