“วิโรจน์” อัด “บิ๊กตู่- เสี่ยหนู” จัดซื้อวัคซีนล่าช้าทำศก.-ปชช. เสียหาย หลังแทงหวย จัดซื้อแอสตราเซเนกา รายเดียว ไม่สนใจ โคแวกซ์ ที่ราคาถูกกว่า ท้าเปิดสัญญาจัดซื้อ ขณะที่ พปชร.ประท้วงวุ่นนำสถาบันมาเกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา12 .18 น. ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายการบริหารวัคซีนผิดพลาดเป็นข้อหาฉกรรจ์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.กระทรวงสาสาธารณสุข ก่อให้เกิดปัญหาปากท้องประชาชน เศรษฐกิจชาติพัง เสียหายเดือนละ 2.5 แสนล้านบาท วันละ 8,300 บาท หรือชั่วโมง347 ล้านบาท และ การอภิปรายตนจะต้องใส่แมส2 ชั้น เพราะอาจจะมีหนูตายในสภาฯ หลังมีการพูดว่า โควิดกระจอก
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ปัญหาโควิดทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกย่อมหญ้า การท่องเที่ยวสูญหาย และล้างไม่มีคนท่องเที่ยวเป็นป่าช้า คนตกงาน ภาพเสียหายเป็นแสนล้านบาท ทำให้เกิดหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ประมาณ ร้อยละ 42 และทำให้คนยากจนเพิ่มขึ้น และ เด็กต้องออกจากโรงเรียน พล.อ.ประยุทธ์ และ นายอนุทิน จะรู้สึกบ้างหรือไม่ จะอ้างว่า ไม่รู้หรือไม่ เพราะ เคยทำหนังสือเป็นหลักฐานในการของบกลาง เพราะรู้ว่า การฉีดวัคซีนเร็ว 1 เดือน จะสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประมาณ 2.5 แสนล้านบาท และ ส่งผลประทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ และ ต้องการให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนเป็นประเทศแรกๆ รวมทั้งการระบาดรอบ 2 ทำไมถึงกล้าประกาศให้ประชาชนอยู่กับบ้านหยุดทำมาหากิน 14-15 วัน ทั้งที่เป็นความผิดของรัฐบาลเพราะปล่อยให้มีคนลักลอบเข้าประเทศ และ บ่อนการพนัน แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ตื่นตัวได้รับฉีดวัคซีนได้แล้ว และทำให้เศรษฐกิจเริ่มเดินไปได้ ต่างจากไทยที่ยังไม่ฉีดวัคซีนอย่างนี้จะเปิดประเทศได้อย่างไร ใครจะมาเที่ยว หรือ จะให้พรก.ฉุกเฉินกดหัวอยู่อย่างนี้
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สำหรับความล่าช้าการจัดหาวัคซีนของไทย โดยแผนเดิมปี 64 จำนวน 11 ล้านคน ปี 65 อีก 11 ล้านคน และ ปี 66 อีก 10 ล้านคน แต่ยังมีข้อดีคือไม่ได้กระจุกตัวไว้ที่ บริษัท แอสต้ราเซนเนก้า เน้นกระจายความเสี่ยงไปหลายยี่ห้อ
แต่การกระจุกรายเดียวพึ่งมาตื่นตัวในภายหลัง โดยมติครม. 17 พ.ย.อนุมัติวัคซีน บริษัท แอสต้ราเซนเนก้า รายเดียว วงเงิน 6 พันกว่าล้านบาท ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติทำสัญญาจองล่วงหน้า 2,379 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะได้รับหรือไม่ได้รับขึ้นอยู่กับผลการวิจัย จากนั้นให้กรมควบคุมโรคทำสัญญาจัดซื้อวงเงิน 3 ,600ล้านบาท 26ล้านโดสครอบคลุมประชาชนร้อยละ20 และ ได้รับวัคซีนมิย.64 มาถึงระบาดใหม่ วันที่ 24 ธ.ค.63จึงมีมติให้หาวัคซีนเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ30 ครอบคลุมประชาชน ร้อยละ 50 และระบุให้ตกลงแบบทวิภาคีกับรายอื่นร้อยละ10 และ ร้อยละ 20 กับโคแวกซ์ ร้อยละ20 ถือเป็นกลไกวัคซีนที่ใหญ่สุดในโลก องค์การอนามัยโลก เป็นตัวกลาง และราคายุติธรรม
ต่อมาแผนกระจุกตัวทำลายชาติเกิดขึ้น 4 ม.ค. 64จากรายงานศบค. และ ประชุมครม. 5 ม.ค. 64รับลูกกันมา ให้ซื้อวัคซียนจากแอสตราเซเนกาอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าไม่สนใจการเตือน เรื่องกระจายความเสี่ยงเลย จงใจคนไทยเดิมพัน ซื้อแอสตราเซเนกา เป็นรายเดียว และ มติครม.วันที่ 5 ม.ค. 64ก็ไม่ได้ระบุวงเงินจัดซื้อเลย คำถามคือเมื่อไม่จ่ายเงินล่วงหน้า แล้วจะได้วัคซีนเมื่อใด และ ทำไมจึงเปลี่ยนแผน และหากได้แน่ทำไมถึงจัดซื้อวัคซีนเพิ่มจาก ซิโนแวค 2 ล้านโดส เพิ่มในไตรมาสแรกปี 64 ไม่รอจาก แอสตราเซเนกา แล้วหรือแสดงว่า นายกฯ และ นายอนุทิน ทราบว่าฝากไว้ที่ แอสตราเซเนกา เพียงรายเดียวจะมีความเสี่ยง และเอาชีวิตคนไทยเป็นเดิมพันเคยฟังความเห็นผู้เชี่ยวชาญบ้างหรือไม่
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ต่อมานายอนุทิน ระบุในวันที่ 4 ก.พ.64 ทยอยฉีด ได้เดือนละ 5 ล้านโดส และต่อมา วันที่ 8 ก.พ. 64กลับลำบอกว่าฉีดได้เดือนละ 10 ล้านโดส จึงอยากถามว่าได้เตรียมระบบและแผนการฉีดแล้วหรือไม่ยัง ที่ผ่านมานายอนุทิน ชอบพูดจาเชื่อถือไม่ได้ จึงถามนายกฯ กล้าเชื่อในสิ่งที่พูดไว้หรือเปล่า เพราะประชาชนอยากรู้จะได้กลับมาทำมาหากิน หากเชื่อในคำพูดของนายอนุทิน ก็ให้ทั้งคู่สัญญากลางสภาฯได้เลย หากทำไม่ได้ก็ลาออกไป และ ที่เลวร้ายการการหาวัคซีน โคแวกซ์ ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ในเดือน ก.ค. 63 ต่อมา วันที่ 5 ต.ค. 63 มีข้อกังวลระยะเวลา ไทยขอเลื่อนทำข้อตกลงมา2 เดือน ทำให้เห็นว่าไม่สนใจจัดหาวัคซีนโคแวกซ์ และปัจจุบันพึ่งมาจัดหาใหม่ถือว่าเป็นคนหลอกประชาชนไปเรื่อยๆ และไม่ยอมรับความผิดของประชาชน
ส่วนที่อ้างว่า ไทยไม่เข้าร่วมเพราะมีฐานะปานกลาง คำถามคือมาเลเซีย และ ประเทศอาเซียน รวมทั้ง ยุโรป สหรัฐฯ รวม172 ประเทศ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกเผยในเว็บไซต์ว่าวัคซีนที่แอสตราเซเนกาขายให้โคแวคในราคา 3 เหรียญต่อโดสเพราะมียอดสั่งซื้อมากกว่า ขณะที่ไทยต้องซื้อในราคา 5 เหรียญต่อโดส ตกลงว่าใครมีอำนาจเจรจาต่อรองมากกว่า ต้องการให้คนไทยทั้งประเทศไปกระจุกความเสี่ยงกับแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทยโดยบริษัทเอกชนที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อนแต่เพียงเจ้าเดียว การปฏิเสธโคแวกซ์ทั้งๆที่ 172 ประเทศเข้าร่วมเป็นการกระทำที่เสี่ยงมากๆ
ซ้ำรัฐบาลอินเดียได้เคยเสนอขายวัคซีนแอสตราเซเนกาให้กับไทยในราคาทุนแต่กลับไม่มีการตอบรับ สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือจัดหาวัคซีนจากแหล่งต่างๆเพื่อกระจายความเสี่ยง มีทางเลือกให้ประชาชนได้ใช้ตามประสิทธิภาพ แล้วอย่านำอุณหภูมิการจัดเก็บวัคซีนมาเป็นข้ออ้าง ถ้าเราวางแผนดีๆเชื่อว่าจัดการได้ ถ้าส่งมอบล่าช้าจะทำอย่างไร ฉีดแล้วเกิดการแพ้จะทำอย่างไรหรือมีประสิทธิภาพในการคุ้มกันต่ำจะหาวัคซีนที่ไหนมาทดแทน เกิดเชื้อกลายพันธุ์จะทำอย่างไร
แต่ความผิดพลาดก็เกิดขึ้น เมื่อนายอนุทิน แถลงเองว่า วัคซีนจากแอสตราเซเนกาจะมาล็อตแรกช่วงเดือนก.พ. และเริ่มฉีดวันวาเวนไลน์ที่ผ่านมา เมื่อเกิดการส่งล่าช้า อียูประกาศควบคุมการส่งออกกดดันให้ส่งตามสัญญา 5 หมื่นโดส แรกจึงมาที่ไทยไม่ได้ แล้วจะการันตีได้อย่างว่าอีก 10 ล้านโดสจะไม่มีปัญหา และขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขเวียดนามประกาศได้รับวัคซีนในไตรมาสแรกของปี 2564 แต่ประเทศไทยต้องรอถึงเดือนมิ.ย. 64 ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กับนายอนุทินยังต้องตอบคำถามว่า จะยืนยันให้คนอายุ 65 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาอยู่หรือไม่ทั้งที่หลายประเทศในยุโรปไม่แนะนำให้ใช้ เพราะมีข้อมูลจำนวนการทดสอบที่ไม่มากพอถึงขั้นให้ควบคุมการใช้ แบบนี้จะทำอย่างไร จะไปใช้ซิโนแวคก็มีแค่ 2 ล้านโดส โคแวกซ์กก็ไม่เข้าร่วม สรุปจะบังคับให้ผู้สูงอายุฉีดกับแอสตราฯอย่างเดียวใช่หรือไม่
นายวิโรจน์ กล่าวว่า อยากให้มีการเปิดเผยสัญญาการจัดซื้อแอสตราฯ จะได้รู้ว่าไทยซื้อแพงกว่าประเทศอื่นหรือไม่ จะทำประชาชนตรวจสอบสมเหตุสมผลหรือไม่ ก่อนหน้านี้ ตนก็ขอผู้เกี่ยวข้อง และ นายอนุทิน ให้เปิดเผยสัญญาแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ แตกต่างๆจากยุโรป ก็เปิดสัญญาให้ประชาชนดูได้ไม่เห็นว่า แอสตราฯจะยกเลิกสัญญา
นอกจากนี้ นายกฯ รู้ว่า สยามไบโอไซเอนซ์ มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปเป็นประธานพิธีลงนามสัญญาจัดหาวัคซีน ในวันที่ 27 พ.ย. 63 แทนที่พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงความรอบคอบ โปรงใส ปกป้องพระเกียรติยศเพื่อไม่ให้เกิดเหตุระคายเคือง จนเกิดความล่าช้าในการจัดหาวัคซีน และสร้างความระคายเคืองพระยุคลบาท นี่หรือคนที่อ้างว่าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และที่กล้าที่จะเป็นเหลือบ ลิ้น ไร ปรสิต โหนนำสถาบันมาเป็นเกราะป้องกันตัวเองความผิดตัวเอง
ส่งผลให้ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จำนวนมาก ลุกขึ้นประท้วงนำเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ยุติการอภิปราย โดยนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า “พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรืออย่างไร พูดเรื่องสถาบัน จากนั้นนายสิระ ก็ถอนคำพูด ขณะที่ นางสาว ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พปชร. ระบุว่า จริงๆแล้วบิดาเขาตัวดีเลย จนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อาจเป็นเหตุให้นายวิโรจน์พาดพิงสถาบัน ไม่หยุด จากนั้น น.ส.ปารีณา ก็ถอนคำพูด ทั้งนี้ นายชวน ก็พยายามควบคุมสถานการณ์ไม่ให้พาดพิงพิงต่อสถาบัน แต่นายวิโรจน์ ได้ชี้แจงว่า การอภิปรายของตนเพื่อปกป้องสถาบันจากนายกฯ และ ได้ถอนบางคำพูดที่เกี่ยวข้องสถาบันในที่สุด
ช่วงท้ายนายวิโรจน์ ได้ต่อท้ายสรุปว่า “ประชาชนหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะวัคซีน แต่สุดท้ายต้องสิ้นหวังสิ้นอนาคต ทั้งนายอนุทิน และพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผอ.ศบค. แค่ผมต้องต้องเดินเฉียดใกล้ ผมยังรู้สึกลำบากใจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกันกับสองคนนี้ ผมก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก จึงไม่อาจให้พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป และไม่อาจไว้วางใจให้นายอนุทิน ลูกน้องพล.อ.ประยุทธ์ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้เช่นกัน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี