"อนุทิน"ย้ำความร่วมมือไทย-ปากีสถาน พัฒนาสาธารณสุขต่อเนื่อง เร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19ให้เข้าถึงทุกภาคส่วน
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ผ่านมา ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอะศิม อิฟติคัร อะห์มัด (H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนต รีและรมว.สาธารณสุข ในโอกาสเข้ารับหน้าที่
โดย รองนายกรัฐมนตรีฯ กล่าวต้อนรับและชื่นชมบทบาทการทำงานของเอกอัครราชทูตฯ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย - ปากีสถาน ที่มีมาอย่างยาวนาน และยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีให้ครอบคลุมทุกมิติมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งไทยยินดีที่จะสนับสนุนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดในขณะนี้
ด้าน เอกอัครราชทูตฯ ได้ ขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ ซึ่งไทยและปากีสถานต่างเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันเสมอมา โดยในปี 2564 นี้ ถือเป็นวาระครบรอบ 70 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน พร้อมชื่นชมรัฐบาลไทยที่สามารถบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อมั่นว่าไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะศักยภาพทางสาธารณสุขและการให้ความสำคัญกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านต่างๆ ให้มีผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเน้นหลักความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนถึงประชาชน (People-to-people level) เพื่อให้เข้าถึงทุกระดับ อาทิ ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีพุทธและความร่วมมือทางวัฒนธรรม ซึ่งปากีสถานมีแหล่งวัฒนธรรมและโบราณคดีทางพุทธศาสนายุคอารยธรรมคันธาระ (Gandhara) เช่น เมืองตักสิลา ที่จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทยได้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากทั้งสองประเทศมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาที่ใกล้เคียงกัน
ด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองประเทศเห็นถึงศักยภาพที่จะขยายโอกาสทางการค้า ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ ให้ความสนใจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจะพิจารณาแนวทางส่งเสริมการค้าภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย อีกทั้งเห็นว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของปากีสถานในอาเซียนและสามารถเป็นประตูเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงการจัดการด้านสาธารณสุขในสถานการณ์โควิด-19 โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวถึงสถานการณ์ในปากีสถานว่า รัฐบาลปากีสถานได้ใช้นโยบาย Smart lockdown เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีฯ เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดและการพัฒนาและจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ไทยจะต้องร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับประเทศอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยเพื่อเพิ่มโอกาสในการรับการจัดสรร และการพัฒนาวัคซีน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี