ปชป.นัดส.ส.ประชุมถกแก้ไขรธน. 16 พ.ย.นี้ ด้าน ‘องอาจ’ ชี้ ‘อภินิหารทางการเมือง’ อาจเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครคาดคิด ฝากสมาชิกรัฐสภาคำนึงส่วนรวม-ช่วยกันหาทางออกประเทศ
15 พฤศจิกายน 2563 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าและประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการพิจารณาญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2563 ว่า ตนได้เชิญ ส.ส. ของพรรคฯ ประชุมในวันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา 13.30 น. เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ร่าง ที่จะมีการพิจารณากันในวันที่ 17 และ18 พฤศจิกายน นี้ ซึ่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 7 ร่างนี้ รัฐสภาได้มีการอภิปรายไปแล้ว 6 ร่าง จึงจะไม่มีการอภิปรายอีก ส่วนร่างที่เสนอเข้ามาใหม่คือร่างที่ประชาชนลงชื่อเสนอให้รัฐสภาพิจารณาที่เรียกว่าร่างไอลอว์ จะมีการอภิปรายแสดงความคิดเห็น หลังจากนั้นจะมีการลงมติว่าจะรับหรือไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดบ้าง
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะเปิดโอกาสให้ ส.ส. แสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางเพื่อพิจารณาให้รอบด้านมากที่สุด ส่วนการลงมติว่าจะรับร่างใดบ้างนั้น ทางที่ประชุม ส.ส. ได้เคยประชุมและมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ว่า จะรับร่างที่เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาลที่ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมลงชื่อด้วย และร่างที่เสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้านที่มีหลักการใกล้เคียงกัน สำหรับร่างของไอลอว์คงต้องรอฟังความคิดเห็นของ ส.ส. ว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร
“กรณีที่มีความวิตกกังวลว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะมีการลงมติไม่ให้ผ่านทั้งหมดนั้น ขณะนี้คงบอกไม่ได้ คงต้องรอจนถึงเวลาลงมติ อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว รัฐสภากำลังจะลงมติรับหรือไม่รับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ดีๆ ก็มีการเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาก่อนรับหลักการ พอมาถึงวันนี้กำลังนัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกันต่อ ก็มี ส.ว. รวมกับ ส.ส.รัฐบาลส่วนหนึ่งเข้าชื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ร่างของรัฐบาลฝ่ายค้านและไอลอว์จะทำได้หรือไม่” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า เพราะฉะนั้นการประชุมรัฐสภาวันที่ 17-18 พฤศจิกายน นี้ จึงไม่มีใครให้หลักประกันได้ว่าจะมีการลงมติหรือไม่ และผลจะออกมาอย่างไร เพราะอาจมีอภินิหารทางการเมืองทำให้เกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนก็ได้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าไม่มีอภินิหารอะไร อย่างน้อยที่สุดร่างของรัฐบาลและฝ่ายค้านน่าจะผ่านไปได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะมีเสียง ส.ว. ประมาณ 84 เสียงลงมติให้ผ่านหรือไม่ ตามเงื่อนไขของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องมีเสียง ส.ว. เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งยังแผ่กระจายไปเกือบทุกหย่อมหญ้าจึงถือเป็นวาระสำคัญของบ้านเมือง ที่ทุกฝ่ายต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบก่อนตัดสินใจที่จะดำเนินการอะไร เพราะถ้าวางแผนพลาด หรือตัดสินใจผิด ก็อาจทำให้ประเทศติดหล่มจมปลักอยู่กับความขัดแย้งจนยากจะเยียวยา
“โดยเฉพาะสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต้องถือว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สามารถช่วยกันใช้เวทีรัฐสภาหาทางออกให้ประเทศได้ จึงขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนว่าจะช่วยกันหาทางออกให้ประเทศ หรือจะสร้างทางตันให้ประเทศ ฝากทุกฝ่ายคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องโดยร่วมกันคล้องแขนนำพาประเทศไทยเดินหน้าต่อไปให้ได้ เพื่อลูกหลานของเราในอนาคต” นายองอาจ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี