อสส.แจงยิบ
ปมไม่ฟ้อง‘น้องธนาธร’
เหตุตร.ไม่ตั้งเป็นผู้ต้องหา
คณะโฆษกอัยการฯ แถลงชี้แจงคดี“น้องชายธนาธร”ติดสินบนเจ้าหน้าที่ 20 ล้าน ซื้อที่ดินทรัพย์สินฯ ระบุอยู่ที่พนักงานสอบสวนกำลังทำสำนวน ยังไม่ส่งถึงมือให้อัยการพิจารณาสั่งคดี ข่าวที่ปรากฏยังคลาดเคลื่อน ไม่ใช่อัยการสั่งไม่ฟ้อง“สกุลธร” ด้าน”วัชระ”ร้อง กมธ.กฎหมาย บี้สอบซ้ำ “สิระ”รับลูกคาดพิจารณา16 ธ.ค. ‘ปารีณา’ทวงปมคดี“แม่ธนาธร”รุกป่า ผ่านร่วม 2 ปีคดียังไม่คืบ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 9 ธันวาคม ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ คณะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดชุดใหม่ นำโดย นายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด, พร้อมด้วยรองโฆษกฯ อีก2 คน นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ และนายประยุทธ เพชรคุณ ร่วมกันแถลงข่าว กรณีการเสนอข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องและไม่ดำเนินคดีนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริษัทเรียลแอสเสท ดิวิลอปเม้นท์ จำกัด น้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กรณีการให้สินบนเจ้าหน้าที่สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) จำนวน 20 ล้านบาท
โดยคดีดังกล่าว เป็นคดีระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มอบอำนาจให้ นายอิศรา จารุวนิชกุล ผู้กล่าวหา ดำเนินคดีกับ นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ และนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช ผู้ต้องหาทั้งสอง ซึ่งถูกตั้งข้อกล่าวหา ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม และร่วมกันเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจ หรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยทุจริต หรือผิดกฎหมาย ให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่ เหตุเกิดเมื่อ มี.ค. - พ.ย. 2560 ต่อเนื่องกัน ในท้องที่แขวงดุสิต เขตดุสิต และแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง โดยคดีดังกล่าวศาลมีคำสั่งจำคุกผู้ต้องหาทั้งสอง ไปแล้ว เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562
นายอิทธิพร กล่าวว่า จากการตรวจสำนวน เมื่อต้นปี 2560 พบว่า นายประสิทธิ์ และนายสุรกิจ ผู้ต้องหาทั้งสอง ได้ร่วมกันปลอมหนังสือราชการของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 ฉบับ แล้วนำไปแสดงต่อนายสกุลธร ว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ มีที่ดินจะให้เช่าเพื่อทำธุรกิจ 2 แปลง ย่านซอยร่วมฤดี และในเขตสำนักงานใหญ่องค์การโทรศัพท์ ชิดลม นายสกุลธร ให้ความสนใจจึงตกลงว่าจ้างนายสุรกิจ เป็นผู้แทนดำเนินการเรื่องดังกล่าว วงเงินสัญญาจ้าง 500 ล้านบาท เพื่อให้นายสุรกิจ ติดต่อนายอิศรา โดยอ้างว่า จะนำไปจ่ายค่าจ้างดำเนินการเพี่อ ”ล็อกผู้ใหญ่” โดยมีการจ่ายเงินงวดแรกเมื่อเดือน ม.ค. 2560 จำนวน 5 ล้านบาท โดยให้นายประสิทธิ์ นำไปให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินทำเอกสารปลอม ส่งให้นายสุรกิจนำไปให้นายสกุลธร เพื่อเป็นการยืนยันว่าผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เช่าที่ดินแล้ว
นายอิทธิพร แถลงต่อว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2560 นายสกุลธรได้จ่ายเงินให้อีก 5 ล้านบาท มีการนัดทำสัญญาโดยระบุว่า นายสกุลธรได้สิทธิเช่าที่ดินทั้ง 2 แปลง และขอให้นายสุรกิจ เร่งดำเนินการ พร้อมกับออกเอกสารเชิญบริษัทฯ ให้เข้าร่วมประชุม ทำให้นายสกุลธร จ่ายเงินให้นายสุรกิจอีก 10 ล้านบาท รวมจ่าย 3 ครั้งเป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่ปรากฎว่าเมื่อถึงวันนัดหมายได้มีการยกเลิกการประชุม นายสกุลธร จึงได้ทวงถามขอเงินคืนนายสุรกิจ ได้คืนเงินให้นายสกุลธร 7 ล้านบาท
นายอิทธิพร กล่าวด้วยว่า ต่อมาสำนักงานทรัพย์สินฯ ทราบเรื่อง จึงให้นายอิศราเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวสกองปราบปรามและได้ออกหมายจับผู้ต้องหา ทั้ง2 คน คือนายประสิทธิ์และนายสุรกิจ โดยผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2562 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 3 ปี
ทั้งนี้อัยการสำนักงานพิเศษฝ่ายปราบปรามการทุจริต 4 ได้เสนออัยการฝ่ายคดีศาลสูงไม่ยื่นอุทธรณ์ และได้ส่งสำนวนความเห็นคำสั่งไม่อุทธรณ์ไปที่ ผบ.ตร.เพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งทาง ผบ.ตร. เห็นชอบกับคำสั่งไม่อุทธรณ์คดีของอัยการฝ่ายคดีศาลสูง คดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษา
ด้านนายชาญชัย รองโฆษกฯ กล่าวเสริมว่า ข้อเท็จจริงในคดีมีผู้ต้องหา 2 คนที่เกี่ยวข้องกับนายสกุลธร โดยอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองในความผิดฐานเรียกรับสินบน ส่วนนายสกุลธรอยู่ในฐานะพยาน แต่เมื่อปรากฏข้อมูลในศาลว่า นายสกุลธรอาจไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนก็ได้ตั้งสำนวนขึ้นอีก 1 คดี และกำลังดำเนินการสอบสวนพฤติการณ์ของนายสกุลธร ว่ามีความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานหรือไม่ ซึ่งตรงจุดนี้อัยการไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้ ถ้าพนักงานสอบสวนทำสำนวนเสร็จและส่งให้อัยการพิจารณาแล้ว อัยการก็สามารถสั่งสอบพยานเพิ่มเติมได้ ดังนั้น ตามที่ปรากฏข่าวว่าอัยการไม่ดำเนินคดีหรือไม่สั่งฟ้องนายสกุลธรนั้น จึงไม่เป็นความจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนหรือไม่ว่าปัจจุบันดำเนินการด้านคดีไปถึงไหน นายชาญชัย กล่าวว่า กระบวนการสอบสวนของตำรวจมีขั้นตอนเป็นอิสระ และเป็นคนละส่วนกับอัยการ ซึ่งอัยการไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายล้วงลูกได้ แต่สุดท้ายแล้วผลการสอบสวนของตำรวจจะต้องจะส่งมาให้อัยการพิจารณาทำความเห็นเช่นกัน
ถามต่อว่า คำพิพากษาของศาลในสำนวนแรกสามารถใช้เป็นหลักฐานเอาผิดนายสกุลธรได้หรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ศาลวินิจฉัยได้เท่าที่มีการกล่าวหาหรือฟ้องร้องกัน ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้นพนักงานสอบสวนกำลังสอบสวนอยู่ และไม่สามารถนำคำพิพากษามาเป็นส่วนหนึ่งของพยานได้ แต่ข้อเท็จจริงเดียวกันสามารถตามพยานที่ปรากฏมารวบรวมพยานหลักฐานได้
นายประยุทธ รองโฆษกฯ กล่าวเสริมว่า ข่าวที่ปรากฏว่า อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ดำเนินคดีกับนายสกุลธร จึงมีความคลาดเคลื่อน เพราะนายสกุลธรยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหาในสำนวน หากจะถามว่าทำไมไม่แนะนำให้สอบเพิ่ม เนื่องจากพนักงานสอบสวนกำลังดำเนินการ เราไม่สามารถก้าวก่ายได้ และประการสำคัญคำพิพากษาของศาลมีจำเลยเพียงแค่ 2 คน ซึ่งจำเลยรับสารภาพโดยดี จึงไม่มีการสืบพยาน ดังนั้น สำนวนคดีใหม่ของนายสกุลธร จึงไม่อยู่ในคำพิพากษา
ที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายสิระ เจนจาคะส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธาน กมธ.การกฎหมายฯ เป็นผู้รับหนังสือ เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีที่นายสกุลธร ให้เงินเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) จำนวน 20 ล้านบาท แลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาวบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ย่านชิดลม มูลค่า 500 ล้านบาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นเรื่องดังกล่าวต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) และสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)มาแล้ว โดยนายวัชระ กล่าวว่า การมายื่นเรื่องในครั้งนี้ เพื่อขอให้บรรจุเรื่องดังกล่าว เพื่อค้นหาความยุติธรรม เนื่องประชาชนมีความสงสัยว่า เหตุใดพนักงานสอบสวนจึงไม่มีการสั่งฟ้องนายสกุลธร จะเป็นการซ้ำรอยคดีบอสกระทิงแดงหรือไม่
ด้าน นายสิระ กล่าวว่า คาดว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ กมธ. ได้ในวันที่ 16 ธันวาคมนี้ โดยจะเชิญฝั่งของนายสกุลธรมาให้ข้อมูลด้วย จะสอบถามว่า รอดได้อย่างไร ใช้วิธีไหนถึงไม่ผิด ส่วนนายธนาธร จะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ต้องขอตรวจสอบก่อน ถ้าทำในนามบริษัท ตนก็จะเชิญทั้งตระกูล ก็ขอให้ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจสบายใจได้ในเรื่องนี้ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง
วันเดียวกัน นายสิระ ยังรับหนังสือจาก น.ส.ปารีณา ไกรตุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่ยื่นให้ตรวจสอบความคืบหน้าคดีครอบครองที่ดินของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของนายธนาธร โดย น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ตนได้ยื่นร้องเรียนไปที่อธิบดีกรมป่าไม้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว โดยเป็นการติดตามใน 5 ประเด็น คือ 1.การออกเอกสารสิทธิ์ โฉนด นส.3 ในที่ป่าไม้ถาวรและป่าสงวนแห่งชาติ 2.การตัดไม้ในที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ออกในที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าไม้ถาวร โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่ผิดทั้งที่ยังไม่มีการตรวจสอบชัดเจน 3.การครอบครอง นส.2 โดยผิดกฎหมาย 4.ครอบครอง ภบท.5 แต่ป่าไม้จังหวัดราชบุรีแก้ไขทำบันทึกใหม่ ว่า นางสมพรไม่มีพื้นที่ ภบท.5 และ5.นางสมพรครอบครองที่ดินกว่า 3 พันไร่ ชาวบ้านทวงถามยังไม่ได้คืน ส่วนที่คืนให้ป่าไม้ 500 ไร่ก็ยังไม่ถูกดำเนินคดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี