"สุวพันธุ์"ไม่สบายใจม็อบก้าวล่วงสถาบันฯ โยงการสู้โควิด เผยน่าห่วงม็อบปีนี้รุนแรงขึ้น ไม่จบง่ายๆ พร้อมปะทะตำรวจ แนะจนท.ใช้ยาแรง-เด็ดขาด เป็นธรรม
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา กล่าวถึงเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ว่า ได้ติดตามความเป็นไปทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับบุคคลภาคส่วนต่างๆ หลายคนแสดงความเป็นห่วงกังวลบ้านเมือง โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศชาติในแทบจะทุกด้าน ซึ่งรัฐบาลใช้หลากหลายมาตรการจนทำให้การแก้ไขได้รับการยกย่องชมเชยจากประชาคมโลก ถูกนำไปเป็นตัวอย่างในการแก้ไขปัญหาของประเทศต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์ เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นหลักประกันว่าประเทศและประชาชนจะอยู่รอดได้ การฟื้นฟูประเทศในทุกด้านน่าจะต้องใช้เวลาอีก 1 - 2 ปี หรืออาจเลยไปอีก 1 - 2 ปีก็เป็นไปได้
"ประเมินดูแล้วคนไทยเราอาจจะยากลำบากไปอีก 3 ปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบริหารจัดการให้เกิดความราบรื่นเรียบร้อย ไม่เกิดความขัดแย้งความไม่พอใจ เราจึงไม่มั่นใจว่าตลอดเส้นทางในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หวังว่าความสามารถของรัฐบาล ความร่วมมือร่วมใจของคนไทย คุณภาพของวัคซีน จะช่วยผ่อนคลายปัญหาให้ดีขึ้นได้โดยเร็ว"
นายสุวพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มีประเด็นน่าเสียใจอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับการสู้กับโควิด-19 คือ คนไทยบางคนนำเรื่องการแก้ไขปัญหาไปเชื่อมโยงให้กระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ คนที่ชี้นำของพวกเขา ฉลาดพูดฉลาดเขียนชี้ประเด็น วางกรอบความคิด ใส่ร้ายจาบจ้วงด้วยการเขียนพูดชุมนุมปราศรัย สร้างความเข้าใจผิด บ่มเพาะทัศนคติให้เกิดความเกลียดชัง ทั้งที่คนไทยทั่วไปสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พระองค์ท่านมีต่อประชาชน ความช่วยเหลือที่ทรงพระราชทานไปยังทุกภาคส่วนสะท้อนพระราชหฤทัยที่พระองค์มีต่อประเทศชาติและประชาชนเสมอมาในทุกรัชกาล
"เรื่องของสถาบันหลักของชาติเป็นอีกเรื่องที่คนไทยควรติดตามและมีความเข้าใจ เพราะถูกโยงไปถึงระบอบการเมืองการปกครองของประเทศ เกี่ยวพันกับอนาคตของชาติและของคนไทยทุกคน ปีที่ผ่านมาทั้งปีคนไทยผ่านเรื่องนี้มาอย่างหนักหน่วงทีเดียว คนจำนวนมากเสียใจ คนจำนวนมากโกรธ มาถึงปีนี้สถานการณ์ที่จะกระทบกระเทือนสถาบันหลักของชาติก็จะดำรงอยู่ต่อไปทั้งในระบบการเมืองปกติและการขับเคลื่อนบนท้องถนนและสื่อสังคมออนไลน์ เข้มข้นบ้าง หรือเบาบ้างขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมืองและการแก้ไข คิดว่ามาถึงวันนี้คนไทยเริ่มไม่สบายใจขึ้นเรื่อยๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่คนฝ่ายหนึ่งกำลังทำไม่มีเหตุผลเพียงพอที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้"
นายสุวพันธุ์ กล่าวถึงการชุมนุมว่า ปีนี้ ดูแบบผ่านๆ เหมือนผ่อนคลายลง แกนนำที่ลงพื้นที่ชุมนุมถูกดำเนินคดีหลายคดี ได้ประกันตัวบ้างไม่ได้ประกันบ้าง แต่ผมก็ยังเห็นว่าไม่จบลงง่ายๆ เพราะกลุ่มคนส่วนนำยังมีพลังและไม่ได้เดือดร้อนมากมาย กฎหมายไปไม่ถึง สังคมก็อาจมองเห็นไม่ชัด พวกเขาน่าจะขับเคลื่อนต่อ ยังไม่คิดเรื่องการถอย หรือหาทางลง หรือยอมหยุดการเรียกร้อง คงคิดว่าเดินมาถึงขนาดนี้แล้ว ถอยก็คงไม่มีที่ยืนทั้งส่วนนำและแกนนำ ต้องไปต่อ เพราะฉะนั้นปีนี้ก็ยังน่าห่วงเหมือนเดิม สิ่งที่อันตรายต่อสังคมคือการเกิดความรุนแรง แต่ความรุนแรงก็สามารถถูกใช้เป็นความชอบธรรม เราจึงเห็นแนวโน้มของความรุนแรงตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว ลองสังเกตดูว่า เราเห็นการก่อตัวของกลุ่มการ์ด การแต่งตัว อุปกรณ์ที่ใช้ จำนวนและที่มาของการ์ด การฝึกทางร่ายกายและยุทธวิธี การเตรียมอาวุธหรือสิ่งเทียมอาวุธ ที่สำคัญสังคมเห็นมาสองสามครั้งแล้วที่พวกเขายั่วยุให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลัง ดูข่าวให้ครบทุกมุมทุกสำนัก คนไทยจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
นายสุวพันธ์ุ กล่าวว่า ทั้งนี้มีพวกการ์ดมาเล่าให้ฟังว่าพวกเขาพัฒนาขึ้นมากในทางที่พร้อมจะใช้กำลังกับตำรวจ ส่วนนำและแกนนำชุมนุมเลือกใช้วิธีสู้บนท้องถนนในการต่อสู้เพื่อผลทางการเมือง พวกที่เล่าให้ฟังบอกว่าให้สังเกตจากคำปราศรัย การพูดชี้นำ ซึ่งการรณรงค์ จะเข้าใจชัด คำพูดที่บอกว่าต้องการให้คนออกมาให้มากเป็นล้านคน เช่น ต้องออกมาสู้เท่านั้นจึงจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ ไม่ต้องกลัว แกนนำจะติดคุกแทนให้อยู่แล้ว ขอแต่เพียงออกมาบนท้องถนนเท่านั้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนความเชื่อว่าต้องมีปะทะ ต้องมีความรุนแรง คนจึงจะออกมาชุมนุมเรียกร้อง เพราะ ลำพังใช้กิจกรรมเช่นทุกวันนี้ ใช้การออกแบบกิจกรรมให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำมาสองสามครั้งแล้ว ไม่ได้ผล ต้องให้มีคนบาดเจ็บ มีภาพการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่รุนแรง ไม่สมเหตุผล มีเรื่องเล่าของเหยื่อที่อ่อนแอเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ คราวหน้าคนจะได้ออกมาชุมนุมกันเยอะๆ
เมื่อถามว่า แล้วต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ต้องใช้หลักนิติธรรมและการอำนวยความยุติธรรมที่อยู่บนพื้นฐานของความจริง เพราะกระบวนการ ปรองดองก็ยังไม่ทำงาน กว่าจะเกิดผลสัมฤทธิ์คงต้องใช้เวลา ทุกอย่างที่ถกเถียงหรือกล่าวหากันไปมา ใครถูกใครผิด มีแต่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้นที่จะชี้ขาดได้ วันนี้ต้องใช้กฎหมายนำ ต้องมีคนที่รับผิดชอบต่อการสร้างความเสียหายให้สังคม แนวโน้มความรุนแรงในวันนี้น่าจะเกิดขึ้นในที่ชุมนุมเป็นหลัก ชุมนุมย่อยชุมนุมใหญ่เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด ใช้วิธีปฏิบัติที่อดทนอดกลั้น จากเบาไปหาหนัก บังคับใช้กฎหมายต่อคนที่ควรถูกบังคับใช้ ส่วนผู้ชุมนุมก็ต้องยึดหลักความรับผิดชอบต่อกฎหมายและต่อสังคม ใช้สิทธิเสรีภาพภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ไม่ควรยอมรับวิธีการยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง
"ผมเป็นคนไทยที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่สบายใจต่อการกระทำหรือคำพูดที่จาบจ้วง ใส่ร้าย ดูหมิ่น ไร้ซึ่งเหตุผลและข้อเท็จจริงที่แม้แต่บุคคลทั่วไปยังไม่กล่าวหาหรือจาบจ้วงต่อกันเช่นที่บางคนกระทำต่อสถาบันและองค์พระมหากษัตริย์ ผมรู้สึกเหมือนคนไทยทั่วไปที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่เมื่อเกิดเหตุอะไรที่ไม่ส่งผลดีต่อตัวเองหรือพวกพ้องก็โยนมาให้เป็นความรับผิดชอบของสถาบันหรือองค์พระมหากษัตริย์ ทุกคนควรเสมอกันในข้อเท็จจริงที่เราทำ เสมอกันในทางกฎหมายที่จะได้รับการคุ้มครอง และต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราได้กระทำลงไป ในฐานะที่ทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา จะร่วมกับคณะกรรมาธิการทุกท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดไป"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี