'จตุพร'ปลุกตื่นสู้ความยากลำบาก ร่วมฝ่าวงล้อมเผด็จการ ศก.ทุนผูกขาด

'จตุพร'ปลุกตื่นสู้ความยากลำบาก ร่วมฝ่าวงล้อมเผด็จการ ศก.ทุนผูกขาด

วันอาทิตย์ ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2564, 16.37 น.

"จตุพร"ชูสามัคคีไทยดันเปลี่ยนแปลง ปลุกตื่นสู้ความยากลำบาก ร่วมฝ่าวงล้อมเผด็จการ ศก.ทุนผูกขาด สมคบผู้มีอำนาจก่อทุกข์ยากปากท้อง ปชช.

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ โดยย้ำถึงความเปลี่นแปลง ภายหลังการยึดอำนาจ และผลพวงของการรัฐประหาร จะทำให้ประชาชนทุกฝ่าย ได้รับชะตากรรมและเห็นภาพอย่างเดียวกัน


นายจตุพร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เราต้องยอมรับความจริงว่าเมื่อซีกใดซีกหนึ่งพูด อีกซีกหนึ่งก็จะไม่ฟัง และบรรยากาศก็อาจจะไม่มีความสับสนเนื่องจาก เมื่อ 7 ปีที่แล้ว Social Media ยังไม่แรงขนาดนี้ แต่ แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า การสะสมความยากลำบากในตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ต้องอดทนกับสารพัดเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความยากลำบาก และวันนี้ก็เช่นกัน ตนกว่าจะผ่านได้แต่เรื่อง หากไม่มีบรรดาหมู่มิตรคงจะยืนด้วยความยากลำบาก แต่การทำโครงการไทยช่วยกันนั้นก็เป็นเรื่องของบรรดาหมู่มิตรที่ช่วยกัน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความอลหม่านตนก็ถูกหยิบยกขึ้นไปใน Social Media ปั่นข่าวย้ายขั้วสลับข้าง ทั้งที่ตนไม่ได้ไปไหน พร้อมย้ำจุดยืนของสถานีโทรทัศน์พีซทีวี เป็นสถานีที่ต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบ ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร คนบางจำพวก ก็ยังยืนยันที่จะยัดข้อกล่าวหานี้ ทั้งที่ตนก็ยังยืนอยู่ในจุดเดิม จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการไปแจ้งความดำเนินคดีที่ ปอท.ซึ่งรอบแรกยื่นฟ้องไป 200 คนและรอบที่ 2 จะดำเนินการในสัปดาห์นี้ แต่เนื่องจากต้องดำเนินการกว่า 200 คดีแรกให้เรียบร้อยก่อน จึงต้องเลื่อนออกไป ดังนั้นอย่าได้กังวลหากมั่นใจว่า ตนย้ายขั้วสลับข้าง ไปยืนกับเผด็จการ ขายตัวทรยศต่ออุดมการณ์คนเสื้อแดงตามที่กล่าวหามานั้นก็ไปพิสูจน์กันในชั้นศาล

ตนยืนอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเสมือนว่ายากลำบากที่ทุกอย่างถาโถมมา แต่สิ่งหนึ่งที่เรายืนหยัดได้เพราะมั่นใจว่า เราไม่ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหา และมีความสุจริตเป็นเกราะกำบัง และยืนหยัดประชาธิปไตยมาตลอดชีวิต โดยการต่อสู้ที่ผ่านมานั้นตนไม่มีเรื่องส่วนตัวกับใคร การพูดคุยกับคนเห็นต่างซึ่งเป็นเรื่องปกติซึ่งทุกฝ่ายก็คุย และเป็นเรื่องปกติของสังคมนี้ที่เราคิดอ่านกันได้ แม้จะมีความแตกต่างกัน

วันนี้เดินมาถึงจุดที่ว่า ต้องเปลี่ยนแปลงและตนในฐานะที่เป็นคนเกิดเดือนตุลาฯ แต่เป็นคนพฤษภา 35 และมาในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 ต่างก็เห็นปรากฎการณ์กันมากมาย จนมาสู่สถานการณ์ปัจจุบันนี้ตนเห็นว่า ความทุกข์ของประชาชนใน พ.ศ. 2564 นั้นเป็นความทุกข์ที่รุนแรง เป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

ดังนั้น จะเห็นว่าคนที่เกิดมาเป็นคนไทยได้เห็นถึงความทุกข์อันนี้และเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทุกคนที่ต้องกล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นตนเชื่อว่าทุกผ่านต่างพยายามใช้ความอดทน แต่ความอดทนนี้ไม่สามารถตอบสนองให้มีการแก้ไขปัญหาได้ และหลายเรื่องราวที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นั้นตนยืนยันเสมอว่า วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต

อีกอย่าง ภายหลังจากการยึดอำนาจโทรทัศน์ช่องพีซทีวี เป็นช่องที่ถูกสั่งระงับออกอากาศมากที่สุดของประเทศไทยและยังมีอีกหลายกรณี ดังนั้นเราพยายามทำหน้าที่ทุกอย่าง แต่สถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ แม้กระทั้งความคิดเรื่องการมอบมรดกการต่อสู้ให้กับคนหนุ่มสาว ก็ถูกแปลเจตนาไป ดังนั้นหากคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่แล้วสบายใจก็ทำไป

เมื่อเราเดินมาถึงจุดหนึ่งและมองเห็นสถานการณ์ของประเทศไทย ตนจึงชวนคนไทยทุกฝ่าย ว่า จะต้องช่วยกันคิดหาทางออกให้กับประเทศไทยได้อย่างไร หากคนไทยต่างรู้ว่า เรามีความยากลำบากและแทบสิ้นหวัง ดังนั้นตนอยากชวนว่า เรามาสร้างความหวังกันใหม่ ว่า เราจะทลายกำแพงเเห่งความเลวร้ายนี้ด้วยตัวเราเอง

ตนยืนยันว่า ทุกอย่างก็จะปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะมีความเชื่อทางการเมืองอย่างไรก็ตาม หากทนกับความอยุติธรรมที่เราเคยทนกันมากว่า 7 ปีนี้ แล้วทนไม่ได้ เราก็มาร่วมมือกัน และความหายนะของประเทศภายใต้เศรษฐกิจปากท้องที่เป็นผลมาจากเผด็จการเศรษฐกิจนายทุนผูกขาด สมคบกับผู้มีอำนาจ เหล่านี้ เราทนไม่ได้และเราต้องคิดร่วมกัน ซึ่งเดินมาถึงจุดที่เราต้องร่วมมือกับทุกฝ่าย และอยากให้เป็นการบ้านของแต่ละฝ่ายว่าเราจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อให้ช่วยกันคิดนำพาของประเทศไทยฝ่าวงล้อมในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า หากทุกฝ่ายสามัคคีกันพาประเทศฝ่าวงล้อม ก็จะไม่มีใครทัดทานขวางประชาชนได้ ตนเชื่อว่าวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ แต่ละฝ่ายก็คิด เพียงแต่ที่ผ่านมาเรามีกำเเพงระหว่างกัน หากทลายกำเเพงนี้ได้ ความเป็นคนไทยทั้งปวง สามัคคีไปพังกำแพงแห่งอำนาจและผลประโยชน์ รวมถึงความเป็นรัฐที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้

เหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะ เราอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ซีกการเมืองก็แทบจะไม่มีความหวัง ฝ่ายรัฐก็ไม่มีความหวัง ดังนั้นเราอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังกันจริงๆ มีเพียงตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ซึ่งหมายถึงประชาชนพึ่งพาประชาชนด้วยกันเอง ว่า สุดท้ายแล้ว หากทนต่อสภาพเช่นนี้ไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องลุกขึ้นมา ส่วนจะลุกขึ้นมาอย่างไรนั้น ตนเชื่อว่าวันเวลาต่อไปนี้จะได้อธิบายกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องรักชาติบ้านเมือง และต้องการเปลี่ยนแปลงให้ชาติบ้านเมืองได้พบกับทางรอด

ดังนั้น ช่วงเวลาถัดจากนี้ไป ตนอยากชวนคนไทยว่า เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสักครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่เราไม่สามารถทนต่อความหายนะของประเทศนี้อีกต่อไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วหากเราไม่ทำอะไรเลย ประเทศก็จะอยู่แบบนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น

พร้อมยืนยันตนไม่มีอคติหรือมายาคติกับใครเป็นการส่วนตัว เพียงแต่การคิดอ่านบนถนนการต่อสู้ที่ผ่านมาและผลลัพธ์ที่เรากำลังคิดอ่านกันต่อไปนั้นคือ สิ่งที่เราต้องการจะเห็นการตื่นของคนไทยที่จะร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ร่วมกัน และจะผ่านความทุกข์ยาก ลำบากนี้ไปด้วยกันในทุกๆด้าน และบัดนี้ได้เวลาแล้ว ภายใต้หลักคิดสามัคมีประเทศไทยเพื่อการเปลี่ยนแปลง

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top