เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่ตึกบี ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กลุ่มภาคีนิรนาม ได้นัดจัดกิจกรรม "#Savepornhub" โดย น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง กล่าวว่า ตนตั้งใจมาหาเพื่อน ไม่ได้ตั้งใจมาร่วมชุมนุม ซึ่งส่วนตัวมองเรื่องการปิดเว็บดังกล่าวว่าเป็นเรื่องอำนาจของรัฐ รัฐมีอำนาจโดยชอบธรรมในการสั่งปิดเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายนี้ของรัฐหละหลวม มีประชาชนร้องเรียนมานานหลายปี แต่ไม่เคยเป็นผลสำเร็จ จึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการคอรัปชั่นในระบบราชการหรือไม่ เนื่องจากจะเห็นว่าเว็บไซต์ดังกล่าวมีโฆษณาพนันออนไลน์แฝงอยู่จำนวนมาก มีเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ภายใน และแม้ว่าที่ผ่านมาอาจจะมีการสั่งปิดหลายครั้ง แต่เป็นรูปแบบปิดๆ เปิดๆ ไม่ได้ปิดแบบจริงจัง ซึ่งมองว่าเป็นวงจรอาชญากรรมออนไลน์ เพราะไม่มีระบบยืนยันตัวตน อีกทั้งยังเคยมีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกถ่ายคลิปอาณาจารและนำมาเผยแพร่ในเว็บดังกล่าว จนสร้างความเสียหายถึงชีวิตมาแล้ว ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ใช้กฎหมายนี้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
โดยมองว่า การออกมาทำกิจกรรมใช่ pornhub ครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงออกจากกลุ่มที่คิดว่า ถูกบังคับโดยรัฐ และถูกดำเนินการแบบสองมาตรฐาน ใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อถึงเวลาปิด pornhub ขึ้นมา กลุ่มคนที่คัดค้านจึงไม่ได้ดูข้อมูลอะไรเลย ไม่เคยรู้ว่ามันถูกปิดมาหรือยัง ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร หรือแม้กระทั่งรู้ว่าตามกฎหมายไทย รัฐมีอำนาจในเรื่องนี้โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ และเกิดจากกระแสใต้โดยที่ไม่รู้ ซึ่งมีความน่าเป็นห่วงในเรื่องความเป็นขั้วทางการเมือง เพราะรัฐบาลทำอะไรก็ผิดหมด จนผู้ชุมนุมทำอะไรก็ถูกหมด ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
สำหรับเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นการทำงานตามปกติของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ที่จริงแล้วขอตำหนิด้วยว่าทำไมถึงพึ่งมาทำ แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้จะมีการปิดบ้างแล้ว ตนมองว่าวันนี้สังคมควรที่จะตั้งรับ อย่ามองอะไรเป็นขาวเป็นดำตลอดเวลา มันไม่ใช่อย่างนั้น
ส่วนแนวทางการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อเป็นคนกลางในการหาทางออกให้บ้านเมืองในขณะนี้นั้น มองว่า พื้นที่ตรงกลางที่ดีที่สุดก็คือการจัดให้มีการดีเบตโดยสื่อ แต่ขณะนี้ปัญหาคือ พิธีกรที่จัดรายการก็คงมีกลัวคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งทุกวันนี้คนจัดรายการโทรทัศน์ก็ยังกลัวว่าจะถูกปิดอยู่ตลอด ซึ่งตรงนี้คิดว่า กสทช.ควรต้องมีบทบาทให้ดีเบตได้ และพูดถึงได้ ไม่ใช่ทำให้สื่อรู้สึกว่าพูดถึงไม่ได้เลย เพราะเมื่อสื่อมวลชนกระแสหลักถูกทำให้รู้สึกว่าพูดถึงไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนเหล่านี้จะไปพูดกันในพื้นที่ ที่มีแต่ 2 ขั้ว และใช้ความรุนแรงใส่กัน แต่หากสื่อกระแสหลักเปิดพื้นที่ ก็จะมีคนได้ใช้พื้นที่ตรงนี้มากมาย
อย่างไรก็ตาม นอกจากสื่อแล้วคิดว่ามีใครที่สามารถมาเป็นคนกลางในการประนีประนอมได้หรือไม่นั้น มองว่า ประเทศไทยมีทั้งคนซ้าย คนขวา และคนกลาง เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปหาใครเพิ่มเติม ซึ่งวันนี้ไม่มีพื้นที่ จึงทำให้มีแค่ความคิดเห็นของคน 2 ขั้ว ซึ่งถือเป็นสิ่งที่อันตรายมาก
ส่วนในภาพรวมแล้วเราควรหาทางออกในเรื่องนี้อย่างไรนั้น เรื่องนี้ง่ายมาก เพราะที่สุดแล้วก็ต้องไปจบที่การแก้ไขกฎหมาย ในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือกระบวนการในรัฐสภา ซึ่งหากจะแก้ไขมาตรา 112 ส.ส.จำนวน 20 คน ก็สามารถเสนอให้พูดคุยเพื่อนำไปสู่การแก้ไขได้แล้ว แต่วันนี้ต้องถามว่าสังคมพร้อมที่จะพูดคุยกันด้วยเหตุผลหรือไม่ เพราะหากสังคมบอกว่าพร้อม ส.ส.20 คนก็จะไม่กลัว แต่ที่สุดแล้วได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ว่าสังคมพร้อมจะพูดคุยกันด้วยเหตุผลหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี