"รุ้ง ปนัสยา"ยื่น จม.เปิดผนึก 5 หน่วยงานยุติธรรม เรียกร้องปล่อยตัว 4 ผู้ต้องหา ม.112 ชี้ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันเป็นการละเมิดสิทธิตาม รธน. จี้อย่าละทิ้งเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง เผยเตรียมใจไม่รอดนอนคุกพรุ่งนี้ ปมอัยการส่งฟ้องคดี ม.112 แต่เชื่อขบวนการต่อสู้ยังเดินหน้าได้ พร้อมรับผิดขอโทษคุมม็อบ 13 ก.พ.ไม่อยู่
เมื่อเวลา 10.15 น.วันที่ 16 ที่บริเวณหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อเรียกร้องให้กระบวนยุติธรรมมีความเป็นกลางในการพิจารณาและดำเนินคดี รวมทั้งเรียกร้องให้มีการอนุญาตประกันตัว 4 ผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112
โดย น.ส.ปนัสยา ได้ไปยื่นจดหมายเปิดผนึกที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่แรก ผ่าน น.ส.สิริยา หอมสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สำนักงานศาลรัฐธธรรมนูญ และได้อ่านเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกสาระสำคัญระบุว่า การที่ศาลปฏิเสธสิทธิในการประกันตัว นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ , นายอานนท์ นำภา , นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม โดยให้เหตุผลว่าทั้ง 4 คน มีพฤติกรรมที่อาจกระทำความผิดซ้ำ เป็นการ "พิพากษาล่วงหน้า" ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงและอาจทำซ้ำนั้น ขัดต่อหลักการสันนิษฐานว่าบุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของจำเลยทั้ง 4 คน อย่างชัดเจน
"การปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลยตามมาตรา 112 ให้จองจำเอาไว้อย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่คดียังไม่ได้เริ่มการไต่สวน และผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมที่จะหลบหนี แต่ให้สิทธิในการประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยน์คดีอาญาอื่นๆ ที่มีอัตราโทษรุนแรง เช่น ต้องหาว่าฆ่าคนตายโดยเจตนา อาจนำไปสู่การสร้างมาตรฐานอันไม่ชอบธรรม คือ ผู้ต้องหาในความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์ มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวมากกว่าคดีอาญาอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน รวมถึงผู้ที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมในกรณีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แล้ว ยังทำลายเกียรติภูมิของศาล และกระบวนการยุติธรรมไทยให้ย่อยยับลง จนอาจถูกติฉินจากนานาอารยประเทศว่า ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ จนละทิ้งศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิเพื่อชำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของศาล และความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนต่อหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ในนามของ "ราษฎร" ขอเรียกร้องให้มีการอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน และผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองทั้งหมด และขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอาญา สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนหน่วยงานอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม และคำนึงถึงเกียรติ ศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตต่อประชาชนเท่านั้น"
จากนั้น น.ส.ปนัสยา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ที่เรามายื่นจดหมายเพราะเราต้องการให้กระบวนการยุติธรรมมันแฟร์ แต่ในกรณีของ 4 แกนนำ การไต่สวนยังไม่เริ่มขึ้นเพิ่งส่งฟ้อง แปลว่าขั้นตอนการพิจารณาคดียังไม่เริ่มต้น เขาต้องได้รับการอนุมานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาล ดังนั้น ณ เวลานี้ยังเอาเขาไปขังไม่ได้ แต่ศาลกลับไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยศาลให้เหตุผลว่าอาจจะไปมีพฤติกรรมทำผิดซ้ำเท่ากับว่าศาลตัดสินว่าเขาทำผิดไปแล้วทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษา เขาจึงต้องถูกขังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งใช้ในศาลทั่วโลกจึงต้องมายื่นหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดโดยหวังว่าเขาจะได้มีการปรับปรุงการทำงานของเขา เพราะปัญหาในข้อเท็จจริงไม่ได้มีปัญหาเฉพาะแค่ศาลแต่ในชั้นของตำรวจเช่นกรณีของบอย มีปัญหาตั้งแต่เริ่มเขียนสำนวน อย่างกรณี "บอย มหาสารคาม" ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากกการไปปราศรัยว่าถ้าจะล้มเจ้าทำได้ทางเดียว คือเล่นป็อกเด้งล้มเจ้าในวงเท่านั้น แต่ตำรวจก็อนุมานไปก่อนหมายถึงการล้มกษัตริย์ ซึ่งไม่รู้ที่มา ที่ไปของตำรวจในการอนุมานนี้เลย วันนี้จึงจะไป 5 ที่ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ กระทรวงยุติธรรม ศาลอาญารัชดา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบอกผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง จะตกเครื่องมือทางการเมืองเสียเองไม่ได้ การทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐต้องยึดเกียรติและศักดิ์ศรี
น.ส.ปนัสยา ยังกล่าวด้วยว่า ตนเองเตรียมใจไว้แล้วกับการที่วันพรุ่งนี้ (17 ก.พ.) อัยการจะพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องตนเองในคดีมาตรา 112 หรือไม่ เพราะมันเป็นคดีเดียวกับทั้ง 4 แกนนำ เพราะธงมันออกมาชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการให้เราเข้าไปถูกขังและไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งคาดเดาไว้ว่าพรุ่งนี้เราจะต้องถูกนำตัวเข้าเรือนจำ และแม้ตนจะต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ก็คิดว่าไม่มีผลกระทบมากต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎร เพราะเราก็เป็นเพียงฟันเฟืองหนึ่งในกระบวนการนี้ เพราะยังมีคนอื่นที่พร้อมจะออกมาต่อสู้ และยังมีมวลชนอีกมากมายที่แม้ไม่มีแกนนำเขาก็พร้อมที่จะออกมาต่อสู้
ทั้งนี้ คาดหวังว่าสถานการณ์การชุมนุมหลังจากนี้หากตนเข้าไปอยู่ในเรือนจำ จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น เพราะจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิด เราก็ได้มีการพูดคุยเพื่อวางแผนให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น ทำให้จากเดิมที่เราเตรียมจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาฯ ในวันนี้จึงต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่ยืนยันว่าจะมีแน่นอนซึ่งจะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
น.ส.ปนัสยา ยังได้กล่าวขอโทษต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในการชุมนุมวันที่ 13 ก.พ.โดยระบุว่า ทุกครั้งที่ผ่านมาก็จะมีกลุ่มที่ไม่ยึดแนวทางสันติวิธีเหมือนกับพวกเราและมวลชนอีกหลายกลุ่ม ซึ่งพวกเราก็พยายามจะจัดการเรื่องนี้ให้ได้มาโดยตลอด แต่ในวันนั้นยอมรับว่าเราควบคุมไม่ได้ อันนี้เรายอมรับผิดจริงๆ เราควบคุมตรงนี้ไม่ได้ ผิดที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของหลายๆ คน ซึ่งต้องขอโทษที่เราควบคุมไม่ได้ แต่หลังจากนี้ทุกอย่างจะรัดกุมและครอบคลุมขึ้น เราจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก เรายังยืนยันว่าเรายังคงยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีและจะยึดมั่นต่อไป
เมื่อถามว่า หากในวันพรุ่งนี้ต้องเข้าเรือนจำ แล้วการชุมนุมวันที่ 20 ก.พ.ที่นัดหมายไว้ว่าหากครบกำหนด 7 วัน ไม่มีการปล่อยตัว 4 แกนนำ จะมีการชุมนุมอีกครั้งจะมีแนวทางอย่างไร น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า ยังคงต้องมีการชุมนุมเพราะนัดหมายไว้แล้ว ส่วนรูปแบบและการเคลื่อนไหวจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ตอนนี้ก็มีการพูดคุยถกเถียงเรื่องการปรับกลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ต่างๆ ขอยังไม่พูด เพราะส่วนตัวยังไม่ทราบว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของคนที่ยังอยู่จะพาขบวนการไปสู่เป้าหมายให้ได้ ซึ่งขอโอกาสเชื่อมั่นในตัวเราว่าเราจะทำอย่างดีที่สุดอย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้น น.ส.ปนัสยา ก็ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อกระทรวงยุติธรรม ศาลอาญารัชดา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักนายกรัฐมนตรี
จากนั้นเวลา 12.00 น.เศษ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก น.ส.ปนัสยา เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกของเเนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พร้อมอ่านแถลงการณ์บริเวณหน้าป้ายศาลอาญา ริม ถ.รัชดาภิเษก ถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม หลังจากนั้นได้เข้ามายื่นหนังสือ โดยมี น.ส.ชวัลนาถ ทองสม ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา เป็นผู้รับมอบ
ภายหลังยื่นหนังสือ น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า เราอยากให้ศาลรับทราบและให้ความสำคัญว่า จำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษา เช่นนั้นแล้วการปฏิบัตินั้นศาลจะทำเหมือนกับว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดไม่ได้ เราจะให้ถูกขังระหว่างพิจารณาคดี ทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุดไม่ได้ ต้องให้สิทธิประกันตัวเช่นเดียวกับคดีอื่นๆ ในประเทศนี้แม้แต่คดีฆ่าคนโดยเจตนายังได้รับการประกันตัว ดังนั้นในคดีการเมืองก็ต้องได้รับประกันตัวเช่นกัน
โดยวันนี้ที่เราเดินทางมาทั้ง 5 แห่ง เพราะเป็นสายธารของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเห็นภาพได้ชัดเจน อย่างมาที่ศาลอาญา เพราะว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาและมีคำสั่งไม่ให้เพื่อนเราได้ประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้เราก็จะเดินทางไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป
เมื่อถามว่า มีนัยยะสำคัญอย่างไรจึงต้องเดินทางไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.ปนัสยา ตอบว่า เกี่ยวกับนโยบายในการจัดการกับผู้ชุมนุม ซึ่งนโยบายต้องมาจากรัฐบาล ส่วนสตช.เกี่ยวข้องตรงที่กระบวนการทางการฎหมายจะเริ่มที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนเป็นที่แรก เริ่มตั้งแต่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา หรือมีการใช้อำนาจเกินขอบเขต
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเกินไปจากการควบคุมดูแลของเราบ้าง น.ส.ปนัสยา ตอบว่า ขอโทษอย่างจริงใจกับผู้ชุมนุมที่เราไม่สามารถดูแลสถานการณ์ได้ ซึ่งเหนือความคาดหมายมากจริงๆ แต่หลังจากนี้ยืนยันให้ความเชื่อมั่นว่าจะดูแลพวกเราทุกคนเป็นอย่างดี ในวันพรุ่งนี้ตนมีคดีความและอาจจะไม่อยู่แล้ว แต่ว่าคนที่เหลือพร้อมจะทำหน้าที่เพื่อให้กระบวนการเคลื่อนไหวของเราไปสู่จุดหมายในที่สุด โดยที่จะไม่มีใครเจ็บตัวหรือเจ็บตัวให้น้อยที่สุด อันนี้คือความปลอดภัยของผู้ชุมนุม
เมื่อถามว่า การมายื่นหนังสือครั้งนี้เป็นการกดดันศาลหรือไม่ น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า ไม่ใช่ เพราะนี้เป็นการมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้เป็นการกดดันศาลแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ประจำศาลอาญาได้มีการเตรียมความพร้อมหน้าศาลอาญา โดยมีการนำแผงเหล็กมาวางเป็นแนวกันบริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า พร้อมเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.2 ตำรวจ สน.พหลโยธิน และกองร้อยควบคุมฝูงชน บก.น.2 จำนวน 60 นาย ทั้งในและนอกเครื่องเเบบตั้งแถวเรียงยาวดูแลความเรียบร้อยป้องกันกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
โดยก่อนหน้านี้ น.ส.ปนัสยา เริ่มอ่านจดหมายจากศาลรัฐธรรมนูญ ต่อด้วยกระทรวงยุติธรรม ก่อนมายังศาลอาญารัชดา จุดต่อไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และจุดสุดท้ายคือสำนักนายกรัฐมนตรี
ล่าสุดเวลา 13.45 น.ที่ด้านหน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ปนัสยา ยื่นจดหมายเปิดผนึกและอ่านจดหมายเปิดผนึก ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ผ่าน นายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลไทยใช้ความรุนแรงใช้กำลังประทุษร้ายในการปราบปรามผู้ชุมนุม ยิ่งไปกว่านั้นมีการจับกุมผู้ปราศรัยและผู้ชุมนุมเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างมาก คือการปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาในระหว่างการดำเนินคดีดัง ทั้ง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ , นายอานนท์ นำภา , นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปฏิวัติ สาหร่ายแย้ม ที่ถูกกล่าวหาด้วยมาตรา 112 เป็นเหตุให้ทั้ง 4 คน ยังคงถูกจองจำอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯจนถึงเวลานี้
น.ส.ปนัสยา กล่าวต่อว่า ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอาญา สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม และคำนึงถึงเกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ
จากนั้น น.ส.ปนัสยา เดินไปให้กำลังใจกลุ่มชาวบ้านบางกลอย ที่ปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล ฝั่งศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พร้อมให้กำลังชาวบ้านบางกลอยในการต่อสู้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี