รัฐบาลโต้ยูเอ็น
ยันดำเนินคดีม็อบม.112
ยึดขั้นตอนกฎหมายไทย
‘ประวัฒน์’ลาออกทิ้งพท.
ลุ้นสุดารัตน์ตั้งพรรคใหม่
รัฐบาลประสาน กระทรวงการต่างประเทศ ตอบโต้ “ยูเอ็น” หลังแถลงกังวลคุมผู้ชุมนุม แจงดำเนินคดี ม.112 ยึดเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย “แรมโบ้” ย้ำดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำละเมิด เหิมเกริม ขณะเพื่อไทย ยังสาละวันเตี้ยลง “ดร.ประวัฒน์ อุตตะโมต” ยื่นใบลาออกตาม “หญิงหน่อย” จับตาตั้งพรรคใหม่รองรับ
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากกรณีที่ โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการใช้ มาตรา112ต่อผู้ชุมนุมในไทยนั้น
ในเบื้องต้นได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อชี้แจงดังนี้1.กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน การใช้เสรีภาพทางวิชาการ หรือการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบกษัตริย์ในฐานะสถาบัน กฎหมายนี้มีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงในประเทศไทยก็เพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ พระราชินี มกุฎราชกุมาร หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในลักษณะเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทสำหรับพลเมืองไทยทุกคน
ยันคดีม.112ยึดตามขั้นตอนกม.
2.สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกระบวนกฎหมายอาญาในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งนี้ หากมีการดำเนินการในกรณีดังกล่าวก็จะเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งในกรณีจำนวนมากก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษ 3.ต่อกรณีการตั้งข้อหาผู้ประท้วงวัย16ปีตามประมวลกฎหมายอาญาม. 112 ได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของศาลเยาวชน ยิ่งกว่านั้นมันก็เป็นไปตามที่โฆษกของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งประชาชาติที่ได้ระบุระหว่างการแถลงข่าวเองว่า ศาลได้ปฏิเสธคำขอให้มีการคุมขัง พร้อมกับอนุญาตให้ประกันตัวแบบมีเงื่อนไข 4.ขอย้ำอีกครั้งว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผู้ประท้วงไม่ได้ถูกจับกุมเพียงเพราะใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ แต่ผู้ที่ถูกจับกุมได้ละเมิดกฏหมายอื่นๆ ของไทยซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว
ยันไม่ได้ปิดกั้นเสรีภาพแสดงออก
นายอนุชา กล่าวอีกว่ารัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดำเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ
ย้ำต้องสร้างสรรค์แต่ไม่ละเมิดสิทธิ์
“รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือ ใช้คำพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ”นายอนุชา ย้ำ
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สำหรับกรณีการดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย และพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมายโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใดและผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
“รัฐบาลยังมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและนำมาสู่การหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประชาชนทุกกลุ่ม และนำความสงบสุขกลับสู่สังคมไทย”นายอนุชา กล่าว
แรมโบ้ยันรบ.ไม่ได้ลิดรอนสิทธิม็อบ
ด้านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงโฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ(OHCHR)ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการใช้ม.112ต่อผู้ชุมนุมในไทย ยืนยันว่าที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่เคยจำกัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของผู้ชุมนุมและนายกฯหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ใช้เพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพของใครรวมทั้งไม่เคยใช้ในการกลั่นแกล้งใครแต่การชุมนุมที่ผ่านมาเป็นการแสดงออกที่ผิดกฎหมาย ตั้งใจที่จะดูหมิ่น จาบจ้วง สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมากดังนั้นเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายที่มีอยู่ และ
ม.112 ยังถือเป็นกฎหมายที่มีมาอย่างช้านานในประเทศ ขณะเดียวกันการดำเนินการต่างๆถือเป็นเรื่องภายในประเทศที่จำเป็นต้องความคุมบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มบุคคลหรือคนที่ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง
“อยากให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้พิจารณาอย่างรอบด้านด้วยว่าการชุมนุมของผู้ชุมนุม ก็ได้ทำผิดกฎหมายเช่นกัน มีพฤติกรรมดูหมิ่นสถาบันอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่พอใจกับคนในประเทศอย่างมาก แม้แต่การดูหมิ่นคนธรรมดา ยังต้องมีการดำเนินคดีเอาผิดแต่การชุมนุมที่ทำผิดดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดินก็จะต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน”
คนโดนคดีม.112เพราะไปจาบล้วง
นายสุภรณ์ ยืนยันว่า การใช้ ม.112มิได้ใช้เพื่อละเมิดสิทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ตรงข้ามคนที่โดนคดี ม.112นั้น ต่างหากกลับเป็นบุคคลที่ละเมิดสิทธิ์ ก้าวล่วง จาบจ้วง ดูหมิ่นดูแคลนพระมหากษัตริย์องค์รัชทายาท ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามีกฎหมาย ม.112เป็นกฎหมายที่บังคับใช้มานานแล้ว คนไทยส่วนใหญ่ก็ทราบดีและคนไทยส่วนใหญ่ก็ปกป้องสถาบันอยากให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง อย่าปล่อยให้คนส่วนน้อย หรือคนบางคน มาละเมิดกฎหมายจนทำให้บ้านเมืองชุลมุนวุ่นวายแทบปกครองไม่ได้
“อย่าลืมว่าที่นี่คือประเทศไทยที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ปกครองอย่างสงบสุขร่มเย็นมายาวนาน สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยทั้งชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ละทุกรัชกาลทุกยุคทุกสมัยพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมายทุกพระองค์ที่ได้ทุ่มเทเสียสละดูและราษฎรให้อยู่ดีกินดีอย่างมีความสุข ทำไมคนไม่กี่คนจึงต้องมาลิดรอนสิทธิ์พระองค์ท่าน ทำไมต้องมามาจาบจ้วงก้าวล่วงดูหมิ่นดูแคลนถ้าอยู่ปกติสุขอยู่แบบคนทั่วไป เหมือนดังเช่นคนส่วนใหญ่ของประเทศมาตรา112จะไม่มีโอกาสได้บังคับใช้กับใครเลยแม้แต่คนเดียวในประเทศนี้”
แนะยูเอ็นช่วยรับผู้ชุมนุมออกไป
นายสุภรณ์ กล่าวว่าข้อเสนอของตน อยากให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่(OHCHR)ถ้ามองว่ารัฐบาลไทยหรือ เจ้าหน้าที่รัฐ จำกัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ของกลุ่มคนที่คิดล้มล้างสถาบันและฝ่าฝืนกระทำผิดกฎหมาย ม.112 เหล่านี้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯช่วยกรุณาส่งเจ้าหน้าที่มารับพวกคนเหล่านี้ไปอยู่ประเทศ ที่ท่าน คิดว่าดีเลิศในสายตาคนเหล่านี้ พวกเขาจะได้มีสิทธิเสรีภาพตามต้องการ อยากชุมนุมเรียกร้องอะไรได้ตามใจโดยไม่ผิดกฎหมายช่วยรีบรับไปโดยเร็ววันเถอะครับ พี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศที่รักสถาบันกษัตริย์ จะได้อยู่อย่างสงบร่มเย็นและมีความสุขที่สุดในชีวิต
ซัดอีแอบหายหัวหลังยุเด็กโดนม.112
ด้าน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านโพสต์บุ๊ก มีรายละเอียดดังนี้ “112 กฎหมายศักดิ์สิทธิ์”แกนนำม็อบเริ่มทยอยไปรายงานตัวกับตำรวจ กำลังเดินหน้าสู่กระบวนการยุติธรรม เลยทำให้เกิดละครดราม่าหน้าโรงพักบ้าง ความจริงก่อนถึงวันนี้ มีเสียงเตือนกันมาโดยตลอด ห้ามก็ไม่เชื่อ ว่าสถาบันไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง อ้างแต่ประชาธิปไตย อ้างแต่เสรีภาพ ทุกสังคมทุกประเทศต้องมีกฎหมายในลักษณะห้าม ไม่ใช่อ้างเสรีภาพ แต่คุกคาม ให้ร้ายสถาบัน จำไว้ ทุกประเทศต่างมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองประมุขของประเทศ ไม่ใช่มีเฉพาะประเทศไทย จำใส่สมองไว้ ที่ประเทศไทยเป็นอยู่นี้ ฝีมือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งล้วนๆ ที่ไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ แต่รุมแทะประเทศด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น
“เวลาอย่างนี้ บรรดาอีแอบ บรรดาคนที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศเงียบหมด อีบ่าง ที่ยุให้เด็กปฏิรูปสถาบัน ม.112 เป็นกฎหมายปิดปาก ล้าหลังหายหัวหมดโบราณสอนว่า ให้คิดก่อนพูด ส่วนภาษากฎหมายบอกว่า กรรม(พูดและแสดงออก)เป็นเครื่องชี้เจตนา ชะตากรรมของบรรดาแกนนำม็อบจะเป็นอย่างไร ศาลสถิตยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสิน”
“ดร.ประวัฒน์”ลาออกทิ้ง พท.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่าดร.ประวัฒน์ อุตตะโมต อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ และอดีต ส.ส.จันทบุรี หลายสมัย ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อม ทั้งส่งเรื่องดังกล่าวแจ้งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ตั้งแต่วันที่ 18ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยนายประวัฒน์ ถือเป็นส.ส.หลายสมัยที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยภาคตะวันออก ให้ความเกรงใจจึงคาดว่าหลังจากนี้จะมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยในภาคตะวันออกอีกหลายคนลาออกตามนายประวัฒน์ไปซึ่งคาดว่านายประวัฒน์จะไปร่วมงานการเมืองกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ลาออกจากพรรคเพื่อไทยไปตามที่มีกระแสข่าวเตรียมตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้น
จับตา“สุดารัตน์”ตั้งพรรคสร้างไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าสำหรับพรรคการเมืองใหม่ ที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะไปจัดตั้งนั้นจะเป็นการรวมตัวของอดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ลาออกไปก่อนหน้านี้เช่นนายโภคิน พลกุล นายวัฒนา เมืองสุข รวมถึงมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคนที่ลาออกตามคุณหญิงสุดารัตน์ไปเช่นน.ส.ภูวนิดา คุนผลิน อดีต ส.ส.กทม.หลายสมัยคาดว่าจะใช้ชื่อพรรคว่า‘พรรคสร้างไทย’ตามชื่อกลุ่มที่คุณหญิงสุดารัตน์ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ในตอนนี้
หลังจากนี้ต้องจับตาดูว่าจะมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยคนไหนลาออกตามคุณหญิงสุดารัตน์ไปอีกบ้าง เพราะแม้ปัจจุบันคุณหญิงสุดารัตน์ จะลาออกไปจากพรรคเพื่อไทยแล้วก็ยังคงลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทยหาเสียงอยู่โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานจึงมีความเป็นไปได้ว่าหากมีการเลือกตั้งในอนาคต ส.ส.หรือ อดีต ส.ส.ภาคอีสานรวมทั้งภาคเหนือ ภาคกลางของพรรคเพื่อไทย อาจจะออกไปร่วมงานการเมืองกับคุณหญิงสุดารัตน์ ที่สำคัญจะต้องดูเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญที่จะมีการแก้ไขด้วยว่า เมื่อแก้ไขแล้วพรรคจะกำหนดยุทธศาสตร์ให้พรรคมีจุดในรูปแบบใด
‘ชวน’แจ้งงดประชุมสภา30-31ธค.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกหนังสือด่วนมาก ที่ สผ0014/ผ 67 ถึง ส.ส. เรื่อง งดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตามที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติให้มีการประชุมสัปดาห์ละ 2 วัน คือวันพุธและวันพฤหัสบดีนั้น นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นสมควรให้งดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันพุธที่ 30 ธ.ค.63 และวันพฤหัสบดีที่ 31 ธ.ค.63 เพื่อให้ ส.ส. ได้มีโอกาสลงพื้นที่ พบปะเยี่ยมเยือนราษฎรและร่วมทำบุญ ตามประเพณีเนื่องในเทศกาลขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2564 โดยจะมีการประชุมชดเชยในวันศุกร์ที่ 22 ม.ค.64
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี