วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่โรงงานของมูลนิธิชัยพัฒนา พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่โรงงานของมูลนิธิชัยพัฒนา พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้แก่โรงงานของมูลนิธิชัยพัฒนาที่ได้ดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อเป็นการส่งเสริมโรงงานของมูลนิธิและลดภาระค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมของมูลนิธิชัยพัฒนา
อก. เสนอว่า
1. เนื่องจากมูลนิธิชัยพัฒนาจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อพัฒนาสงเคราะห์และช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติโดยส่วนรวม การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิดังกล่าว อาจมีการประกอบกิจการโรงงานภายใต้บังคับพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวมอยู่ด้วย โรงงานจึงมีภาระที่จะต้องชำระค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายแก่มูลนิธิ
2. ปัจจุบันการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิชัยพัฒนามีการประกอบกิจการโรงงานรวม 3 แห่ง ซึ่งในเบื้องต้นค่าธรรมเนียมรายปีที่มูลนิธิชัยพัฒนาจะต้องชำระในแต่ละปีตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 และโรงงานจำพวกที่ 3 พ.ศ. 2563 จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าว รวมเป็นเงินประมาณ 7,800 บาท ทั้งนี้ ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
ลำดับ |
ชื่อโรงงาน |
ประกอบกิจการ |
สถานที่ตั้ง |
ค่าธรรมเนียมรายปี |
1. |
โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร |
สีข้าวและผลิตกระแสไฟฟ้า |
พระนครศรีอยุธยา |
5,400 บาท |
2. |
ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมันอื่น ๆ |
ผลิตและบรรจุภณฑ์จากพืชน้ำมัน |
เชียงราย |
900 บาท |
3. |
ผลิตอาหารเม็ด โครงการอุตสาหกรรมประมงพื้นบ้าน |
ผลิตอาหารเม็ดสำหรับปลา |
พังงา |
1,500 |
3. ดังนั้น การดำเนินการของมูลนิธิจึงเป็นไปเพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจและสังคม อันมิใช่เป็นการดำเนินงานในทางธุรกิจเต็มรูปแบบ ประกอบกับเพื่อเป็นการส่งเสริมโรงงานของมูลนิธิให้เกิดขึ้น และมีการดำเนินการโดยไม่มีภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 จึงสมควรที่จะดำเนินการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของมูลนิธิชัยพัฒนาโดยการกำหนดให้มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แก่โรงงานของมูลนิธิชัยพัฒนา
4. มูลนิธิชัยพัฒนาได้มีหนังสือขอความอนุเคราะห์ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมันอื่น ๆ
5. อก. ได้พิจารณาจากวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานของมูลนิธิชัยพัฒนาแล้ว เห็นสมควรที่จะกำหนดให้มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แก่โรงงานของมูลนิธิฯ รวม 3 แห่งดังกล่าวเพื่อเป็นการส่งเสริมโรงงานของมูลนิธิฯ และลดภาระค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมของมูลนิธิฯ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ อก. เคยมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป ภายใต้โครงการหลวงและโครงการพระราชดำริตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และได้ดำเนินการจัดทำร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่โรงงานของมูลนิธิชัยพัฒนา พ.ศ. …. โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 และมาตรา 43 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562
6. อก. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ทั้งนี้ พิจารณาแล้วเห็นว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าว รวมเป็นเงินประมาณ 7,800 บาท ซึ่งรายได้ที่รัฐจะสูญเสียไปมีมูลค่าไม่มากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินการของโรงงานของมูลนิธิชัยพัฒนา
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่โรงงานของมูลนิธิชัยพัฒนา พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
2. เรื่อง ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ อก. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อ 9 และข้อ 10 แห่งระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2563 เพื่อขอขยายระยะเวลาการนำส่งเงินของโรงงาน เข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสำหรับฤดูการผลิตปี 2560/2561 และฤดูการผลิตปี 2561/2562 โดยให้โรงงานน้ำตาลทรายต้องนำส่งเงินของโรงงานเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายภายใน 180 วัน นับตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อช่วยเหลือโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความล่าช้าของการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย และปัญหาโรงงานขาดสภาพคล่องทางการเงินเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ทั้งนี้ อก. เสนอว่า
1. โดยที่ได้มีหนังสือจากสมาคมโรงงานน้ำตาลทราย รวม 3 สมาคม ขอให้ อก. พิจารณาผ่อนผันขยายระยะเวลาการนำส่งเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ตามระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2563 สำหรับเงินที่เรียกเก็บของฤดูการผลิตปี 2560/2561 และ ปี 2561/2562 เพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2563 ออกไปจนกว่าจะมีประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต ปี 2560/2561 และปี 2561/2562 โดยขอให้กองทุนฯ หักกลบลบหนี้ระหว่างเงินที่กองทุนฯ จะต้องจ่ายชดเชยให้โรงงานตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 กับเงินที่กองทุนฯ เรียกเก็บจากโรงงานตามระเบียบดังกล่าว
2. คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายในการประชุมครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2560/2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำเรื่องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โดยผลจากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2560/2561 จะทำให้กองทุนฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยคืนให้กับโรงงานเป็นจำนวน 19,771,515,128.62 บาท ตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527
3. โดยที่การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2560/2561 และปี 2561/2562 ล่าช้า และฤดูการผลิตปี 2562/2563 มีปริมาณอ้อย ที่ประมาณการไว้เพื่อใช้ในการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2562/2563 ที่ 111.5 ล้านตัน แต่หลังจากปิดหีบฤดูการผลิตปี 2562/2563 ปรากฏว่ามีอ้อยเข้าหีบเพียง 74.89 ล้านตัน ซึ่งน้อยกว่าประมาณการถึง 36.61 ล้านตัน รวมทั้งผลพวงจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้โรงงานประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
4. ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินของโรงงานซึ่งอาจทำให้มีปัญหาการจ่ายเงินค่าอ้อยให้กับชาวไร่อ้อย ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ประกอบกับกองทุนฯ ยังมีภาระที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยค่าอ้อยให้กับโรงงาน เนื่องมาจากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2560/2561 สูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้น เป็นจำนวน 19,771,515,128.62 บาท อก. โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) จึงได้ยกร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ขึ้นเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมข้อ 9 และข้อ 10 แห่งระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2563 โดยขอขยายระยะเวลาในการนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับฤดูการผลิตปี 2560/2561 และฤดูการผลิตปี 2561/2562 โดยให้โรงงานต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป
5. คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายในการประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบตามข้อ 4. ตามที่ สอน. เสนอ
จึงได้เสนอร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดเก็บเงิน เข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านดู่ ตำบลนางแล และตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลบ้านดู่ ตำบลนางแล และตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านดู่ ตำบลนางแล และตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 กับทางหลวงชนบท ชร. 5023 และขยายถนน สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 กับถนนบ้านฝั่งหมิ่น – บ้านหนองบัวแดง และสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1207 กับถนนเลี่ยงเมืองเชียงราย ส่วนที่ 2 (กม.ที่ 15+520)
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. เนื่องจากจังหวัดเชียงรายขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านงานทาง เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรที่คับคั่งบริเวณสี่แยกศูนย์ราชการพร้อมบริเวณใกล้เคียง และเป็นการเปิดพื้นที่ของการพัฒนาด้านเหนือของสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต และสนับสนุนการพัฒนาเมืองเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางทางภาคเหนือตอนบน รวมทั้งเป็นประตูการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินโครงการเพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 กับทางหลวงชนบท ชร. 5023 และขยายถนน สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 กับถนนบ้านฝั่งหมิ่น – บ้านหนองบัวแดง และสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1207 กับถนนเลี่ยงเมืองเชียงราย ส่วนที่ 2 (กม.ที่ 15+520) ในท้องที่ตำบลบ้านดู่ ตำบลนางแล และ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
2. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียด ดังนี้
2.1 โครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 กับทางหลวงชนบท ชร. 5023 เป็นโครงการก่อสร้างถนนใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร พร้อมเกาะกลาง ชนิดผิวจราจรเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร เขตทางกว้าง 30 – 52 เมตร รวมระยะทางประมาณ 3.014 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 80 ไร่ มีอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 3 รายการ และโครงการขยายถนน สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 กับถนนบ้านฝั่งหมิ่น – บ้านหนองบัวแดง เป็นโครงการขยายถนนเดิม ขนาด 4 ช่องจราจร พร้อมเกาะกลางชนิดผิวจราจรเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.00 – 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 1.50 – 2.50 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 2.50 – 4.50 เมตร เขตทางกว้าง 16 – 47 เมตร รวมระยะทางประมาณ 3.735 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 45 ไร่ มีอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 70 รายการ ซึ่งทั้งสองโครงการดังกล่าวใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 500.08 ล้านบาท (ใช้งบประมาณในการสำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 5.50 ล้านบาท การเวนคืนประมาณ 257.58 ล้านบาท และการก่อสร้างประมาณ 237.00 ล้านบาท)
2.2 โครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1207 กับถนนเลี่ยงเมืองเชียงราย ส่วนที่ 2 (กม.ที่ 15+520) เป็นโครงการก่อสร้างถนนใหม่ ขนาด 4 ช่องจราจร พร้อมเกาะกลาง ชนิดผิวจราจรแบบลาดยาง ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร ทางเท้า (เฉพาะในเขตชุมชน) กว้างข้างละ 3.40 เมตร เขตทางกว้าง 30 เมตร รวมระยะทางประมาณ 2.356 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 45 ไร่ มีอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 3 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 134.00 ล้านบาท (ใช้งบประมาณในการสำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ประมาณ
2.00 ล้านบาท การเวนคืนประมาณ 50.00 ล้านบาท และการก่อสร้างประมาณ 82.00 ล้านบาท)
3. การวิเคราะห์โครงการ สรุปผลดังนี้
ความเหมาะสมในการดำเนินโครงการตรมข้อ 2.1 พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 62.25 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) มีค่า 13.44% อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) มีค่า 1.13 และโครงการตามข้อ 2.2 พบว่ามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 144.50 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) มีค่า 22.87% อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) มีค่า 2.18 ซึ่งถือได้ว่าทั้งสองโครงการมีความเหมาะสมในการดำเนินการ
4. สำนักงบประมาณเห็นว่า กรมทางหลวงชนบทจะดำเนินโครงการก่อสร้างถนนรวม 3 สาย ประกอบด้วยถนนสาย ค2 จ7 ง4 ผังเมืองรวมเมืองเชียงรายถนนสายแยก ทล.1 – ชร. 5023 ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย และถนนสายเชื่อมระหว่าง ทล. 1207 กับแนวถนนโครงการของกรมทางหลวง สายเลี่ยงเมืองเชียงราย ส่วนที่ 2 (กม.ที่ 15+520) จังหวัดเชียงราย ประมาณการค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน 307.5800 ล้านบาท โดยกรมทางหลวงชนบทมีแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและแผนเบิกจ่ายค่าทดแทนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2566 ดังนั้น เห็นควรที่กรมทางหลวงชนบทจะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับแล้ว
5. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการดังกล่าวแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมกระเช้าไฟฟ้า พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมกระเช้าไฟฟ้า พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 (เรื่อง แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ) และให้รับความเห็นกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้มีการควบคุมกระเช้าไฟฟ้า ดังนี้
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “กระเช้าไฟฟ้า” หมายความว่า “สิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการขนส่งบุคคลจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งโดยการลากจูงให้เคลื่อนที่ไปตามลวดเกลียวโลหะ หรือตามราง หรือการเคลื่อนที่ในลักษณะทำนองเดียวกัน ด้วยระบบไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ และให้หมายความรวมถึงอาคารที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระเช้าไฟฟ้าและบริเวณที่เป็นส่วนประกอบในการให้บริการกระเช้าไฟฟ้า เช่น ห้องเครื่อง ห้องควบคุม ห้องพักรอ ทางเข้าออก ทั้งนี้ ไม่รวมถึงลิฟต์ บันไดเลื่อน และทางเลื่อน”
2. กำหนดประเภทหรือลักษณะของสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการขนส่งบุคคลในบริเวณใดในลักษณะกระเช้าไฟฟ้าหรือสิ่งอื่นใดที่สร้างโดยมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการก่อสร้าง การอนุญาตให้ใช้ การตรวจสอบมาตรฐานการรับน้ำหนัก ความปลอดภัย และคุณสมบัติของวัสดุหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นเกี่ยวเนื่องกับกระเช้าไฟฟ้า รวมทั้งกำหนดแบบคำขออนุญาต แบบใบอนุญาต และแบบอื่นใดที่จะใช้ในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับนี้
4. กำหนดให้กระเช้าไฟฟ้าเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้
5. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขออนุญาตก่อสร้างและใช้กระเช้าไฟฟ้า
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
โดยที่พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543 มาตรา 8 ทวิ บัญญัติให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคารมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทหรือลักษณะของสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการขนส่งบุคคลในบริเวณใดในลักษณะกระเช้าไฟฟ้า โดยกฎกระทรวงดังกล่าวต้องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการก่อสร้าง การอนุญาตให้ใช้การตรวจสอบมาตรฐานการรับน้ำหนัก ความปลอดภัย และคุณสมบัติของวัสดุหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นเกี่ยวเนื่องกับกระเช้าไฟฟ้า เพื่อกำหนดแบบคำขออนุญาต แบบใบอนุญาต และแบบอื่นใดที่จะใช้ในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าว ประกอบกับเพื่อให้การใช้กระเช้าไฟฟ้ามีความปลอดภัยต่อประชาชน จึงได้กำหนดให้กระเช้าไฟฟ้าเป็นอาคารประเภทควบคุมการใช้ตามมาตรา 32 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ที่บัญญัติให้อาคารประเภทควบคุมการใช้ คือ อาคารอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เพื่อให้มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง และความปลอดภัยทุกปี
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวกับการขออนุญาตก่อสร้างและการใช้กระเช้าไฟฟ้า จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงว่าด้วย การควบคุมกระเช้าไฟฟ้า และคณะกรรมการควบคุมอาคาร ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมกระเช้าไฟฟ้า พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
เศรษฐกิจ - สังคม
5. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี จากเดิม 11 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - 2563) เป็น 13 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - 2565) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิมจำนวน 9,078 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. กรมชลประทานได้เริ่มดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี มาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 [ตามมติคณะรัฐมนตรี (27 ตุลาคม 2552) และมติคณะรัฐมนตรี (7 พฤศจิกายน 2560)] โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ใช้เป็นแหล่งน้ำด้านการเกษตรกรรม การอุปโภค บริโภค และการประปา ตลอดจนการบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำปราจีนบุรี และลุ่มน้ำสาขา ในเขตพื้นที่อำเภอนาดี และอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมา มีงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 1 รายการ ได้แก่ งานก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น ซึ่งปัจจุบันได้เปิดใช้งานและเก็บกักน้ำแล้ว และมีงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 4 รายการ รายละเอียดดังนี้
ลำดับ |
รายการก่อสร้าง |
วงเงิน (ล้านบาท) |
ระยะเวลาสัญญา |
ผลงานสะสม (ร้อยละ) |
1 |
งานก่อสร้างระบบชลประทานฝั่งซ้าย สัญญาที่ 1 · คลองส่งน้ำสายใหญ่ ความยาว 46.968 กิโลเมตร · คลองส่งน้ำสายซอย จำนวน 12 สาย ความยาวรวม 37.018 กิโลเมตร · อาคารประกอบ |
862.82
|
27 มีนาคม 2558 – 16 เมษายน 2563 |
78.66 |
2 |
งานก่อสร้างระบบชลประทานฝั่งซ้าย สัญญาที่ 1 · คลองส่งน้ำสายซอย จำนวน 25 สาย ความยาวรวม 102.697 กิโลเมตร · อาคารประกอบ |
369.41 |
23 มีนาคม 2560 – 4 กรกกฎาคม 2563 |
46.74 |
3 |
งานก่อสร้างระบบชลประทานฝั่งขวา · คลองส่งน้ำสายใหญ่ ความยาว 14.569 กิโลเมตร · คลองส่งน้ำสายซอย จำนวน 9 สาย ความยาวรวม 19.346 กิโลเมตร · คลองระบายน้ำ ความยาวรวม 8.950 กิโลเมตร |
215.69 |
23 มีนาคม 2560 – 16 กันยายน 2562 |
23.39 |
4 |
งานก่อสร้างระบบระบายน้ำฝั่งซ้ายพร้อมอาคารประกอบ · คลองระบายน้ำฝั่งซ้าย จำนวน 9 สาย ความยาวรวม 28.49 กิโลเมตร · อาคารประกอบ |
75.90 |
14 กุมภาพันธ์ 2562 – 6 สิงหาคม 2563 |
35.15 |
รวม |
|
1,523.82* |
|
60.27 |
* หมายเหตุ : กรอบวงเงินค่าก่อสร้างอยู่ภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ รายการระบบชลประทาน วงเงิน 1,595.48 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรี (7 พฤศจิกายน 2560)
2. กษ. รายงานว่า เนื่องจากสภาพภูมิประเทศและการใช้ประโยชน์พื้นที่ของราษฎรเปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้ออกแบบก่อสร้างไว้เดิม กรมชลประทานได้มีการแก้ไขแบบก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับราษฎรและเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ รวมทั้งการใช้ประโยชนในพื้นที่ ประกอบกับในขั้นตอนการจัดหาที่ดินมีเจ้าของทรัพย์สินส่วนหนึ่งไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนทรัพย์สินที่ภาครัฐกำหนด บางส่วนไม่ยินยอมให้เข้าใช้พื้นที่ รวมถึงที่ดินบางแปลงติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งในการดำเนินการจัดหาที่ดิน กรมชลประทานใช้วิธีเจรจาซื้อขายที่ดินจากราษฎรที่ถูกเขตชลประทานควบคู่กับการใช้พระราชกฤษฎีกาการเวนคืนที่ดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ทำให้การจัดหาที่ดินเกิดความล่าช้าส่งผลกระทบต่อแผนงานการก่อสร้างระบบชลประทานจึงมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาโครงการออกไป จากเดิม 11 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.2553 - 2563) เป็น 13 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.2553 - 2565) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิม จำนวน 9,078 ล้านบาท ทั้งนี้ กษ. โดยกรมชลประทานได้เสนอขอตั้งงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อรองรับการดำเนินงานไว้แล้วจำนวน 421.76 ล้านบาท และจะได้พิจารณาเสนอขอตั้งงบประมาณในส่วนที่เหลือจำนวน 396.73 ถ้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ต่อไป โดยคาคว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทั้งหมด ในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ทั้งนี้ กรมชลประทานจะพิจารณางดค่าปรับตามสัญญากับผู้รับจ้างเนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ล่าช้าต่อไป
6. เรื่อง แนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2563 – 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2563 – 2565 ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ เพื่อเป็นกรอบแนวทางสำคัญให้บุคลากรภาครัฐ ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐนำไปดำเนินการด้านการพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้เป็นทิศทางเดียวกันตอบเป้าประสงค์ของการเป็นบุคลากรและหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชนในฐานะ “ภาครัฐของประชาชนเพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี มีขนาดเล็กและโปร่งใส และสร้างผลผลิตและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาประเทศและยกระดับชีวิตของประชาชน
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า
1. ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน โดยการพัฒนาและปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐเป็นหนึ่งในประเด็นการดำเนินการปฏิรูปประเทศที่สำคัญตามที่ปรากฏในยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว และแผนการปฏิรูปประเทศ (พ.ศ. 2561 - 2565) ประกอบกับปัจจุบันมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อการทำงานของภาครัฐ เช่น (1) บริบทการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเชื่อมโยงของโลกและสภาวะวิกฤตต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง และ (2) กรอบทิศทางการพัฒนาระบบราชการในอนาคต (ช่น ระบบราชการมีขนาดเล็กและมีลำดับการบังคับบัญชาที่สั้นลง การใช้เทคโนโลยีมาช่วยขับเคลื่อนการทำงานภาครัฐ) ดังนั้น ภาครัฐต้องทบทวนการเรียนรู้และพัฒนาของบุคลากรภาครัฐ โดยกำหนดแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐที่สนับสนุนให้บุคลากรพัฒนาตนเองเพื่อการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติฯ และแผนการปฏิรูปประเทศฯ รวมทั้งรองรับความท้าทายในเรื่องต่าง ๆ เช่น การเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และการรับมือหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2. คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2563 - 2565 ตามข้อเสนอของ อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับการสร้างและพัฒนากำลังคนภาครัฐ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ โดยมี
สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 สำนักงาน ก.พ. ได้จัดทำแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ โดยนำกรอบทักษะเชิงยุทธศาสตร์ 4 ทักษะ [ได้แก่ (1) ทักษะดิจิทัล (2) ทักษะการสื่อสารโน้มน้าว (3) ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ และ (4) ทักษะการคิดวิเคราะห์และวิพากษ์] และทักษะด้านภาวะผู้นำ 6 ทักษะ [ได้แก่ (1) การยึดมั่นในมาตรฐานจริยธรรมและความเป็นมืออาชีพ (2) การกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ (3) การพัฒนาตนเองและผู้อื่น และสร้างการมีส่วนร่วมในองค์กร (4) การสร้างและส่งเสริมให้เกิดการทำงานอย่างบูรณาการและความร่วมมืออย่างเต็มที่ (5) การผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง และ (6) การผลักดันให้เกิดการปฏิบัติและผลสัมฤทธิ์] มาประยุกต์ใช้ในการกำหนดแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็น สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
แนวทางการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐ |
ประเด็นการพัฒนาที่ 1 : ระบบนิเวศในการทำงานที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง |
|
เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐมีสภาพแวดล้อมและระบบการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการพัฒนากรอบความคิดและกรอบทักษะสำหรับการทำงาน และการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัลและศตวรรษที่ 21 |
- พัฒนากลไกในระบบการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล (HRM & HRD) ให้เชื่อมโยง สนับสนุน สอดคล้องซึ่งกันและกัน - กำหนดการพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการในการเรียนรู้ของบุคลากรภาครัฐ - สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมให้บุคลากรภาครัฐเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง |
ประเด็นการพัฒนา ที่ 2 : การพัฒนากรอบทักษะ เพื่อการทำงานในยุคดิจิทัลและศตวรรษที่ 21 และการสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อการขับเคลื่อนภารกิจตามแผนการปฏิรูปประเทศ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนการพัฒนาระบบราชการในอนาคต |
|
เพื่อให้บุคลากรภาครัฐมีทักษะที่จำเป็นในการขับเคลื่อนการปฏิรูปภาครัฐ สร้างผลลัพธ์เชิงนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชน และการผสานการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ |
- กำหนดแนวทางการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์องค์กร ทิศทางการพัฒนาประเทศ และการปฏิรูปภาครัฐ - พัฒนาบุคลากรภาครัฐทุกระดับให้มีทักษะที่จำเป็นในการขับเคลื่อนการปฏิรูปภาครัฐสอดรับการทำงานและการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล และศตวรรษที่ 21 - ส่งเสริมให้บุคลากรภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นได้เรียนรู้และทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานแบบบูรณาการ |
ประเด็นการพัฒนาที่ 3 : ปลูกฝังบุคลากรภาครัฐให้มีกรอบความคิดในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง การมุ่งเน้นประโยชน์ส่วนรวมและทำงานบนหลักคุณธรรม ประยุกต์หลักสากลอย่างเหมาะสม และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริบทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล |
|
เพื่อให้บุคลากรภาครัฐมีคุณลักษณะ เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้และพัฒนา ให้ความสำคัญกับประโยชน์ส่วนรวม ทำงานด้วยความเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ ยึดมั่นในมาตรฐานจริยธรรม และมีทัศนคติแบบสากลที่สอดรับกับยุคดิจิทัล |
- ปลูกฝังกระบวนการทางความคิด ความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ในการทำงานเพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม (เช่น กรอบความคิดแบบมุ่งเน้นส่วนรวม และกรอบความคิดในการทำงานในยุคดิจิทัล) ภายใต้มาตรฐานจริยธรรมตั้งแต่เริ่มปฏิบัติงานจนถึงตำแหน่งระดับสูง - ส่งเสริมผู้นำให้เป็นต้นแบบทางความคิดและพฤติกรรมในการทำงาน เพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม และสามารถถ่ายทอด โน้มน้าวให้บุคลากรในหน่วยงานปฏิบัติตาม - ส่งเสริม ประชาสัมพันธ์ และกระตุ้นให้บุคลากรภาครัฐยึดมั่นในค่านิยมการทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม รวมทั้งต้องปฏิบัติตามมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและหลักธรรมาภิบาล |
หมายเหตุ : แนวทางการดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่บุคลากรแรกบรรจุจนถึงตำแหน่งประเภทบริหาร ซึ่งการนำทักษะเชิงยุทธศาสตร์และทักษะด้านภาวะผู้นำมาใช้ หน่วยงานอาจปรับรายละเอียดให้เหมาะสมตามบริบทของหน่วยงานได้
2.2 ผลลัพธ์ที่คาดหวัง มุ่งหวังที่จะนำไปสู่การที่หน่วยงาน และบุคลากรภาครัฐได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชนในฐานะ “ภาครัฐของประชาชน เพื่อประชาชนและประโยชน์ส่วนรวม” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี มีขนาดเล็กและโปร่งใส และสร้างผลผลิตและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศและยกระดับชีวิตของประชาชน โดยบุคลากรภาครัฐในอนาคต เป็นผู้ที่ “มองภาพใหญ่และเข้าใจภารกิจขององค์กร” “เป็นนวัตกรที่เน้นสร้างผลสัมฤทธิ์” ยึดมั่นในมาตรฐานจริยธรรม” และ “ให้ความสำคัญกับการทำงานบูรณาการ” รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐมีระบบนิเวศในการทำงานที่เหมาะสม และสอดรับกับบริบท สามารถส่งเสริมให้บุคลากรภาครัฐเกิดการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
2.3 หน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินการ โดยแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ด้วยการร่วมมือกันของทุกฝ่าย เช่น ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ผู้บริหารส่วนราชการ และสำนักงาน ก.พ. ซึ่งแต่ละฝ่ายมีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน
2.4 การนำแนวทางการพัฒนาไปสู่การปฏิบัติ โดยมีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ ดังนี้
2.4.1 ตัวชี้วัดสำนักงาน ก.พ. สามารถวัดผลสำเร็จจากการดำเนินการในปี 2565 เช่น (1) ความสำเร็จของการพัฒนา นโยบาย/หลักเกณฑ์/ระบบ/เครื่องมือ/กลไก ที่เป็นต้นแบบในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ และ (2) ความสำเร็จในการส่งเสริมให้ส่วนราชการจัดทำแผนการพัฒนาบุคลากรที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2563 - 2565 และยุทธศาสตร์องค์กรของหน่วยงาน
2.4.2 ตัวชี้วัดส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ ตามบทบาทของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐที่กำหนดไว้ โดยสามารถวัดผลสำเร็จการดำเนินการระหว่างปี 2563 – 2565 เช่น (1) หน่วยงานมีแผนพัฒนาบุคลากรที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2563 - 2565 และยุทธศาสตร์ขององค์กร (2) ระดับความสำเร็จในการออกแบบกรอบการพัฒนาสมรรถนะเฉพาะที่ครอบคลุมบุคลากรทุกระดับของหน่วยงาน และ (3) ร้อยละของบุคลากรในหน่วยงานที่มีการจัดทำแผนและดำเนินการตามแผนพัฒนารายบุคคล ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการพัฒนาบุคลากรภาครัฐเป็นรายปี
2.5 แผนปฏิบัติการในการดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ ของสำนักงาน ก.พ. ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น (1) กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์มาตรฐาน แนวทาง และวิธีการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ และ (2) จัดทำ “คู่มือแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ พ.ศ. 2563 – 2565” และดำเนินการชี้แจงให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐรับรู้ เข้าใจ และนำแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐฯ ไปใช้
7. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนกรกฎาคม 2563 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. การจัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 อปท. ทุกแห่ง ได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบถ้วนและบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Report) ของกรมการปกครองแล้ว 435,735 คน (เป้าหมาย อปท. 7,550 แห่ง อาสาภัยพิบัติฯ 377,500 คน) และได้จัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ใน 62 จังหวัด 1,441 อปท. มีผู้ผ่านการอบรมแล้ว จำนวน 74,466 คน
2. การฝึกอบรม “จิตอาสาราชทัณฑ์ (จอส.รท)” ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ. จอส. พระราชทาน) ได้กำหนดให้มีโครงการ “จิตอาสาราชทัณฑ์ (จอส.รท)” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังที่มีจิตอาสาได้เข้าร่วมโครงการในการเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเรือนจำและสังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจแก่ตัวผู้ต้องขัง ซึ่งมีหลักสูตรระยะเวลาการฝึกอบรม จำนวน 3 วัน ชั่วโมงการศึกษา 15 ชั่วโมง หมวดวิชา จำนวน 7 วิชา ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 50 คน ต่อรุ่น ในการนี้ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดพิจารณาให้การสนับสนุนวิทยากรจิตอาสาตามหลักสูตร “จิตอาสาราชทัณฑ์ (จอส.รท.)” เมื่อได้รับการร้องขอจากเรือนจำหรือทัณฑสถาน
3. โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ศอญ. จอส. พระราชทาน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้จัดทำ “โครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า” เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายดำเนินโครงการในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 และ 2 ครอบคลุมป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน ป่าพรุและที่ดินของรัฐประเภทอื่น ๆ ไม่น้อยกว่า 2.68 ล้านไร่ ในพื้นที่ 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ในช่วงปี 2563-2570 แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน (เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563) จำนวน 10,000 ไร่ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2565) จำนวน 800,000 ไร่ และระยะที่ 3 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566-2570) จำนวน 1,880,000 ไร่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการดำเนินการ เช่น 1) การอบรมหลักสูตรจิตอาสาฟื้นฟูป่า รักษาต้นน้ำ และควบคุมไฟป่า ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ 2) การเปิดโครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกบัวตอง-น้ำพุเจ็ดสี อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่และ 3) การเปิดโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าในพื้นที่จังหวัด ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 พร้อมกันทั่วประเทศ
4. การจัดกิจกรรมจิตอาสา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ได้แก่ การจัดกิจกรรมจิตอาสา “ชีวิตใหม่ใต้ร่มพระบารมี...เราสร้างไปด้วยกัน” เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เช่น กิจกรรมทำความสะอาดศาสนสถาน กิจกรรมปลูกต้นไม้ กิจกรรมปล่อยปลาและดูแลรักษาแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ กิจกรรมกำจัดผักตบชวาและส่งเสริมการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ กิจกรรมรณรงค์รักษาความปลอดภัยทั้งทางบกและทางน้ำและกิจกรรมการบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศล
5. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 มีจิตอาสาลงทะเบียน รวม 6,661,047 คน [จำแนกตามพื้นที่ (ภูมิลำเนา) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จำนวน 455,188 คน ส่วนภูมิภาค จำนวน 6,205,859 คน และจำแนกตามเพศ ได้แก่ เพศชาย จำนวน 2,963,823 คน เพศหญิง จำนวน 3,697,224 คน] และมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา จำนวน 49,844 ครั้ง กิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติฯ จำนวน 627 ครั้ง
8. เรื่อง ประกาศคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เสนอ
ทั้งนี้ สตง. เสนอว่า โดยที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 มาตรา 27 บัญญัติให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่และอำนาจวางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน และมาตรา 28 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินจัดทำแล้ว ให้แจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้จัดทำประกาศคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวเสร็จแล้ว จึงได้เสนอประกาศคณะกรรมการฯ มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของเรื่อง
สตง. เสนอว่า
1. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้วางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยคำนึงถึงการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อส่งเสริมให้หน่วยรับตรวจปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 และแผนการปฏิรูปประเทศ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ ตลอดจนการพัฒนาสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ให้เป็นองค์กรภาครัฐที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสมัยใหม่
2. นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้จัดทำเป็นประกาศคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เรื่อง นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563 เพื่อให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการตรวจสอบและแผนการปฏิบัติราชการ อันจะส่งผลให้การตรวจเงินแผ่นดิน และการใช้จ่ายเงินของหน่วยรับตรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 ทิศทางและเป้าหมายในการตรวจเงินแผ่นดิน
2.1.1 การตรวจเงินแผ่นดินจะต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลมาตรฐานทางจริยธรรม และหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(2) การใช้จ่ายเงินตามแผนงานหรือโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
(3) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการขนาดใหญ่ (Public Private Partnership : PPP)
(4) การจัดหารายได้ การใช้จ่าย และการบริหารการเงินการคลังของหน่วยรับตรวจที่เป็นเงินนอกงบประมาณ รวมถึงเงินสะสมหรือเงินอื่นใดที่มีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้
2.1.2 การตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของหน่วยรับตรวจ รวมถึงการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ
2.1.3 การให้คำปรึกษา แนะนำ หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารการเงินการคลังและงบประมาณแผ่นดินแก่หน่วยรับตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.1.4 การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้การตรวจเงินแผ่นดินและการบริหารจัดการองค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.1.5 การให้ความรู้ คำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินแก่ภาคประชาชน และการเข้าถึงรายงานผลการปฏิบัติงานของ สตง.
2.2 ผลสัมฤทธิ์ในการตรวจเงินแผ่นดิน
2.2.1 การจัดหารายได้ การใช้จ่ายเงิน การบริหารการเงิน การคลัง และการก่อหนี้ของหน่วยรับตรวจเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ เกิดผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ เพื่อให้การปฏิบัติงานของหน่วยรับตรวจมีข้อบกพร่อง หรือผิดพลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
2.2.2 หน่วยรับตรวจมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ
2.2.3 สตง. มีการบริหารจัดการองค์กรที่ดี และมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพ
2.2.4 ภาคประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีจิตสำนึกในการสอดส่องดูแลรักษาเงินแผ่นดินและทรัพย์สินของรัฐ และสามารถเข้าถึงรายงานผลการปฏิบัติงานของ สตง. ได้โดยสะดวก
2.3 การดำเนินการเพื่อพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน
2.3.1 ด้านการตรวจเงินแผ่นดิน
(1) ส่งเสริมการพัฒนาคู่มือและแนวทางการตรวจสอบให้สอดคล้องกับการตรวจสอบแต่ละด้าน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561
(2) ส่งเสริมการประเมินผลและติดตามผลการควบคุมคุณภาพและระบบประกันคุณภาพของงานตรวจสอบของ สตง. เพื่อควบคุมคุณภาพ และติดตามผลการควบคุมคุณภาพงานตรวจสอบให้เป็นไปตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน
(3) พัฒนาแนวทางปฏิบัติในการให้ความเห็นชอบผู้สอบบัญชีเอกชน และพิจารณาการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีเอกชนต่อรายงานการเงินประจำปีของหน่วยรับตรวจ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินและมาตรฐานทางวิชาชีพบัญชี
(4) สนับสนุนการวางระบบและรวบรวมการให้คำปรึกษา แนะนำ เสนอแนะ และตอบข้อสอบถามแก่หน่วยรับตรวจในการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินและกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
(5) พัฒนาระบบการจัดการฐานข้อมูลการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ และการประเมินผลการปฏิบัติงานสำหรับใช้ในการวางแผนการตรวจสอบ
(6) ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการบูรณาการข้อมูลภาครัฐระหว่างองค์กรอิสระและหน่วยงานภาครัฐ ให้สามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการตรวจเงินแผ่นดินร่วมกัน
(7) ส่งเสริมการให้ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐแก่หน่วยรับตรวจ รวมทั้งจัดให้มีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยรับตรวจ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
2.3.2 ด้านวินัยการเงินการคลังของรัฐ
(1) สนับสนุนการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการและการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e- Learning) เพื่อเสริมสร้างทักษะประสบการณ์และเทคนิคขั้นสูงที่จำเป็นต่อการตรวจเงินแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอบรมเพื่อพัฒนากลยุทธ์และเทคนิคการตรวจสอบโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารกับหน่วยรับตรวจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ
(2) ส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรของ สตง. และการพัฒนาวิชาชีพด้านการตรวจเงินแผ่นดินอย่างเป็นระบบ เพื่อให้บุคลากรของ สตง. มีความรู้ด้านกฎหมายและศาสตร์อื่นที่เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน และการบริหารการเงินการคลังภาครัฐ รวมทั้งให้ความสำคัญกับเส้นทางความก้าวหน้าทางวิชาชีพ การใช้สมรรถนะในการแต่งตั้ง โยกย้ายบุคลากรและการวิเคราะห์และประเมินผลโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายใน สตง. ให้มีความเหมาะสม
(3) สนับสนุนการรักษาไว้ซึ่งคุณธรรมและจริยธรรมของบุคลากร สตง. ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต รอบคอบ โปร่งใส เที่ยงธรรม กล้าหาญ ปราศจากอคติ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล และปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามข้อกำหนดทางจริยธรรมที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกำหนด
(4) เสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดินกับหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการวิจัยเพื่อการส่งเสริมการรักษาวินัยการเงินการคลังของหน่วยรับตรวจ
(5) ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการและประสบการณ์กับประเทศสมาชิกองค์การ : สถาบันการตรวจสอบสูงสุดแห่งอาเซียน (ASEANSAI) องค์การสถาบันการตรวจสอบสูงสุดแห่งเอเชีย (ASOSAI) และองค์การสถาบันการตรวจสอบสูงสุดระหว่างประเทศ (NTOSAI) เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการตรวจเงินแผ่นดินให้ทันต่อการตรวจสอบในยุคดิจิทัล
(6) ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการบริหารงานตรวจสอบ และการบริหารจัดการองค์กร รวมถึงให้ความสำคัญกับการจัดทำธรรมาภิบาลข้อมูลและระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบและข้อมูลภายในองค์กร
2.3.3 ด้านการเสริมสร้างการมีส่วนร่วม
(1) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษาเงินแผ่นดินและทรัพย์สินของรัฐ รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายงานผลการปฏิบัติงานของ สตง. ได้
(2) ประชาสัมพันธ์ข่าวสารการตรวจเงินแผ่นดินอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
(3) ส่งเสริมการจัดทำแผนกลยุทธ์ด้านทรัพยากรบุคคล โดยมุ่งเน้นการรักษาระบบพิทักษ์คุณธรรมในการบริหารงานบุคคล พัฒนาหลักเกณฑ์และรักษาแนวปฏิบัติที่ดีในการสรรหา แต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง การประเมินผลการปฏิบัติงาน รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับภารกิจและบุคลากรเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน
(4) ส่งเสริมให้มีการศึกษารูปแบบแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนหรือสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมกับภารกิจความรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงค่าครองชีพ และความเพียงพอในการดำรงชีพ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการและลูกจ้าง สตง.
(5) ปลุกจิตสำนึกและยกระดับคุณธรรมและจริยธรรมของบุคลากร สตง. ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต รอบคอบ โปร่งใส เที่ยงธรรม กล้าหาญ ปราศจากอคติ คำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล และปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตามข้อกำหนดทางจริยธรรมที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกำหนด
2.3.4 ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
(1) พัฒนาระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) ที่ใช้ในการตรวจสอบของ สตง. ให้ทันสมัย และมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดี รวมทั้งพัฒนารูปแบบการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ อย่างมีประสิทธิภาพ มีการจัดทำธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562
(2) พัฒนาระบบสำนักงานอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำระบบดิจิทัลมาประยุกต์ใช้สนับสนุนงานภายในองค์กร เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานให้กับบุคลากรและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการดำเนินงานภายในองค์กรให้เป็นไปอย่างมีระบบ
2.3.5 ด้านการประชาสัมพันธ์การตรวจเงินแผ่นดิน
(1) มุ่งเน้นการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ข่าวสารในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตรวจเงินแผ่นดินทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสียผ่านทางสื่อออนไลน์ เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที
(2) ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสื่อในการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้โดยสะดวก และเกิดการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาเงินแผ่นดินและทรัพย์สินของรัฐ
(3) สร้างความร่วมมือกับสื่อดิจิทัล เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนเข้าใจบทบาทของ สตง. ในการเป็นองค์กรตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานรัฐ
2.3.6 ด้านการประสานงานและความร่วมมือกับต่างประเทศ
(1) สนับสนุนการทำหน้าที่คณะมนตรีองค์การสถาบันการตรวจสอบสูงสุดระหว่างประเทศ (INTOSAI Governing Board) วาระปี พ.ศ. 2562 – 2568 และเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมัชชาสมาชิก ASOSAI ในปี พ.ศ. 2564 ในฐานะประธานองค์การสถาบันการตรวจสอบสูงสุด แห่งเอเชีย (Chairman of ASOSAI) วาระปี พ.ศ. 2564 - 2567
(2) สร้างความร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการและประสบการณ์ด้านการตรวจเงินแผ่นดินกับประเทศสมาชิกในองค์การสถาบันตรวจสอบสูงสุดระหว่างประเทศ (INTOSAI) ในการพัฒนาผู้ตรวจสอบให้มีความเชี่ยวชาญในการตรวจเงินแผ่นดิน
(3) ส่งเสริมและสนับสนุนให้ สตง. เข้าไปมีบทบาทและมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาองค์การสถาบันการตรวจสอบสูงสุดระหว่างประเทศ (INTOSAI) องค์การสถาบัน การตรวจสอบสูงสุดภูมิภาคเอเชีย (ASOSOI) และองค์การสถาบันการตรวจสอบสูงสุดภูมิภาคอาเซียน (ASEANSAI)
9. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับงบประมาณเงินอุดหนุนวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับงบประมาณเงินอุดหนุนวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะฯ ดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานว่า
1. เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีการตรวจสอบพบการทุจริตงบประมาณเงินอุดหนุนของ พศ. ซึ่งประกอบด้วยงบประมาณประเภทเงินอุดหนุน 3 ประเภท ได้แก่ 1) งบประมาณเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด 2) งบประมาณเงินอุดหนุนการส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ 3) งบประมาณเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมโดยเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งจากการศึกษาพฤติการณ์/รูปแบบการทุจริต รวมทั้งข้อกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณเงินอุดหนุนวัดของ พศ. พบว่า กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องสามารถเปิดช่องและเอื้อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ และเจ้าอาวาสในฐานะผู้แทนของวัด ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ไม่มีความรู้เพียงพอในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของแผ่นดิน ทำให้บุคคลบางกลุ่มใช้วัดเป็นเครื่องมือในการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ทำให้เกิดปัญหาและความเสี่ยงในการทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำคำขอและจัดสรรงบประมาณการเบิกจ่ายงบประมาณ และการติดตามและประเมินผล รวมทั้งการเปิดเผยข้อมูลเพื่อสร้างความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการติดตามตรวจสอบ
2. คุณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับการทุจริตงบประมาณเงินอุดหนุนวัดของ พศ. จึงมีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับงบประมาณเงินอุดหนุนวัดของ พศ. รวม 5 ด้าน ดังนี้
ด้าน |
ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. |
1) ด้านการจัดทำระบบฐานข้อมูล |
รัฐบาลควรกำหนดให้การบูรณาการและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดทำฐานข้อมูลของวัดเป็นวาระแห่งชาติ โดย พศ. ต้องมีระบบฐานข้อมูลกลางข้อมูลการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณ การบริหารงบประมาณและการติดตามและประเมินผล โดยนำข้อมูลเดิมมาจัดทำเป็นข้อมูลรูปแบบดิจิทัลในฐานข้อมูลกลาง รวมทั้งควรจัดทำระบบสารสนเทศรองรับการใช้งานข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางในรูปแบบ Web-Base Technology หรือ Mobile Application ที่ผู้ใช้งานสามารถปฏิบัติงานและเรียกดูข้อมูลบน Web Browser หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ มีการรายงานข้อมูลแบบ Real-Time และเปิดเผย ข้อมูลให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ |
2) ด้านกระบวนการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณ |
2.1) ให้ พศ. ดำเนินการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณ ด้านการก่อสร้างการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด เป็นงบประมาณประเภทเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ 2.2) กรณีงบประมาณงบเงินอุดหนุนประเภทอื่น เช่น เงินอุดหนุนการส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนา เงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม และเงินอุดหนุนอื่น ๆ ให้ พศ. จัดทำหลักเกณฑ์การขอรับและการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีส่วนร่วมและเป็นธรรม สามารถวัดผลได้ในเชิงปริมาณ โดยจัดทำเป็นระเบียบหรือประกาศที่เป็นทางการ พร้อมประกาศให้สาธารณชนรับทราบ 2.3) ให้ พศ. ปรับปรุงคณะกรรมการ/คณะทำงานพิจารณาคำขอและการจัดสรรงบประมาณงบเงินอุดหนุนทั้งในระดับส่วนกลางและภูมิภาค โดยเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการ/คณะทำงานจากภายนอก เช่น ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนผู้ตรวจราชการภาคประชาชน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีงบประมาณเงินอุดหนุนให้กับวัด เช่น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) และ นักวิชาการด้านการบริหารจัดการ และด้านการศาสนา ตามความเหมาะสมโดยมีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาคำขอและการจัดสรรงบประมาณงบเงินอุดหนุน การจัดทำแผนบูรณาการด้านงบประมาณเงินอุดหนุนวัด จัดทำฐานข้อมูลต่าง ๆ ของวัดที่สำคัญ เช่น ข้อมูลพื้นฐานและความจำเป็นของวัด ข้อมูลการอุดหนุนงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ข้อมูลฐานะการเงินและรายรับ-รายจ่ายของวัด ข้อมูลศาสนสถาน ข้อมูลโรงเรียนพระปริยัติธรรม ข้อมูลจำนวนพระภิกษุ-สามเณร และการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผล การเบิกจ่ายงบประมาณงบเงินอุดหนุน รวมทั้งการประเมินศรัทธาของประชาชนที่มีต่อวัดด้วย 2.4) การจัดทำคำขอและการพิจารณางบประมาณงบเงินอุดหนุนของ พศ. ควรให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและฐานข้อมูลจริง รวมทั้งให้พิจารณาจากข้อมูลฐานะการเงินและรายรับ-รายจ่ายของวัด ประกอบด้วย และให้มีการประมาณรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการที่จะขอรับงบประมาณให้ชัดเจน |
3) ด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ |
3.1) ให้ พศ. ประสานงานและสนับสนุนให้วัดหรือผู้ได้รับงบประมาณงบเงินอุดหนุน ต้องจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจน และในการใช้จ่ายงบเงินอุดหนุนของวัดไม่ควรเบิกจ่ายล่วงหน้าก่อนมีแผนการใช้จ่ายเงิน และให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของกระทรวงการคลัง (กค.) เรื่อง การเบิกจ่ายงบประมาณงบเงินอุดหนุนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการจัดเก็บเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ทั้งนี้ ให้มีการรายงานผลการเบิกจ่ายและใช้งบประมาณงบเงินอุดหนุนตามแนวทางที่ พศ. กำหนด และให้ พศ. ดำเนินตามหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับบัญชีรายรับ-รายจ่ายของวัด ตามกฎกระทรวงและมติมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 3.2) ให้ พศ. ร่วมกับกรมบัญชีกลางจัดทำคู่มือ/แนวทางปฏิบัติในการใช้และการเบิกจ่ายงบประมาณให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมมีการให้คำแนะนำ/ความรู้แก่วัดและผู้ได้งบประมาณงบเงินอุดหนุนจาก พศ. |
4) ด้านการติดตามและประเมินผล |
พศ. ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบ ติดตาม และการประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณงบเงินอุดหนุน เพื่อให้เป็นไปตามแผนงาน/โครงการ วัตถุประสงค์และงบประมาณที่ได้รับ ทั้งนี้ อาจมีการบูรณาการกับหน่วยงานด้านการตรวจสอบและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้แทนผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณงบเงินอุดหนุน พร้อมการเปิดเผยรายงานผลการติดตามและประเมินผลของโครงการต่อสาธารณะ |
5) ด้านการแจ้งเบาะแส |
5.1) ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต พศ. ควรเป็นหน่วยงานส่งเสริมสนับสนุน และให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการ ตลอดจนสิทธิที่ได้รับในการแจ้งเบาะแสการทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันฯ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และกฎ ก.พ.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการให้บำเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษและการให้ความคุ้มครองพยาน พ.ศ. 2553 5.2) กำหนดให้มีช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์จากพระภิกษุและประชาชน และควรกำหนดกระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ให้ชัดเจน และมีความรวดเร็ว
|
10. เรื่อง รายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ครั้งที่ 1/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (คณะกรรมการ ป.ย.ป) ครั้งที่ 1/2563 ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง และประสานกับสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของรื่อง
คณะกรรมการ ป.ย.ป. ได้มีการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้มีมติพิจารณาแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ สรุปได้ดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ย.ป. โดยควรมุ่งเน้นเฉพาะประเด็นยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นปฏิรูปประเทศจากคณะกรรมการ ป.ย.ป. รวมทั้งประเด็นกิจกรรมที่จะส่งผลต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และประเด็นปฏิรูปจากคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ โดยมีกลุ่มขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (กลุ่ม ป.ย.ป.) กระทรวง ทำหน้าที่ติดตามรายงานความคืบหน้าและปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินการขับเคลื่อนต่อสำนักงาน ป.ย.ป. เพื่อจัดทำรายงานและเสนอแนวทางการดำเนินการแก้ไขต่อคณะกรรมการ ป.ย.ป. ต่อไป และเห็นชอบให้สำนักงาน ป.ย.ป. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ร่วมกันกำหนดตัวชี้วัด (KPI) การปฏิรูปประเทศตามประเด็นการขับเคลื่อนของส่วนราชการ โดยพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเด็นเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับบทบาทและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการนั้น ตลอดจนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) กำหนดแนวทางในการนำผลสัมฤทธิ์ของการขับเคลื่อนมาประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหัวหน้าส่วนราชการ
2. เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกคณะกรรมการ 5 คณะ ได้แก่ (1) คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (2) คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (3) คณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (4) คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติและ (5) คณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง และให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนิการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน เพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในส่วนที่ต้องมีการปรับปรุง แก้ไข หรือการตรากฎหมายเป็นไปด้วยความต่อเนื่องและมีประสิทธิภพ โดยนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเกี่ยวกับเรื่องการใช้ระบบ Big Data ที่มีระดับชั้นความลับของข้อมูล ให้ข้อมูลพื้นฐานของทุกกระทรวงสามารถเผยแพร่และนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ก้าวล่วงความเป็นสิทธิส่วนบุคคลหรือละเมิดอำนาจของแต่ละหน่วยงาน แต่สามารถขอใช้ประโยชน์ได้เป็นครั้งคราว
3. เห็นชอบในหลักการในการปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ดังนี้
3.1 การขับเคลื่อนผ่านกลุ่ม ป.ย.ป. กระทรวง เช่น (1) กำหนดให้ผลการดำเนินการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศเป็นตัวชี้วัดระดับกระทรวงอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีเจ้าสังกัด และให้นำผลการดำเนินการตามตัวชี้วัดมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป และ (2) ดำเนินการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ ในกรณีที่เกิดปัญหาการดำเนินการที่ต้องมีการ บูรณาการระหว่างหลายหน่วยงาน หรือการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนเชื่อมโยงหลายหน่วยงาน โดยการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาแนวทางแก้ไขปัญหานำเสนอคณะกรรมการ ป.ย.ป. และคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเร่งรัด ผลักดัน และขับเคลื่อนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศทุกด้านให้มีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม รวมทั้งให้ ป.ย.ป. กระทรวงเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการปฏิรูปของแต่ละกระทรวงตามความคล่องตัว โครงสร้างและประสิทธิภาพของหน่วยงาน โดยเน้นการประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เพิ่มภาระในการทำงานแก่หน่วยงานต่าง ๆ มากจนเกินไป
3.2 หลักสูตรการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (หลักสูตร ป.ย.ป.) โดยปรับปรุงรูปแบบการจัดอบรมหลักสูตร ป.ย.ป. จากมุ่งเน้นการเสริมสร้างสมรรถนะของผู้เข้าร่วมอบรมเป็นมุ่งเน้นการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งนายกรัฐมตรีเน้นหลักสูตรต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ฝึกอบรมให้เหมาะสมกับการเป็นข้าราชการในศตวรรษที่ 21
3.3 เห็นชอบประเด็นขับเคลื่อนสำคัญของคณะกรรมการ ป.ย.ป. 3 ประเด็น ได้แก่ (1) การขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย (2) การขับเคลื่อนและสร้างการรับรู้ผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ (3) การขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา
3.4 รับทราบผลงานสำคัญของสำนักงาน ป.ย.ป. เช่น เรื่องการปรับปรุงพัฒนากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ (Regulatory Guillotine) โดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ ได้แก่ (1) เรื่องการปฏิรูประบบร้องเรียนร้องทุกข์ของประเทศ การบูรณาการข้อมูลสารสนเทศ เพื่อวิเคราะห์ประมวลผลเรื่องร้องเรียนหรือร้องทุกข์จากประชาชนให้สำนักงาน ป.ย.ป. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการบูรณาการข้อมูลให้มีความครอบคลุม ครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป (2) เรื่องการป้องกันและบรรเทาปัญหาฝุ่นควัน ให้สำนักงาน ป.ย.ป. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาศึกษาวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดฝุ่นควันในช่วงต่าง ๆ ของแต่ละพื้นที่ และให้สำนักงาน ป.ย.ป. ขับเคลื่อนให้มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อจำแนกแหล่งกำเนิดของฝุ่นควัน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นควันของประเทศอย่างยั่งยืนและ (3) โครงการนำร่องการบูรณาการการสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำให้ผู้พิการ
ให้สำนักงาน ป.ย.ป. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุง/พัฒนาระบบ Big Data ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อให้มีฐานข้อมูลผู้พิการที่ครบถ้วนสมบูรณ์
11. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุม ครั้งที่ 25/2563 และครั้งที่ 26/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ในคราวประชุม ครั้งที่ 25/2563 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 และครั้งที่ 26/2563 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันสู่ Oleochemical แบบครบวงจรภายหลังผลกระทบ COVID - 19 ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยปรับลดกรอบวงเงินโครงการฯ จาก 22,500,000 บาท เป็น 22,064,600 บาท และให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พร้อมทั้งมอบหมายให้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
2. อนุมัติโครงการพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของบุคลากรท่องเที่ยวไทย เพื่อรองรับการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal) ของกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) โดยปรับลดกรอบวงเงินโครงการฯ จาก 72,000,000 บาท เป็น 66,681,600 บาท และให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมการท่องเที่ยว เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
3. อนุมัติโครงการพัฒนาเนินทรายงาม (Sand Dune) ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ตามเส้นทางท่องเที่ยว Scenic Route ของกรมการท่องเที่ยว กก. โดยปรับลดกรอบวงเงินโครงการฯ จาก 21,227,000 บาท เป็น 19,126,300 บาท และให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมการท่องเที่ยวเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
4. อนุมัติโครงการต้นแบบเพื่อยกระดับการให้บริการของสถานประกอบการสู่มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) ตามวิถีการท่องเที่ยวแนวใหม่ (New Normal Tourism Services) เพื่อมุ่งสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง ของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยว (สป.กก.) กก. กรอบวงเงิน 4,059,800 บาท โดยใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พร้อมทั้งมอบหมายให้ สป.กก. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
5. มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ 1.1 – 1.4 รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกง. ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการฯ ตามขั้นตอน (ถ้ามี)
6. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 ของมหาวิทยาลัยมหิดล และผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ของจังหวัดตรัง จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดกระบี่ พร้อมทั้งให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการดังกล่าวใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คกง. รายงานว่า ที่ประชุม คกง. ในคราวประชุมครั้งที่ 25/2563 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 และครั้งที่ 26/2563 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ได้เห็นชอบโครงการ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ จำนวน 4 โครงการ โดยมีสาระสำคัญของโครงการสรุปได้ ดังนี้
1. โครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันสู่ Oleochemical1 แบบครบวงจรภายหลังผลกระทบ Covid - 19 ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี อว.
รายการ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
· เพื่อเตรียมความพร้อมและสนับสนุนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเข้าสู่ระบบมาตรฐานที่สนับสนุนให้มีการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน ตั้งแต่เกษตรผู้ผลิตทะลายปาล์ม โรงสกัดน้ำมันปาล์ม และโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม (Roundtable on Sustainable Plam Oil - RSPO) |
กิจกรรม |
· เตรียมความพร้อมโดยให้ความรู้ จัดอบรม และเป็นพี่เลี้ยงเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม และโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันในพื้นที่เป้าหมายให้สามารถเข้าสู่มาตรฐาน RSPO · จัดทำห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ รองรับการจัดทำมาตรฐาน RSPO และให้บริการวิเคราะห์คุณภาพปาล์มน้ำมันและ งานวิชาการให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการปาล์มน้ำมัน · พัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ Oleochemical ที่มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ โดยประกอบเครื่องต้นแบบสกัดวิตามินเอ และอุปกรณ์กลั่นแยกกรดไขมันที่มีมูลค่าสูง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร ยา และเครื่องสำอาง · พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ Oleochemical ที่มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ อย่างน้อย 5 ผลิตภัณฑ์ · อบรมให้ความรู้กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร กระบี่ ระนอง และนครศรีธรรมราช ไม่น้อยกว่า 200 ราย |
งบประมาณ |
22,064,600 บาท |
กรอบระยะเวลา |
1 ปี (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) |
______________________
1Oleochemical หมายถึง การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพจากน้ำมันพืชหรือไขมันสัตว์
2. โครงการพัฒนายกระดับมาตรฐานการให้บริการของบุคลากรท่องเที่ยวไทย เพื่อรองรับการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal) ของกรมการท่องเที่ยว กก.
รายการ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
· เพื่อยกระดับคุณภาพและพัฒนาการให้บริการของผู้ประกอบการธุรกิจและบุคลากรที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวรองรับการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal) · เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย |
กิจกรรม |
· คัดเลือกจังหวัดที่เป็นพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการฯ · จัดอบรมและมอบหมายผู้รับผิดชอบดำเนินงาน โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 7 กลุ่ม หลักสูตรการอบรม 18 ชั่วโมง (3 วัน) ครั้งละ 250 คน จำนวน 48 ครั้ง รวม 12,000 คน |
งบประมาณ |
66,681,600 บาท |
กรอบระยะเวลา |
1 ปี (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) |
3. โครงการพัฒนาเนินทรายงาม (Sand Dune) ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ตามเส้นทางท่องเที่ยว Scenic Route ของกรมการท่องเที่ยว กก.
รายการ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
· เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเนินทรายงาม (Sand Dune) อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศต้นแบบ เพื่อรองรับการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal) ตามเส้นทางท่องเที่ยว Scenic Route · เพื่อส่งเสริมและสร้างศักยภาพการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก (Thailand Riviera) |
กิจกรรม |
· จ้างที่ปรึกษาสำรวจและรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดทำแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเนินทรายงามและพื้นที่เชื่อมโยง · ก่อสร้างและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นขั้นพื้นฐานในแหล่งท่องเที่ยวเนินทรายงาม · จัดอบรมบุคลากรทุกภาคส่วน จำนวน 8 ครั้ง โดยมีผู้เข้ารับการอบรม จำนวนครั้งละไม่น้อยกว่า 50 คน · จัดกิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและเส้นทางท่องเที่ยว |
งบประมาณ |
19,126,300 บาท |
กรอบระยะเวลา |
1 ปี (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) |
4. โครงการต้นแบบเพื่อยกระดับการให้บริการของสถานประกอบการสู่มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) ตามวิถีการท่องเที่ยวแนวใหม่ (New Normal Tourism Services) เพื่อมุ่งสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง ของ สป.กก. กก.
รายการ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
· เพื่อเตรียมความพร้อมให้ความรู้และยกระดับการให้บริการแก่ผู้ประกอบการให้สามารถปรับปรุงสถานประกอบการให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) |
กิจกรรม |
· ประสานและคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย 10 ประเภทกิจกรรมในแต่ละจังหวัด · จัดอบรมผู้ประกอบการ 10 ประเภทกิจกรรม เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้ประกอบการให้สามารถปรับปรุงสถานประกอบการให้ได้มาตรฐาน SHA ในพื้นที่ 4 จังหวัด (จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง) ระยะเวลา 2 วัน |
งบประมาณ |
4,059,800 บาท |
กรอบระยะเวลา |
1 ปี (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) |
5. แผนงานที่ 3.22 ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ ของมหาวิทยาลัยมหิดล จังหวัดตรัง จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดกระบี่
คณะรัฐมนตรีมีมติ (4 สิงหาคม 2563) อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนของจังหวัดรวมทั้งสิ้น 157 โครงการ กรอบวงเงิน 884,625,068 บาท และมีมติ (25 สิงหาคม 2563) อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนของจังหวัดรวมทั้งสิ้น 53 โครงการ กรอบวงเงิน 142,386,554 บาท โดยให้จังหวัดใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนต่อไป เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว โดยมหาวิทยาลัยมหิดล จังหวัดตรัง จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดกระบี่ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น ดังนี้
โครงการ |
หน่วยดำเนินงาน |
ระยเวลาดำเนินงาน |
วงเงิน (บาท) |
(1) โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตร เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ |
มหาวิทยาลัยมหิดล |
สิงหาคม 63 – สิงหาคม 64 |
1,200,000 |
(2) โครงการส่งเสริมการเกษตรตำบลนาข้าวเสีย อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง เพื่อการท่องเที่ยว |
สำนักงานเกษตรจังหวัดตรัง |
ตุลาคม 63 – กรกฎาคม 64 |
3,750,000 |
(3) โครงการทอผ้าภูมิปัญญาปราจีนบุรี |
สำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดปราจีนบุรี |
ตุลาคม 63 – กันยายน 64 |
620,300 |
(4) โครงการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวคุณภาพ จังหวัดกระบี่ (Krabi We Care) |
สำนักงาน การท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดกระบี่ |
ตุลาคม 63 – มีนาคม 64 |
1,300,000 |
รวมกรอบวงเงิน |
6,870,300 |
______________________
2แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน ผ่านการดำเนินโครงการหรือกิจกรรม เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยการส่งเสริมตลาดสำหรับผลผลิต และผลิตภัณฑ์ของธุรกิจชุมชน ที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวหรือภาคบริการอื่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน การจัดหาปัจจัยการผลิตและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งการสร้างการเข้าถึงช่องทางการตลาด พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานสุขภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน
12. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 13/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 13/2563 เมื่อวันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ดังนี้
สรุปสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะ
1. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์ฯ ดังนี้
1) สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2563 มีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 41,018,201 ราย โดยประเทศที่พบผู้ติดเชื้อมาก 3 ลำดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย และบราซิล
2) สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทย ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2563 พบผู้ป่วยรายใหม่ 9 ราย ปัจจุบันมีผู้ป่วยยืนยันสะสม จำนวน 3,709 ราย เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,259 ราย (ร้อยละ 33.94) หายป่วยแล้ว 3,495 ราย (ร้อยละ 94.23) เสียชีวิต 59 ราย (ร้อยละ 1.59) และกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล 155 ราย (ร้อยละ 4.18)
2. ความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนโรคโควิด - 19 ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด - 19 ทั่วโลกและแนวทางการดำเนินการเพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโควิด - 19
โดยได้มีการทำความร่วมมือด้านการวิจัยกับต่างประเทศ จัดสรรงบประมาณจำนวน 600 ล้านบาท
เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิต โดยสนับสนุน บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด - 19 รวมถึงการลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด - 19 ชนิด Adenoviral vector (AZD1222) ซึ่งพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563
3. การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตามแนวชายแดน ที่ประชุมรับทราบรายงานฯ ดังนี้
1) การสกัดกั้นและจับกุมบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
2) การตรวจกิจกรรมและสถานประกอบการที่ได้รับการผ่อนคลาย
3) การกำหนดมาตรการตรวจสอบแรงงานต่างด้าวเมียนมาในสถานประกอบการในลักษณะบูรณาการ โดยกรุงเทพมหานครและจังหวัด 70 จังหวัด ได้ดำเนินการตรวจสอบสถานประกอบการทั้งหมดที่มี
การจ้างแรงงานชาวเมียนมา มีจำนวนทั้งสิ้น 106,208 แห่ง ดำเนินการออกตรวจแล้วจำนวน 963 แห่ง (ข้อมูลสะสมจำนวน 1,882 แห่ง) ดำเนินการตรวจคัดกรองโรคโควิด - 19 แรงงานชาวเมียนมาแล้ว จำนวน 9,231 คน (ข้อมูลสะสมจำนวน 12,068 คน) ดำเนินการสุ่มตรวจโรคโควิด -19 ของแรงงานชาวเมียนมาแล้ว จำนวน 1,496 คน ทั้งนี้ ไม่พบผู้ติดเชื้อ
4) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19)
ตามแนวชายแดน ซึ่งได้มีมาตรการสำหรับจังหวัดชายแดนที่มีช่องทางขนส่งสินค้า 27 จังหวัด และรับทราบประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก ฉบับที่ 31/2563 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2563 เรื่อง มาตรการป้องกัน ควบคุมโรคโควิด - 19 โดยได้มีคำสั่งระงับการนำเข้า - ส่งออกสินค้าใน 2 จังหวัด คือ จังหวัดตากและกาญจนบุรี เนื่องจากพบการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19
4. รายงานความคืบหน้าการดำเนินมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมาย ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าฯ ดังนี้
1) การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของคณะมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
การต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและคณะ
2) การอนุญาตให้ลูกเรือสัญชาติบริติชและสัญชาติเช็กเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทางน้ำ
3) การกำหนดประเทศและเมืองต้นทางที่ได้รับการผ่อนผันให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยการขอรับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV)
4) การอนุญาตให้สายการบินทำการบินแบบมีผู้โดยสารเปลี่ยนลำ (Transfer Passenger)
5) การอนุญาตให้เรือยอร์ชเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
6) การอนุญาตให้ลูกเรือต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขึ้นเรือออกจากราชอาณาจักร (sign on)
7) การผ่อนผันให้กลุ่มบุคคลเข้าประเทศไทยโดยเข้าสู่การกักกันตัวแบบ Wellness Quarantine
ข้อสังเกตที่ประชุม
เห็นควรให้ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการบริหารจัดการขั้นตอน กระบวนการสำหรับการอนุมัติ อนุญาตในการเดินทางเข้ามา
ในราชอาณาจักรของนักธุรกิจต่างชาติ ให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณาจัดกลุ่มนักธุรกิจและพิจารณามาตรการในการคัดกรอง กักตัวให้ชัดเจนและเหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก
ในด้านการค้าการลงทุนและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย
5. ที่ประชุมเห็นควรให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 7) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563
6. การขอเพิ่มจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมกีฬา ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการเพิ่มจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมในสนามกีฬา โดยกำหนดสัดส่วนจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมกีฬา ดังนี้
ประเภทสนามกีฬา |
ลักษณะการเชียร์ |
คำสั่ง ศบค. ฉบับที่ 8 |
ข้อเสนอจำนวนผู้ชม |
สนามกีฬากลางแจ้ง |
การเชียร์เสียงดัง |
ร้อยละ 25 (4,000 คน) |
ร้อยละ 50 |
การเชียร์เสียงไม่ดัง |
ร้อยละ 50 (6,000 คน) |
ร้อยละ 70 |
|
สนามกีฬาในร่ม |
การเชียร์เสียงดัง |
ร้อยละ 15 (1,000 คน) |
ร้อยละ 30 |
การเชียร์เสียงไม่ดัง |
ร้อยละ 25 (2,000 คน) |
ร้อยละ 50 |
7. การใช้ Smart Band สำหรับนักท่องเที่ยวเพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของ
โรคโควิด - 19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรายงานความคืบหน้า โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้จัดเตรียม Smartband ในรูปแบบ Wristband ร่วมกับ Startup ของไทย ซึ่งสามารถใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 โดยมีคุณลักษณะการใช้งานเป็นอุปกรณ์สำหรับการใช้ติดตามตัวนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทย โดยอุปกรณ์นี้สามารถทำให้ทราบสถานที่อยู่ของผู้สวมใส่ (Tracking) ได้ตลอดเวลา มีระบบการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และอื่น ๆ หากนักท่องเที่ยวมีอุณหภูมิเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ระบบจะแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลและทีมแพทย์เพื่อเข้าดูแลเบื้องต้น ทำการตรวจเชื้อและเฝ้าดูอาการต่อไป และสามารถนำไปใช้ขอรับบริการภายในโรงแรมหรือขอความช่วยเหลือได้ เช่น การขอความช่วยเหลือกรณีหลงทาง เป็นต้น
ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
1. ให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 ในทุกมิติ ผ่านโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โฆษก ศบค. หรือสื่อโซเชียลมีเดีย รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาการพัฒนาการสร้างการรับรู้ในลักษณะ ศบค. Digital ต่อไป
2. ให้กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างแหล่งข่าวประชาชนตามแนวชายแดน ให้แจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ในประเด็นต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การลักลอบ
ค้ามนุษย์ การลักลอบนำเข้าสินค้าและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายตามแนวชายแดน เป็นต้น ทั้งนี้ กรณี
การปิดด่านสินค้าชายแดน ให้พิจารณาบริหารจัดการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
3. ให้กระทรวงแรงงานทำการส่งตัวแรงงานต่างด้าวที่พ้นการกักตัว 14 วันแล้ว เพื่อดำเนินการ
จัดจ้างงานในประเทศต่อไป
4. ให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) พิจารณาเกี่ยวกับมาตรการ Transit Passenger เพิ่มเติมเพื่อรองรับการเดินทางในระยะต่อไปด้วย โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ
5. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดูแลควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในพื้นที่จุดจอดเรือ (เช่น เรือยอร์ช
เรือสำราญ เป็นต้น) ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันด้านสาธารณสุข
ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันมิให้มีการแพร่ระบาด โดยมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นหน่วยงานในการอำนวยการและบูรณาการการปฏิบัติของส่วนราชการดังกล่าว
6. ให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 พิจารณาศึกษาเพิ่มเติมและกำหนดแนวทางการกักตัวแบบ Wellness Quarantine รูปแบบ Sport
7. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณากำหนดเกณฑ์การจัดกลุ่มประเทศเสี่ยงสูง เสี่ยงปานกลาง และเสี่ยงต่ำให้ชัดเจน โดยพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อและมาตรการในการป้องกันโรค ของแต่ละพื้นที่และให้พิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละประเทศด้วย สำหรับบางประเทศที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ให้ใช้ข้อมูลในระดับมณฑลหรือเมืองประกอบการพิจารณา
8. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์และเน้นย้ำให้
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านการกีฬาและด้านการแข่งขันกีฬาแบบมีผู้ชม ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) อย่างเคร่งครัด
9. ให้กระทวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาการส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม แอปพลิเคชัน Smart band เพื่อพัฒนาต่อยอดและใช้งานในอนาคตต่อไป
13. เรื่อง แนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ
1. กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดการประชุมบูรณาการร่วมกับหน่วยงานและภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการรณรงค์ในการสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นายอิทธิพล คุณปลื้ม) เป็นประธานฯ ทั้งนี้ มีหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานและกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงประเพณีลอยกระทง การดูแลรักษาความปลอดภัยการรักษาทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมฯ จำนวน 14 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม) กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า และกรมการขนส่งทางบก) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) กระทรวงสาธารณสุข (กรมควบคุมโรค) สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร (สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว และสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร) มูลนิธิ เมาไม่ขับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยที่ประชุมมีแนวคิดบูรณาการความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ซึ่งทุกหน่วยงานเห็นพ้องต้องกันในแนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ด้วยเป็นแนวคิดที่ครอบคลุมการดำเนินงานที่เหมาะสม เนื่องในประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 ดังนั้น หน่วยงานต่าง ๆ จึงได้ร่วมกันวางแนวทาง และมาตรการรณรงค์การสืบสานประเพณีที่ดีงามเหมาะสม เป็นไปตามคุณค่าสาระที่แท้จริง รวมถึงการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงประเพณีลอยกระทง ประจำปีพุทธศักราช 2563
2. ที่ประชุมบูรณาการการกำหนดแนวทางและมาตรการรณรงค์ ในการสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 มีมติเห็นชอบแนวทางและมาตรการรณรงค์เนื่องในประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง 14 หน่วยงาน ได้เสนอดังนี้
2.1 แนวทางการดำเนินการในปีพุทธศักราช 2563 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่
สืบสานวัฒนธรรมไทย” สื่อความหมายได้ ดังนี้
(1) ลอยกระทงวิถีใหม่ หมายถึง การดำเนินการจัดงานตามมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงสาธารณสุข ขณะเดียวกัน ก็คำนึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในช่วงประเพณีลอยกระทง และการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด รวมถึงการรักษาความปลอดภัยในด้านอื่น ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(2) สืบสานวัฒนธรรมไทย หมายถึง การอนุรักษ์ สืบสานและส่งเสริมประเพณีลอยกระทง ที่ทรงคุณค่า สาระอันดีงาม และการปฏิบัติตามแบบของประเพณีวัฒนธรรมที่เหมาะสม ซึ่งสะท้อนถึงการแสดงออกที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร มีน้ำใจไมตรีให้แก่กันและกัน และบรรยากาศแห่งการแสดงความกตัญญูต่อ “น้ำ” และการแสดงออกต่อพระพุทธศาสนา ต่อพระแม่คงคา แม่น้ำ ลำคลอง ส่งเสริมคุณค่าต่อครอบครัว ต่อชุมชน ต่อสังคม โดยการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาประดิษฐ์กระทง ซึ่งง่ายต่อการย่อยสลาย และเป็นมิตรต่อแม่น้ำลำคลอง ลดการใช้โฟม เพื่อดำรงประเพณีลอยกระทงซึ่งมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยให้คงอยู่สืบไป
2.2 แนวทางและมาตรการรณรงค์ เพื่อดำเนินการประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563
(1) การรณรงค์เรื่อง “ลอยกระทงวิถีใหม่” ประกอบด้วย
1.1 ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ร่วมกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยในช่วงประเพณีลอยกระทงอย่างชัดเจน และบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เช่น การห้ามปล่อยโคมลอยหรือยิงบั้งไฟ ในพื้นที่ที่อยู่ในเส้นทางการบินของเครื่องบินเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง การงดเล่นดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด รวมถึง การยิงปืนขึ้นฟ้าโดยไม่มีเหตุอันควร การรณรงค์ลอยกระทงปลอดเหล้า ด้วยการงดจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มมึนเมาในบริเวณงานหรือใกล้เคียง รวมถึง ชี้แจงแก่วัดต่าง ๆ ถึงการปล่อยโคมลอยเพื่อเป็นพุทธบูชา ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นอย่างเคร่งครัด
1.2 ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจรทั้งทางน้ำและทางบก ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับส่งประชาชนในช่วงประเพณีลอยกระทง รวมถึง การตรวจสอบความพร้อมของโป๊ะและท่าเรือต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด พร้อมรับการใช้บริการจากประชาชน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมากที่สุด
1.3 ขอความร่วมมือผู้จัดงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงสาธารณสุข อาทิเช่น มีการจัดสถานที่เหมาะสมไม่แออัด
มีจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้างาน รณรงค์สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจลหรือน้ำสะอาด สบู่เหลว ก่อนหรือหลังทำกิจกรรม
(2) การรณรงค์เรื่อง “สืบสานวัฒนธรรมไทย” ประกอบด้วย
(2.1) ส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติแต่งชุดไทยเข้าร่วมประเพณีลอยกระทง ใช้วัสดุธรรมชาติ และย่อยสลายง่าย ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น เช่น หยวกกล้วย กาบกล้วย ขนมปัง และใบตอง มาประดิษฐ์กระทง เพื่อร่วมกันรักษาและป้องกันการเกิดมลพิษต่อสายน้ำ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการงดใช้วัสดุย่อยสลายยากและเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม รณรงค์ให้แต่ละครอบครัว กลุ่มประชาชน หน่วยงาน ใช้กระทง 1 ใบ ตามแนวทาง “1 ครอบครัว 1 กระทง” หรือ “1 หน่วยงาน 1 กระทง” เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและลดปริมาณขยะในแม่น้ำลำคลอง
(2.2) ขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนร่วมกันจัดกิจกรรม การละเล่น และการแสดงทางวัฒนธรรม ตามประเพณีท้องถิ่น เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และให้เด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป ได้ร่วมกันสืบสานประเพณี วัฒนธรรมที่ถูกต้องเหมาะสม ตามหลักประเพณีลอยกระทง โดยคำนึงถึงการจัดที่นั่งให้มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง 14 หน่วยงาน มีความเชื่อมั่นว่า การประสานความร่วมมือในการบูรณาการแนวทางและมาตรการรณรงค์ ตามแนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” จะก่อให้เกิดการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ตามแนวทางเดียวกับมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่ออนุรักษ์ สืบสานประเพณีลอยกระทง ให้คงคุณค่า สาระและความงดงาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ ที่สามารถแสดง ให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติได้รับรู้ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมการเพื่อป้องกันอุบัติภัยต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งการดูแลทรัพย์สิน สุขอนามัยและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ต่อไป
14. เรื่อง รายงานการเกิดเหตุก๊าซธรรมชาติรั่วและเพลิงไหม้ ระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเกิดเหตุก๊าซธรรมชาติรั่วและเพลิงไหม้ ระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ ข้อเท็จจริง
1. กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานได้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ใบอนุญาตเลขที่ กท2310039 ออกให้ ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 (ออกใบอนุญาตครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2557 ดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2535 และเริ่มใช้งานครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539ก่อนที่กฎกระทรวงระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. 2556 มีผลบังคับใช้) โดยในการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ประจำปี 2563 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้จัดส่งรายงานผลการทดสอบและตรวจสอบประจำปี รายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามและตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำเนากรมธรรม์ประกันภัย และกรมธุรกิจพลังงานได้ตรวจสอบเอกสารดังกล่าวแล้วเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดจึงได้ดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว
2. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบกได้รับประกาศกำหนดเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมและเขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องกำหนดเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อในทะเลและบนบกในท้องที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องกำหนดเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อบนบกในท้องที่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา กรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
3. กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานได้รับแจ้งเหตุเบื้องต้นจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 เวลาประมาณ 13.30 น. โดยแจ้งว่าระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ เกิดเพลิงไหม้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการประสานงานและตรวจสอบข้อมูลจึงทราบว่าจุดเกิดเหตุเป็นระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก เกิดเหตุระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3 (อยู่ห่างจากสถานีควบคุม WN2 18.223 กิโลเมตร และห่างจากสถานีควบคุม WN3 13.732 กิโลเมตร) ถนนเทพราช-ลาดกระบัง ในพื้นที่ตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ อธิบดี รองอธิบดีและเจ้าหน้าที่กรมธุรกิจพลังงานจึงได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ เวลาประมาณ 15.30 น. พบว่าสามารถควบคุมเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ได้แล้ว มีการปะทุของไฟเกิดขึ้นเป็นบางช่วงเมื่อมีการระบายก๊าซที่คงค้างออกมา สภาพพื้นที่โดยรวมได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดและเพลิงไหม้ ส่งผลให้ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ที่พักคนงาน และที่พักอาศัยของประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดี รวมถึงสถานีตำรวจภูธรเปร็ง ได้รับความเสียหาย และมีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิต 3 ราย ผู้บาดเจ็บ 66 ราย ในเบื้องต้น กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานได้แจ้งให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระงับการประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3 เป็นการชั่วคราว และได้แจ้งให้ดำเนินการซ่อมแซมระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่ได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพปลอดภัยและดำเนินการทดสอบและตรวจสอบตามที่กฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยกำหนด และแจ้งผลให้กรมธุรกิจพลังงานทราบต่อไป
ทั้งนี้ท่อในบริเวณที่เกิดเหตุดังกล่าวดำเนินการอยู่ก่อนที่กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมจะกำหนดให้กิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อต้องได้รับการเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมก่อนเริ่มดำเนินการ ดังนั้นจึงไม่ต้องจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยท่อส่งก๊าซธรรมชาติของโครงการเป็นท่อเหล็ก API 5L เกรด X65 มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 36 นิ้ว ความหนาของท่อ 0.594 นิ้ว ความดันใช้งานสูงสุด 1,043 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ระดับความหนาแน่นของชุมชนอยู่ในระดับ 3 อยู่ลึกจากระดับพื้นดินประมาณ 2.99 - 3.66 เมตร ทั้งนี้เนื่องจากมีการถมดินเพิ่มจากระดับอ้างอิงเดิม ความลึกท่อจริงอาจมากกว่าที่ระบุข้างต้น
4. ถนนเทพราช-ลาดกระบัง อยู่ในระหว่างการก่อสร้างเพื่อเพิ่มช่องทางสัญจรและปรับสภาพผิวการจราจร และมีการปรับสภาพพื้นที่ใกล้เคียงเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อซึ่งอยู่ใต้เขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าบริเวณตรงข้ามวัดเปร็งราษฎร์บำรุง เป็นที่พักคนงานของบริษัท นภาก่อสร้าง จำกัด รวมถึงมีการนำรถขุด และวัสดุก่อสร้างมากองในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจากการสอบถามเบื้องต้น ไม่มีการขออนุญาตเข้าทำงานในโครงข่ายก๊าซธรรมชาติ และโครงข่ายไฟฟ้า ทั้งนี้โครงข่ายก๊าซธรรมชาติ และเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อในพื้นที่ดังกล่าวมีความกว้าง 23 เมตร ส่วนเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าในพื้นที่ดังกล่าวมีความกว้างจากแนวศูนย์กลางเสาสายส่งข้างละ 20 เมตร รวมทั้งสองด้านกว้าง 40 เมตร และเป็นโครงข่ายไฟฟ้าที่คู่ขนานกัน 2 โครงข่าย
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวได้รับการประกาศเขตระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 แล้ว จึงถือว่าเขตดังกล่าวเป็นเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อตามประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่องกำหนดเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อและเครื่องหมายแสดงเขต พ.ศ. 2559 มีรายละเอียดข้อห้ามปฏิบัติในบริเวณเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อและบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ซึ่งการดำเนินการของบริษัท นภาก่อสร้าง จำกัด ดังกล่าวข้างต้น เป็นการกระทำอันอาจเป็นอันตรายต่อระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อรวมทั้งอุปกรณ์ของระบบดังกล่าว และอาจเป็นเหตุให้ระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อถูกทำลายเสียหาย เป็นการฝ่าฝืนตามมาตรา 37 และมีบทลงโทษตามมาตรา 73 ตามข้อ 4.14 กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานจะเร่งดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
5. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือที่ 80000510/340/2563 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2563 แจ้งเหตุก๊าซธรรมชาติรั่วและเกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก โดยได้แจ้งให้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ ปตท. ได้เข้าสู่พื้นที่เพื่อระงับเหตุ พร้อมทั้งดำเนินการตัดแยกระบบบริเวณช่วงสถานีควบคุม WN2 และ WN3 ซึ่งสามารถควบคุมเหตุได้แล้ว และได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน แจ้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และเร่งแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่ และในวันที่ 23 ตุลาคม 2563 เวลา 11.30 น. ปตท. ได้แจ้งสรุปรายงานเหตุการณ์เพิ่มเติมเป็น 7 หัวข้อ ดังนี้
(1) การระงับเหตุโดย ปตท.
12.49 น. ศูนย์ควบคุมการส่งก๊าซ ปตท. จ.ชลบุรี ตรวจพบความผิดปกติโดยความดันก๊าซระหว่างสถานีควบคุมความดันก๊าซ WN2 และ WN3 ลดลงอย่างรวดเร็ว
12.55 น. ได้รับแจ้งเหตุการณ์ท่อส่งก๊าซธรรมชาติรั่วและมีเพลิงไหม้
12.58 น. ศูนย์ควบคุมการส่งก๊าซ ปตท. สั่งปิดวาล์วที่สถานีควบคุมก๊าซ WN2 และ WN3 เพื่อตัดแยกระบบผ่านระบบควบคุมอัตโนมัติ (SCADA)
13.10 น. ปตท. ประกาศเหตุฉุกเฉินระดับ 2 และจัดตั้งศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินที่ศูนย์ปฏิบัติการชลบุรี
13.40 น. ปตท. เข้าถึงพื้นที่เพื่อระงับเหตุ
16.14 น. สามารถควบคุมเพลิงไหม้ได้
(2) ผลกระทบต่อผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติ
สามารถจ่ายก๊าซให้โรงไฟฟ้า PPTC สถานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง (27 แห่ง) และสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ปตท. ลาดกระบัง ได้แล้ว และได้จัดเตรียมเชื้อเพลิงทดแทน (CNG) ให้สถานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ บริษัท เอ็นจีเคเซรามิคส์ (ประเทศไทย)จำกัด รวมถึงบริหารจัดการจ่ายก๊าซจากสถานีอื่นทดแทนให้แก่สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ปตท. เอส.วี.โพรเกรสซีฟ สาขาบางปะกง แล้ว ส่วนโรงไฟฟ้า Eastern Power and Electric Co., Ltd ไม่มีแผนเดินเครื่อง ในช่วงนี้
(3) ข้อมูลผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ผู้เสียชีวิต 3 ราย |
- นางมะลิ บุญมั่น อายุ 80 ปี - นางสาวละมัย กลมอ่อน อายุ 85 ปี - นางสมศรี จันทร์แถม ไม่ทราบอายุ |
ผู้บาดเจ็บ 66 ราย |
|
(4) ความเสียหายทางทรัพย์สิน
(5) การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดย ปตท.
ผู้ได้รับผลกระทบ |
มาตรการเยียวยา |
ผู้เสียชีวิต |
มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต รายละ 100,000 บาท |
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ |
ปตท. พร้อมดูแลค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดย ปตท.ได้ประสานงาน บริษัททิพยประกันภัย ดูแลรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้แก่ผู้บาดเจ็บทุกรายและทีมมวลชนสัมพันธ์ ปตท. ได้เข้าเยี่ยมและมอบกระเช้าให้ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทุกแห่ง และพร้อมช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ |
ผู้ที่ได้รับผลกระทบบ้านเรือนเสียหาย |
จัดเตรียมที่พักชั่วคราว 1 คืน ณ วัดเปร็งราษฎร์บำรุง พร้อมทั้งจัดหาอาหาร น้ำดื่ม และเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกครัวเรือน โดยในระหว่างการซ่อมแซมบ้านเรือน ปตท. จะจัดหาที่พักชั่วคราวให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ |
(6) การซ่อมท่อส่งก๊าซฯ
- ประเมินการเบื้องต้นใช้ระยะเวลาประมาณ 5 วัน โดยในวันที่ 23 ตุลาคม 2563 ได้ดำเนินการเตรียมท่อขนาด 36 นิ้ว เข้ายังพื้นที่ และดำเนินการไล่ก๊าซธรรมชาติที่ค้างอยู่ในระบบตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยจากการวัดปริมาณก๊าซธรรมชาติและออกซิเจน ณ จุดเกิดเหตุ
- ดำเนินการก่อสร้างโดยการขุดเปิดหน้าดิน และเชื่อมต่อเข้ากับระบบเพื่อเริ่มจ่ายก๊าซ
(7) ผลกระทบสิ่งแวดล้อม – บริษัท UAE เข้าเก็บตัวอย่างดินและน้ำ ในวันที่ 23 ตุลาคม 2563
6. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือที่ 80000510/341/2563 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2563 แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเหตุการณ์ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกคู่ขนานเส้นที่ 2 และได้จัดส่งแบบรายงานการเกิดอุบัติเหตุเบื้องต้น ตามแนบท้ายประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการดำเนินการในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่มีผลกระทบต่อระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. 2557 ทั้งนี้มีการปรับแก้ข้อมูลจากรายงานเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2563 ตามข้อ 4.5 ในส่วนของข้อมูลผู้บาดเจ็บ และการมอบเงินชดเชย เป็นดังนี้
ผู้บาดเจ็บ 71 ราย |
|
- มอบเงินชดเชยนอกเหนือจากค่ารักษาพยาบาลช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ดังนี้
(1) ผู้เสียชีวิต รายละ 5,000,000 บาท
(2) ผู้ป่วยอาการสาหัส รายละ 500,000 บาท
(3) ผู้ป่วยรักษาตัวที่โรงพยาบาล รายละ 200,000 บาท
(4) ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่กลับบ้านแล้ว รายละ 50,000 บาท
7. ปัจจุบันมีระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่ได้รับใบอนุญาต จำนวน 192 โครงการ
วางพาดผ่าน 23 จังหวัด โดยแบ่งประเภทตามวัตถุประสงค์ในการขนส่งก๊าซธรรมชาติ ได้เป็น 5 ลักษณะ ดังนี้
ประเภทโครงการ |
ความยาว (กม.) |
ร้อยละ |
ท่อประธานบนบก |
2,172.98 |
39.48 |
ท่อประธานในทะเล |
2,338.31 |
42.49 |
ท่อไปยังโรงไฟฟ้า |
196.53 |
3.57 |
ท่อจำหน่าย (ไปยังสถานที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ) |
767.11 |
13.94 |
ท่อไปยังสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ |
28.71 |
0.52 |
รวม |
5,503.62 |
100.00 |
ทั้งนี้ท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่เป็นท่อประธานบนบกของประเทศไทยมีจำนวน 22 โครงการ ความยาวรวม 2,172.98 กิโลเมตร โดยมีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย(ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้รับใบอนุญาต
8. การทดสอบตรวจสอบและการบำรุงรักษาระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อดำเนินการตามกฎกระทรวง ระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. 2556 และมาตรฐานความปลอดภัยโดยอ้างอิง มาตรฐาน ASME B31.8 เป็นหลัก การทดสอบตรวจสอบประจำปีมีหัวข้อในการทดสอบ ดังนี้
(1) การลาดตระเวนตรวจแนววางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการตรวจตราการรั่วไหลของก๊าซธรรมชาติ
(2) การตรวจสอบสภาพความผุกร่อนบนผิวท่อเหนือผิวดิน (Atmospheric corrosion survey)
(3) การตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบป้องกันการผุกร่อน (Cathodic Protection)
(4) การทดสอบระหว่างการใช้งาน โดยวิธีการตรวจสอบโดยอ้อม (Indirect Inspection)
(5) การตรวจสอบสภาพภายในท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (In Line Inspection)
(6) การประเมินความสมบูรณ์แข็งแรงท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
(7) การตรวจสภาพท่อส่งก๊าซธรรมชาติด้วยวิธีตรวจวัดความหนาท่อ
(Wall thickness monitoring)
ทั้งนี้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการทดสอบตรวจสอบระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ตามหัวข้อที่มาตรฐานความปลอดภัยกำหนดข้างต้น และจัดส่งรายงานผลการทดสอบประจำปี 2562 เพื่อประกอบการพิจารณาต่ออายุใบอนุญาต และในส่วนของการประเมินความสมบูรณ์แข็งแรงของท่อจากการตรวจสอบสภาพภายในท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (In Line Inspection) ซึ่ง บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ได้ทำการทดสอบครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2562 โดยได้ว่าจ้างบริษัท Baker Hughes เป็นผู้ทำการทดสอบและตรวจสอบ โดยทางผู้ทดสอบสรุปว่า ไม่พบเหตุปัจจัยที่ส่งผลให้ท่อรองรับแรงดันได้น้อยกว่าที่ออกแบบไว้ หรือมีความเสี่ยงต่อการความผิดปกติของรูปทรงท่อ (Mechanical Damage) อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบรายงานผลการทดสอบและตรวจสอบฉบับสมบูรณ์ต่อไป ส่วนการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบป้องกันการผุกร่อนพบวาเป็นไปตามค่าที่มาตรฐานกำหนด
9. กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานอยู่ระหว่างการยกร่างอนุบัญญัติที่ออกตามร่างกฎกระทรวง ระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้มีอนุบัญญัติเกี่ยวกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่อยู่ระหว่างการยกร่างดังกล่าว จำนวน 5 ฉบับ ดังนี้
(1) ร่าง ประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การทดสอบและตรวจสอบและการบำรุงรักษาระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. ....
(2) ร่าง ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการติดตั้งป้ายหรือ
เครื่องหมายเตือนแนวท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
(3) ร่าง ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการในการดำเนินการในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่มีผลกระทบต่อระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ
(4) ร่าง ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ การยกเลิกใช้งานระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการถาวร
(5) ร่าง ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการ ในการจัดทำรายงานผลการทดสอบและตรวจสอบ และแผนการบำรุงรักษาระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ
10. ข้อสันนิษฐานสาเหตุการเกิดเหตุท่อก๊าซธรรมชาติรั่ว และเพลิงไหม้ระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3 ในเบื้องต้น มีความเป็นไปได้อย่างน้อย 6 แนวทาง ดังนี้
(1) การผุกร่อนของท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
(2) ความเสียหายของคุณสมบัติทางกลของท่อจากโรงงานผลิตหรือการก่อสร้าง
(3) ความผิดปกติของระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงเหนือท่อ
(4) ความผิดปกติของอุปกรณ์ตรวจวัดหรือควบคุมระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ
(5) การเกิดการสไลด์หรือการทรุดตัวของดิน ทำให้ท่อเกิดความเสียหายฉับพลัน
(6) การรุกล้ำแนวเขตระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อโดยบุคคลที่ 3
ทั้งนี้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวในรายละเอียดและแจ้งให้กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานพิจารณาต่อไป
11. เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานได้ระงับการประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3 เป็นการชั่วคราว และแจ้งให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการ ดังนี้
(1) จัดทำรายงานการเกิดอุบัติเหตุ โดยรายงานดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยการวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ แนวทางป้องกันและแก้ไข ปริมาณความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และให้รายงานกรมธุรกิจพลังงานทราบภายใน 60 วัน นับจากวันที่เกิดเหตุ ตามประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการดำเนินการในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่มีผลกระทบต่อระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ พ.ศ. 2557
(2) จัดทำแผนการฟื้นฟูสภาพ และมาตรการติดตามตรวจสอบตามแผนดังกล่าวให้ครบถ้วน
(3) ประเมินความมั่นคงแข็งแรงและผลกระทบจากเหตุการณ์ต่อระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3
(4) แจ้งมาตรการและรายละเอียดในการดำเนินการซ่อมแซม มาตรการในการป้องกันสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่โดยรอบกระบวนการซ่อมแซมระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อดังกล่าว รวมถึงวิธีการที่จะใช้ในการทดสอบและตรวจสอบท่อที่ได้รับการซ่อมแซมก่อนนำกลับมาใช้งาน เพื่อให้ กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานเห็นชอบก่อนเริ่มดำเนินการ
(5) เมื่อระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่ได้รับความเสียหายได้รับการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพปลอดภัยและดำเนินการทดสอบและตรวจสอบตามที่กฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยกำหนด ให้ส่งรายงานผลการทดสอบและตรวจสอบให้กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ประกอบกิจการระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อในส่วนที่ถูกระงับการใช้งาน
12. เพื่อความโปร่งใสและเพื่อให้มีการพิจารณาข้อมูล หลักฐานทั้งหมดอย่างรอบคอบ เห็นควรพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบรายงานการวิเคราะห์สาเหตุการเกิดก๊าซธรรมชาติรั่วและเพลิงไหม้ของระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3 โดยมีองค์ประกอบคณะทำงาน ดังนี้
(1) รธพ. ประธานคณะทำงาน
(2) ผู้แทนจากสภาวิศวกร คณะทำงาน
(3) ผู้แทนจากสมาคมทดสอบโดยไม่ทำลาย คณะทำงาน
(4) ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะทำงาน
(5) ผู้แทนจากสำนักงานนโยบายและแผน คณะทำงาน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(6) ผู้แทนจาก กฟผ. คณะทำงาน
(7) ผู้แทนจาก สกพ. คณะทำงาน
(8) ผู้แทนจาก ปตท. คณะทำงาน
(9) นิติกร ธพ. คณะทำงาน
(10) เจ้าหน้าที่กลุ่มงานคลังและขนส่งทางท่อ ธพ. คณะทำงานและเลขานุการ
โดยให้คณะทำงานมีหน้าที่ ตรวจสอบรายงานการวิเคราะห์สาเหตุการเกิดก๊าซธรรมชาติรั่วและเพลิงไหม้ของระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก ระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3 อย่างรอบคอบ รัดกุมและมีรายละเอียดครบถ้วนเพื่อเป็นประโยชน์ในการกำหนดแนวทางป้องกันอุบัติเหตุต่อระบบการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อต่อไป
13. กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานอยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจพื้นที่ที่มีความเสี่ยงตามแนวท่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ชุมชนหนาแน่น พื้นที่ที่มีการก่อสร้างถนน พื้นที่ที่มีการก่อสร้างขนาดใหญ่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่รุกล้ำแนวเขตระบบหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายต่อเขตระบบ รวมถึงกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ตามพื้นที่แนวท่อ และมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียต่อประชาชน กรณีเกิดเหตุท่อก๊าซธรรมชาติรั่ว รวมถึงการจัดทำระบบแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่แนวท่อต่อไป
15. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 พฤศจิกายน 2563 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 6) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เพื่อขยายระยะเวลาการบังคับใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศ
การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศบค.) ได้เชิญหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการในด้านต่าง ๆ ตามพระราชกำหนดฯ ผู้แทนส่วนราชการและประชาคมข่าวกรองเข้าร่วมการประชุม โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน เพื่อประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด - 19 ในภาพรวมทั่วโลกยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และมีการแพร่กระจายในหลายภูมิภาค รวมทั้ง มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปัจจุบันได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกที่สองในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมาและมาเลเซีย ส่งผลให้มีแรงงานจากประเทศดังกล่าวลักลอบเข้ามาในประเทศผ่านทางช่องทางธรรมชาติเป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและความหวาดกลัวในการติดเชื้อ ทำให้ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
2. ที่ประชุมเห็นว่า ปัจจุบันมีการบังคับใช้มาตรการผ่อนคลายกิจกรรม/กิจการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และมีการอนุญาตให้ชาวต่างชาติหลายกลุ่มสามารถเดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักรได้ ประกอบกับมีสถานการณ์การรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อชุมนุมประท้วงทางการเมือง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการแพร่ระบาดในระลอกที่สอง นอกจากนี้ ปัจจุบันการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาอีกช่วงระยะหนึ่ง จึงมีความจำเป็นต้องอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดฯ เพื่อกำกับดูแลโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวด อาทิ 1) การควบคุมการเดินทางเข้า - ออกราชอาณาจักรในทุกช่องทาง 2) การจัดทำระบบติดตามตัว การกักตัว และการเฝ้าระวังบุคคลต้องสงสัย และ 3) การกำหนดมาตรการควบคุมโรคที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างครอบคลุมในทุกกิจกรรม/กิจการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจะต้องมีระบบการบริหารจัดการวิกฤติการณ์ในลักษณะการรวมศูนย์ที่มีการบูรณาการกำลังจากพลเรือน ตำรวจ และทหาร เข้าร่วมปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอตามภารกิจที่เกี่ยวข้อง
3. ที่ประชุมยังได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่าภาครัฐควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นในการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) เพื่อไม่ให้ผู้เห็นต่างนำไปเป็นเหตุในการยุยงปลุกปั่นให้เกิดการต่อต้านรัฐบาล
4. สมช. ได้นำผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 13/2563 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
16. เรื่อง การอนุญาตให้เรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) เข้ามาในราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการให้คนต่างด้าวที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
1.1 เป็นบุคคลต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางมาเข้ามาท่องเที่ยวโดยเรือสำราญและกีฬาในราชอาณาจักร ในกลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ หรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ หรือผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำหรือความเสี่ยงปานกลาง ตามการจัดกลุ่มประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำหรับการผ่อนคลายผู้ไม่มีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
1.2 ยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 และยินยอมกักตัวภายในเรือ ไม่น้อยกว่า 14 วัน
1.3 มีหลักฐานการเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อท่องเที่ยวโดยเรือสำราญและกีฬา โดยแสดงการเป็นผู้ควบคุมยานพาหนะ หรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ หรือผู้โดยสาร
1.4 มีหลักฐานกรมธรรม์การทำประกันสุขภาพที่คุ้มครองตรวจรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ในวงเงิน 100,000 US ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในประเทศไทย รวมถึงการทำประกันสุขภาพและอุบัติเหตุของไทยคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมีจำนวนเงินประกันภัยสำหรับค่ารักษาพยาบาล กรณีผู้ป่วยนอก ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท และกรณีผู้ป่วยในไม่น้อยกว่า 400,000 บาท
1.5 มีหลักฐานการชำระเงินล่วงหน้า ในการเช่าจองสถานที่จอดเรือ
1.6 ปฏิบัติตามประกาศกรมเจ้าท่าว่าด้วยแนวปฏิบัติสำหรับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) ที่เข้ามาในน่านน้ำไทย
2. บุคคลต่างด้าวที่มากับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) ซึ่งได้ปฏิบัติตามข้อ 1. มีสิทธิขอรับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว ประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เพื่อเข้ามาในราชอาณาจักร สำหรับใช้ได้ครั้งเดียวจากสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ โดยเสียค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ครั้งละ 2,000 บาท ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลา 90 วัน นับแต่วันที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
ทั้งนี้ การตรวจลงตราตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ กำหนด
3. ให้ผ่อนผันแก่คนต่างด้าวที่มากับเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) ในกรณี ดังต่อไปนี้ เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อดำเนินการตามข้อ 1.2 ถึงข้อ 1.6 และข้อ 2. ได้
3.1 กรณีที่เดินทางออกจากประเทศต้นทางและอยู่ระหว่างการเดินทางเข้ามาในน่านน้ำไทยก่อนประกาศนี้ใช้บังคับ
3.2 กรณีเรือสำราญและกีฬา เข้ามาและจอดเรืออยู่ที่ท่าเรือในราชอาณาจักรก่อนประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 มีผลใช้บังคับ
มีสิทธิขอรับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว ประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ภายใน 30 วันหลังจากวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ
4. ภายหลังจากที่ครบกำหนดเวลาอนุญาตตามข้อ 2 แล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้อีกสองครั้ง ครั้งละเก้าสิบวัน โดยคนต่างด้าวต้องยื่นคำขอตามแบบและเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยไม่สามารถเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตราได้ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ต่อในราชอาณาจักร ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำขออยู่ต่อก่อนวันที่ประกาศนี้สิ้นผลใช้บังคับ และอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุญาตของเจ้าหน้าที่ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาอนุญาตได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศนี้
5. ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมเสนอว่า
คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ได้มีการประชุมครั้งที่ 13/2563 เมื่อวันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 มีมติรับทราบ ตามที่คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) เสนอ ซึ่งมอบหมายให้ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ประสานกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้กลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ เจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ และผู้โดยสารของเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) มีสิทธิขอรับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV)
กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่า กำหนดแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เพื่อนำนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ เจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ และผู้โดยสาร ของเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) ที่มีศักยภาพเดินทางเข้าราชอาณาจักรโดยเรือสำราญและกีฬา (เรือยอร์ช) เนื่องด้วยปัจจุบันเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ทำให้นักท่องเที่ยวและบุคคลทั่วไป ไม่สามารถเดินทางได้ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว แต่เนื่องจากประเทศไทยสามารถบริหารจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) จนได้รับ การจัดอันดับประเทศที่มีความปลอดภัยเป็นอันดับ 1 ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่งและในปัจจุบันประเทศไทยไม่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ภายในประเทศไทย ทำให้คนต่างด้าวที่เรียกว่ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีศักยภาพจากทุกประเทศทั่วโลกมีความต้องการเดินทางเข้ามาเพื่อท่องเที่ยว โดยเรือสำราญและกีฬา ภายในประเทศไทย
ประกอบกับในระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรายได้หลักจากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศไทย นำเงินตราเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านบาท เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวภายในประเทศขาดรายได้และได้รับผลกระทบในทุกภาคส่วน รัฐบาลมีนโยบายที่จะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวภายในประเทศไทย ในพื้นที่ปิดที่สามารถควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19)
17. เรื่อง ประกาศ เรื่อง ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ประกาศ ข้อกำหนด และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ เรื่อง ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ประกาศ ข้อกำหนด และคำสั่งที่เกี่ยวข้องตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 คณะรัฐมนตรีลงมติรับทราบที่นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า ตามที่ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563 และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 04.00 นาฬิกา ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นั้น หากสถานการณ์ฉุกเฉินอันเป็นเหตุให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงได้คลี่คลายลงก่อนครบกำหนดวันสิ้นผลใช้บังคับ นายกรัฐมนตรีจะได้ออกประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครโดยเร็ว ตามมาตรา 11 วรรคสาม แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แล้วแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
นายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศ เรื่อง ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ประกาศ ข้อกำหนด และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ลงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 12.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำประกาศดังกล่าว ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม 137 ตอนพิเศษ 248 ง วันที่ 22 ตุลาคม 2563 แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรนำประกาศดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
ต่างประเทศ
18. เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และเรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่าง กษ. และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน (สถานเอกอัครราชทูตจีน) ประจำประเทศไทย
1.1 ให้ความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กษ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
1.2 อนุมัติให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี 2563 ระหว่าง กษ. และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย (กษ. จะลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับฝ่ายจีนภายในเดือนตุลาคม 2563)
2. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ระหว่าง พณ. กับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง พณ. กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2.1 ให้ความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งสองฉบับ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ พณ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2.2 อนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ระหว่าง พณ. กับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง พณ. กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(พณ. จะลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งสองฉบับภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติแล้ว)
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. และ พณ. รายงานว่า
1. กษ. และ พณ. ได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษ MLC ขึ้น เพื่อรับมอบงบประมาณ จำนวน 1,406,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (43.93 ล้านบาท) ในการดำเนินโครงการจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หลักการเบื้องต้น
1. มุ่งให้เกิดสันติภาพและความมั่งคั่งในอนาคตต่อสมาชิกแม่โขง - ล้านช้าง
2. ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ในการปรึกษาหารือ การร่วมมือกัน การช่วยเหลือกันและมีผลประโยชน์ร่วมกัน
3. เคารพกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศไทยและจีน
4. ร่วมกันติดตามประเมินโครงการและการใช้งบประมาณจากกองทุนฯ
การยืนยันงบประมาณและโครงการ
หน่วยงาน กษ.
(1) Climate Change Adaptation and Food Security for Small Farmers(โครงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงทางอาหารสำหรับเกษตรกรรายย่อย)
วัตถุประสงค์ : เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยระบบเกษตรทฤษฎีใหม่ เพิ่มทักษะในการบริหารจัดการดินและน้ำ รวมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม (สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
วงเงิน 133,700 ดอลลาร์สหรัฐ (4.18 ล้านบาท)
(2) Promoting Integrated and Sustainable Agricultural System in Lancang - Mekong Countries (2nd Year Continuous Project)
(โครงการส่งเสริมระบบการจัดการที่ดินเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน ในอนุภูมิภาคล้านช้าง - แม่โขง)
วัตถุประสงค์ : เพิ่มทักษะการประยุกต์ใช้และการส่งเสริมการทำเกษตรแบบผสมผสานและยั่งยืนให้แก่ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค (กรมพัฒนาที่ดิน)
วงเงิน 91,300 ดอลลาร์สหรัฐ (2.85 ล้านบาท)
(3) Development and Promotion of Soil Doctor Program for Sustainable Land and Agricultural Management Practices in Lancang - Mekong Countries (โครงการพัฒนาและส่งเสริมเครือข่ายหมอดินเพื่อการจัดการที่ดินและเกษตรอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่โขง - ล้านช้าง)
วัตถุประสงค์ : พัฒนาและส่งเสริมเครือข่ายหมอดินอาสาและมีคู่มือการปฏิบัติงานและฐานข้อมูลความรู้ของเครือข่ายหมอดินอาสาในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (กรมพัฒนาที่ดิน)
วงเงิน 442,600 ดอลลาร์สหรัฐ (13.83 ล้านบาท)
(4) Regional Participatory Implementation of Integrated Pest Management System (โครงการระบบการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสานผ่านการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วม)
วัตถุประสงค์ : ช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสานระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มีศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน มีการพัฒนาระบบการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีในพืชเศรษฐกิจ มีระบบการเฝ้าระวัง ติดตาม พยากรณ์ และเตือนภัยศัตรูพืชรวมทั้งมีการใช้สารกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดภัย (กรมส่งเสริมการเกษตร)
วงเงิน 286,000 ดอลลาร์สหรัฐ (8.93 ล้านบาท)
หน่วยงาน พณ.
Boosting Cross-Border Trade Opportunities in MIC SEZs Through R3A and China - Pan Asia Railway Network (โครงการสร้างโอกาสสำหรับการค้าข้ามพรมแดนในกลุ่มประเทศสมาชิกแม่โขง - ล้านช้างจากการพัฒนาเส้นทาง R3A และโครงข่ายรถไฟ China - Pan Asia)
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับนโยบายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (Cross Border E - Commerce : CBEC) โดยจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับ (1) การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงของให้เป็นศูนย์กลาง CBEC รวมทั้งส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยและอาเซียนผ่านเส้นทาง R3A และเขตการค้าเสรีคุนหมิง (2) ศึกษาการใช้ประโยชน์จากเส้นทาง R3A และโครงข่ายรถไฟของจีนที่สร้างเชื่อมต่อจากคุนหมิงถึงบ่อหาน และ (3) ยกระดับการเชื่อมโยงพื้นที่ในภูมิภาคตอนเหนือของประเทศสมาชิก MLC ให้เชื่อมโยงอาเซียน จีน และยุโรปในอนาคต (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
วงเงิน 452,600 ดอลลาร์สหรัฐ (14.14 ล้านบาท)
2. ในส่วนของ พณ. ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการ จึงได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง พณ. กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ขอบเขตความร่วมมือ เช่น การดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการขนส่งสินค้าจากอาเซียนผ่านประเทศที่สาม (จีน) การแลกเปลี่ยนบุคลากรในฐานะทรัพยากรบุคคลและผู้ช่วยวิจัย การพัฒนาและแบ่งปันเครือข่ายข้อมูล เป็นต้น
ระยะเวลาของความร่วมมือ บันทึกความเข้าใจจะมีระยะเวลาเริ่มต้นห้าปีนับจากวันที่มีผลบังคับใช้ เว้นแต่จะมีการยกเลิกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าสองเดือน การยุติข้อตกลงจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาระผูกพันทางกฎหมายหรือสัญญาใด ๆ ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสร้างขึ้นหรือเข้าร่วมในกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้
การเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างเหมาะสม เมื่อทั้งสองฝ่ายได้หารือและเห็นพ้องกับการเปลี่ยนแปลงหรือการแก้ไขเป็นลายลักษณ์อักษรโดยทั้งสองฝ่ายที่มีผลนับจากวันที่ลงนาม
ผลผูกพัน บันทึกความเข้าใจฯ ไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายต่อทั้งสองฝ่ายและไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ที่ผ่านมาประเทศไทยมีโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพิเศษ MLC มาแล้วทั้งสิ้น 18 โครงการ รวมวงเงิน 36.6 ล้านหยวน (157.38 ล้านบาท) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษ MLC สำหรับโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด
19. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) แห่งราชอาณาจักรไทย และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและความร่วมมือทางนิติวิทยาศาสตร์ (Draft Memorandum of Understanding between The Central Institute of Forensic Science, Ministry of Justice of the Kingdom of Thailand and Institute of Forensic Science, Ministry of Public Security of China on Forensic Science Academic Exchange and Cooperation) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้ ยธ. หารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และให้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
สาระสำคัญ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังนี้
1. ความร่วมมือและช่วยเหลือด้านการเสริมสร้างศักยภาพ
1.1 ด้านการพัฒนาวิชาชีพ
- การฝึกอบรม สัมมนา ประชุม และแลกเปลี่ยนบุคลากร
- การจัดหาเครื่องมือและทรัพยากร
- การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์
- การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการและการวิจัยและการพัฒนา
1.2 ด้านการพัฒนาเทคนิค
- การพัฒนาฐานข้อมูลไบโอเมตริกซ์และการตรวจเปรียบเทียบ
- การพัฒนาเทคนิค วิธีการ เทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจดีเอ็นเอ (DNA) และสมรรถนะห้องปฏิบัติการตรวจ DNA
- การพัฒนาความรู้ สมรรถนะ เทคโนโลยี มาตรฐานการตรวจด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล (Digital Forensics)
2. ระยะเวลา/การมีผลใช้บังคับ
มีผลใช้บังคับ 5 ปี นับแต่วันที่ลงนาม และอาจได้รับการต่ออายุออกไปอีก 5 ปี (ภายใต้การยินยอมร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย) อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนการหมดอายุ
20. เรื่อง ผลการเจรจากับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร กรณีการจัดทำตารางข้อผู้พัน ภายใต้องค์การการค้าโลกของสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างไทยและสหภาพยุโรปฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรฯ
2. อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกหรือผู้แทนลงนามย่อกำกับในร่างความตกลงระหว่างไทยและสหภาพยุโรปฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรฯ เพื่อรับรองว่า เนื้อหาสาระสำคัญในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เพื่อให้สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรสามารถดำเนินการตามกระบวนการภายในของทั้งสองประเทศเพื่อลงนามในความตกลงระหว่างไทยและสหภาพยุโรปฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรฯ ตามลำดับ โดยการลงนามย่อในเอกสารทั้งสองฉบับข้างต้นไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันใด ๆ กับไทย จนกว่าร่างเอกสารทั้งสองฉบับจะได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา และจะได้มีการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพันกับไทยต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงระหว่างไทยและสหภาพยุโรปฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
3. เห็นชอบให้นำเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงระหว่างไทยและสหภาพยุโรปฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรฯ ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
4. อนุมัติให้เอกอัครราทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในความตกลงระหว่างไทยและสหภาพยุโรปฯ และหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยและสหราชอาณาจักรฯ ภายหลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว
5. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการออกหนังสือมอบหมายอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เอกอัครราทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกหรือผู้แทนลงนามในร่างความตกลงฯ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยน รวม 2 ฉบับ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างความตกลงระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหภาพยุโรป เป็นการจัดสรรปริมาณโควตาของสินค้าโควตาภาษีที่สหภาพยุโรปจัดสรรให้แก่ไทย ภายหลังระยะเวลาเปลี่ยนผ่านการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร ซึ่งแต่เดิมการจัดสรรปริมาณโควตาของสหภาพยุโรปได้รวมสัดส่วนของสหราชอาณาจักรอยู่ด้วย ตารางจัดสรรสัดส่วนใหม่นี้จะไม่รวมถึงปริมาณโควตาของสหราชอาณาจักร โดยร่างความตกลงฯ มีผลใช้บังคับเมื่อ (1) หลังจากวันที่ประเทศไทยและสหภาพยุโรปแจ้งให้อีกฝ่ายทราบว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว หรือ (2) มีผลใช้บังคับจากวันที่สหราชอาณาจักรสิ้นสุดใช้ตารางข้อผูกพันของสหภาพยุโรป แล้วแต่ว่าวันใดเกิดขึ้นภายหลัง
2. ร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Letter) ระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับการจัดสรรปริมาณสินค้าที่มีโควตาภาษีของสหราอาณาจักร เป็นการจัดสรรปริมาณโควตาของสินค้าโควตาภาษีที่มีสหราชอาณาจักรจัดสรรให้แก่ไทยภายหลังระยะเวลาเปลี่ยนผ่านการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป และไทยตกลงจะถอนการคัดค้านตารางข้อผูกพันของสหราชอาณาจักรทั้งหมดอย่างเป็นทางการด้วยวิธีแจ้งเป็นจดหมายถึงสำนักเลขาธิการองค์การค้าโลก ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีผลใช้บังคับเมื่อสหราชอาณาจักรและประเทศไทยแจ้งให้อีกฝ่ายทราบเมื่อการดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว โดยจะมีผลใช้บังคับ 14 วัน ภายหลังรับการแจ้งหลังสุดของทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ การลงนามย่อในเอกสารทั้งสองฉบับข้างต้นไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันใด ๆ กับไทย จนกว่าร่างเอกสารทั้งสองฉบับจะได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา และได้มีการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพันกับไทยต่อไป
21. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการให้สารสนเทศด้านน้ำของแม่น้ำล้านช้างตลอดทั้งปีโดยประเทศจีนแก่ประเทศสมาชิกคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ ของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง และร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการแบ่งปันสารสนเทศความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำของแม่โขง-ล้านช้าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการให้สารสนเทศด้านน้ำของแม่น้ำล้านช้างตลอดทั้งปีโดยประเทศจีนแก่ประเทศสมาชิกคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำของกรอบความร่วมมือมือแม่โขง-ล้านช้าง (Memorandum of Understanding under the Joint Working Group on Water Resources Cooperation of Lancang-Mekong Cooperation on the Provision of Hydrological Information of the Lancang River Throughout the Year by China to the Other Five Member Countries) และเห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการแบ่งปันสารสนเทศความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำของแม่โขง-ล้านช้าง (Letter of Intent on the Establishment of Lancang-Mekong Water Resources Cooperation Information Sharing Platform) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ดังกล่าว ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างบันทึกฯ และร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ สรุปดังนี้
1. ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง และตอบสนองความจำเป็นในการบรรเทาอุทกภัยและภัยพิบัติของประเทศบนแม่น้ำโขง โดยคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำของฝ่ายจีน ตกลงที่จะส่งข้อมูลด้านอุทกวิทยาของแม่น้ำล้านช้างตลอดปีให้กับคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำของประเทศสมาชิกอีก 5 ประเทศ ดำเนินการโดยหลักความร่วมมือฉันท์มิตร ประโยชน์ร่วมกัน การไว้ใจซึ่งกันและกัน และความเสมอภาคกัน ทั้งนี้ ข้อมูลด้านอุทกวิทยาที่ฝ่ายจีนจะส่งให้ ได้แก่ ข้อมูลด้านอุทกวิทยาของสถานียุนจิ่นหง (Yunjinghong) และสถานีหมานอัน (Man’an) ซึ่งตั้งอยู่ท้ายน้ำของแม่น้ำล้านช้างในจีน โดยคณะทำงานร่วมฝ่ายจีนจะจัดส่งข้อมูลระดับน้ำ ข้อมูลฝนตลอดทั้งปี ของทั้งสองสถานีที่กล่าวถึงดังกล่าวให้แก่คณะทำงานร่วมทั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ คณะทำงานร่วมฝ่ายกัมพูชา คณะทำงานร่วมฝ่ายลาว คณะทำงานร่วมฝ่ายเมียนมา คณะทำงานร่วมฝ่ายไทย และคณะทำงานร่วมเวียดนาม วันละสองครั้ง โดยจะจัดส่งข้อมูลครั้งที่ 1 ก่อนเวลา 09.00 น. (เวลาปักกิ่ง) รวมทั้งข้อมูลที่สำรวจตั้งแต่เวลา 21.00 น. ของวันที่ผ่านมถึงเวลา 08.00 น. ของวันรุ่งขึ้น และส่งข้อมูลครั้งที่ 2 ก่อนเวลา 21.00 น. (เวลาปักกิ่ง) รวมทั้งข้อมูลที่สำรวจตั้งแต่เวลา 09.00 น ถึงเวลา 20.00 น. ของวันดังกล่าว
ทั้งนี้บันทึกความเข้าใจนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ได้มีการลงนามในบนทึกความเข้าใจโดยผู้แทนจากคู่ภาคีที่ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ บันทึกความเข้าใจนี้จะมีผลบังคับเป็นเวลาห้าปี และจะขยายเวลาออกไปอีกห้าปี โดยความเห็นชอบร่วมกันของภาคีที่มีขึ้น ก่อนวันหมดอายุของบันทึกความเข้าใจ และภาคีสามารถแก้ไขทบทวนบันทึกความเข้าใจได้ หากได้รับความเห็นชอบจากภาคีทั้งหมด โดยบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป
2. ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการสร้างแพตฟอร์มการแบ่งปันข้อมูลความร่วมมือทรัพยากรน้ำแม่โขง-ล้านช้าง โดยวัตถุประสงค์ของแพลตฟอร์ม คือ เสริมสร้างความร่วมมือที่ดีต่อกัน ความเสมอภาคผลประโยชน์ร่วมกัน ความเข้าใจและความไว้วางใจในด้านทรัพยากรน้ำระหว่างประเทศสมาชิก กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong Lancang Cooperation: MLC) ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการและการอนุรักษ์น้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในประเทศสมาชิก สนับสนุนในการแบ่งปันและการใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีระหว่างประเทศสมาชิก และพัฒนาตอบสนองต่อความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างทันท่วงที รวมทั้งอุทกภัยและภัยแล้งในลุ่มแม่น้ำโขง – ล้านช้าง ทั้งนี้ ผู้ที่จะใช้งานสำหรับแพลตฟอร์ม ประกอบด้วย หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำแม่โขง – ล้านช้าง ประชาชนทั่วไปและผู้ใช้อื่น ๆ ภาระผูกพันและการอนุญาตสำหรับผู้ใช้แต่ละประเทศจะได้รับการอธิบายและกำหนดผ่านการศึกษาและหารือ โดยคณะกรรมการร่วมสาขาทรัพยากรน้ำ ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง
แต่งตั้ง
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการ พลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง สับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม
2. นางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
3. นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
4. นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการกงสุล
5. นางสาวภัทรัตน์ หงษ์ทอง อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย
6. นางอุรีรัชต์ เจริญโต เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้
1. ให้คณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (คณะกรรมการ ธ.ก.ส.) มีจำนวนทั้งสิ้น 15 คน (นับรวมประธานกรรมการโดยตำแหน่ง รองประธานกรรมการ และกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไว้แล้ว และผู้จัดการซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง) ตามมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่บัญญัติให้รัฐวิสาหกิจใดมีความจำเป็นต้องมีกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะราย แต่ทั้งนี้จำนวนกรรมการรวมทั้งสิ้นต้องไม่เกินสิบห้าคน
2. แต่งตั้งรองประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดังนี้
1) นายทองเปลว กองจันทร์ รองประธานกรรมการ
2) นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรรมการ
3) นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป โดยผู้ที่ได้รับแต่งแทนนี้ให้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน
24. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มจำนวนกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอดังนี้
1. ให้คณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีจำนวนทั้งสิ้น 15 คน ประกอบด้วยประธานกรรมการ จำนวน 1 คน กรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 13 คน และผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่บัญญัติให้รัฐวิสาหกิจใดมีความจำเป็นต้องมีกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้เป็นการเฉพาะราย แต่ทั้งนี้จำนวนกรรมการรวมทั้งสิ้นต้องไม่เกินสิบห้าคน
2. แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจำนวน 11 คน ดังนี้
1) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธานกรรมการ
2) นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร เป็นกรรมการ
3) นายดนุชา พิชยนันท์ เป็นกรรมการ
4) นายศักดิ์ เสกขุนทด เป็นกรรมการ
5) เรืออากาศโท กมลนัย ชัยเฉนียน เป็นกรรมการ
6) นายนิกร สุศิริวัฒนนนท์ เป็นกรรมการ
7) นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ เป็นกรรมการ
8) นายเชวง ไทยยิ่ง เป็นกรรมการ
9) พลตำรวจตรี วิวัฒน์ ชัยสังฆะ เป็นกรรมการ
10) นายพนิต ธีรภาพวงศ์ เป็นกรรมการ
11) พลเอก ภาณุวัชร นาควงษม์ เป็นกรรมการ แทนนายสุรงค์ บูลกุล โดยให้มีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ที่ตนแทน
ทั้งนี้ แต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี