“รัฐสภา”อภิปรายเดือด หลังเจ้าหน้าเริ่มปฏิบัติการกับผู้ชุมนุม “วิรัช” ย้ำผู้ชุมนุมห้ามเข้าใกล้รัฐสภาเกิน 50 เมตร หากล้ำเขต เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเฉียบขาด “หมอชลน่าน” ของขึ้นถ้าเจ้าหน้าที่รุนแรง จะมีสภาไว้ทำไม ยุบสภาไปเลยหรือ
เมื่อเวลา 15.15 น. หลังจากที่สมาชิกรัฐสภาสลับลุกขึ้นอภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิกา (กมธ.)พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ก่อนรับหลักการ สรุปรายงานว่า คณะกรมธ.ชุดนี้เกิดจากการตั้งของสมาชิก เพราะอยากให้พิจารณาก่อนรับหลักการ หลายคนบอกว่า เป็นการเยื้อเวลา ทำให้เสียเวลา ซึ่งไม่ได้เสียวลา เพราะถ้าโหวตเมื่อวันที่ 24 ก.ย.แล้วไม่ผ่าน ญัตติต้องตกไป แล้วจะเข้าทางใคร ดังนั้นการเสียเวลาไปหนึ่งเดือนก็ไม่ถือว่าเสียเวลา และการทำงานก็ผ่านมาด้วยดี และเป็นการรอร่างของไอลอว์ เพื่อพิจารณาไปพร้อมกัน ซึ่งร่างไอลอว์ ต้องรอฟังการชี้แจงของผู้เสนอก่อนว่า จะเป็นอย่างไร จึงยังตอบไม่ได้ว่า จะผ่านหรือไม่
นายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ได้แจงว่า เมื่อไม่มีสมาชิกอภิปราย และกมธ.ได้ชี้แจงแล้ว เป็นอันว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นหารือว่า บรรยากาศบริเวณนอกรัฐสภาขณะนี้มีการฉีดน้ำใส่กลุ่มผู้ชุมนุมหลายครั้งแล้ว และเจ้าหน้าที่ได้เตรียมกระสุนยางเตรียมที่จะใช้ความรุนแรง จึงขอให้ประธานประสานงานกับเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่มาชุมนุม และให้ประชาชนเข้ามาชุมนุมตามสิทธิ์ได้ อย่างน้อยช่วยประสานไปยังเจ้าหน้าที่ไม่อยากให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ
นายพรเพชร กล่าวว่า ตนเห็นด้วยและได้แจ้งให้เลขาธิการสภาฯประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่าให้เกิดการรุนแรงขึ้น และทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า แนวทางการชุมนุมแม้จะใช้ตามสิทธิ์แต่ก็ควรใช้ตามกฎหมาย และที่สำคัญวันนี้เราทำหน้าที่กันในสภาก็อยากจะทำงานให้เต็มที่ตัดสินใจโดยอิสระ ไม่มีการกดดันจากประชาชนทุกกลุ่ม ตนคิดว่า วันนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว แต่มีหลายกลุ่มที่มาเรียกร้องต่อรัฐสภา จึงไม่อยากให้มากดดันการทำงานของเรา และอยากให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านดูแลความปลอดภัยของสมาชิกรัฐสภาเพื่อทำงานเต็มที่ เพราะการลงมติครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญและทำหน้าที่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ด้านนายวิรัชกล่าวว่า ผู้ชุมนุมทุกฝ่ายต้องอยู่นอกเขต 50 เมตร รอบรัฐสภาตามกฎหมาย หากใครใช้กำลังพยายามเพื่อบุกเข้ามากดดัน บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเฉียบขาด
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฟังดูที่นายวิรัชกล่าว เหมือนจะสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงได้ แต่ก็มองว่าควรจะมีการผ่อนปรนบ้าง และตั้งข้อสังเกตว่าการต้อนรับผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน ผู้ชุมนุมที่สนับสนุนรัฐบาลสามารถเข้ามาเขตภายในได้
ขณะที่น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่ใช้วิธีการเจรจา แต่กลับใช้วิธีการฉีดน้ำและกระสุนยาง จึงขอให้ใช้มาตรการเป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมาย เพราะผู้ชุมนุมอยากจะมาติดตามการประชุมรัฐสภาและขอให้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมทั้งสองฝ่ายปฏิบัติ หากรุนแรงกับประชาชนเช่นนี้ ก็ไม่ควรมีรัฐสภาอยู่ หรือจะยุบสภาไปเลย
นางอมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอให้เปิดโอกาสให้มีตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมทุกฝ่าย เข้ามารับฟังการประชุมรัฐสภาเพื่อลดแรงกดดัน เพราะบรรยากาศภายนอกกำลังถูกขู่ใช้กระสุนยาง
นายพรเพชร จึงชี้แจงอีกครั้งว่า เลขาธิการสภาฯได้โทรหาตนว่ามีอำนาจหน้าที่อยู่แค่ภายในรัฐสภา ไม่สามารถไปจัดการข้างนอกได้
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ขอให้ประธานที่ประชุมควบคุมการประชุม เพื่อดำเนินการตามระเบียบวาระต่อไป และจากการติดตามรายงานสดการชุมนุมด้านนอก ก็เป็นการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.การชุมนุม และไม่ควรให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามารับฟังในรัฐสภา เพราะจะเป็นการกดดันการทำหน้าที่
จากนั้นนายพรเพชรจึงดำเนินการตามระเบียบวาระต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี