หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ผลการลงคะแนนฝ่ายรัฐบาลได้รับเสียงโหวตลงมติชนะผ่านตามคาดหมาย เพราะคะแนนไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้านไม่เกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภา ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 151
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2สำหรับรัฐบาล “ลุงตู่” ที่ฝ่ายค้านหมายมั่นจะแก้ตัวล้างตาหลังจากการอภิปรายครั้งแรกสิ้นท่าล้มเหลว เสียรังวัดปัดแข้งปัดขาแย่งเวลากันเอง และเนื้อหาสาระในการอภิปรายก็สะเปะสะปะหาสาระไม่ได้ นอกเสียจากเสียงตะโกนโหวกเหวก ตะคอก และด่าทอรัฐบาลด้วยถ้อยคำหยาบคาย แบบไร้ข้อมูลหรือใบเสร็จเอาผิด จนที่สุดฝ่ายค้านก็ต้องปรับความเข้าใจระหว่างพรรค ปรับขบวนจัดทัพกันใหม่
การอภิปรายครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าหลายเรื่องหลายประเด็นมีความสำคัญ รัฐบาลมีปัญหาจริงและข้อมูลก็ส่อให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส การทุจริต หรือการประพฤติในลักษณะที่มิชอบด้วยกฎหมาย ฝ่ายค้านบางคนอภิปรายได้ดีมีข้อมูล มีการเตรียมตัวทำการบ้านมาดีกว่าครั้งก่อน แต่โดยภาพรวมของการอภิปรายฝ่ายค้านส่วนใหญ่ ก็ยังมีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีกมาก โดยเฉพาะท่วงทำนอง การพูดการอภิปราย การนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐาน เพื่อชี้ชัดให้ประชาชนหรือสภาฯ รับฟังได้อย่างมีเหตุผลหนักแน่นว่า รัฐบาลหรือรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย กระทำการอันเป็นการทุจริต ประพฤติมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศชาติ และประชาชนอย่างไร ในประเด็นนี้ต้องถือว่าฝ่ายค้านยังสอบไม่ผ่านครับ หลายคนพูดจาวนเวียนซ้ำซาก นอกเรื่องนอกประเด็น ทั้งๆที่มีหลายเรื่องที่ประชาชนคาใจรัฐบาล และข้องใจอยากฟังข้อมูลจากปากฝ่ายค้าน ให้ช่วยขุดเอาข้อเท็จจริงมาตีแผ่แต่ก็ผิดหวัง การอภิปรายส่วนใหญ่กลายเป็นเอาข่าว คลิปรายการของสื่อมวลชนมาเล่าต่อ โดยมิได้มีข้อมูลเชิงลึกอะไรเลย ที่สำคัญผู้อภิปรายส่วนใหญ่ยังมาแบบเดิมๆ คือไม่มีข้อมูลเด็ดอะไรเสนอ พูดแต่เรื่องเก่าๆ ซ้ำซาก พูดจาหยาบคายไม่สุภาพหรือกระทั่งด่าทอด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสม ไม่นับรวมการประท้วงที่น่ารำคาญจากทั้งสองฝ่าย สรุปว่า ยิ่งอภิปรายก็ยิ่งทำลายตัวเอง กลายเป็นฝ่ายค้านช่วยต่ออายุให้รัฐบาลมากกว่าที่จะล้มรัฐบาล ทั้งๆที่ภายในพรรคร่วมรัฐบาล มีรอยปริร้าวภายในและมีปัญหาความเป็นเอกภาพภายในพรรคร่วม เพาะเชื้อก่อปัญหาที่รอวันแตกหักอยู่แล้ว
ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงมิอาจล้มหรือน็อกรัฐบาลได้สมราคาคุย แต่อย่างไรก็ตาม การอภิปรายครั้งนี้ก็สามารถเป็นเงื่อนไขจากภายนอก ที่ทำให้ปัญหาภายในพรรครัฐบาลปะทุได้ หรือทำให้คนในพรรคร่วมรัฐบาล อาศัยเป็นเงื่อนไขในการเล่นเกมการเมืองเลื่อยขาเก้าอี้กันเอง อันเป็นลักษณะเฉพาะของการเมืองไทยได้ การปรากฏผลโหวตที่รัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาล ได้รับคะแนนไว้วางใจไม่เท่ากันก็ดี และการที่ สส.จากพรรคร่วมรัฐบาล งดออกเสียงไม่โหวตให้รัฐมนตรีจากพรรคอื่นที่ร่วมรัฐบาล หรือไม่โหวตให้รัฐมนตรีที่สังกัดพรรคของตนเองก็ดี หรือแม้กระทั่ง สส.ฝ่านค้านหันมาโหวตสนับสนุนรัฐมนตรีฝ่ายรัฐบาลก็ดี จึงเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นอันมีผลมาจากปัญหาภายในพรรคนั้นๆ ที่เรียกว่าสนิมเกิดจากเนื้อในตน มากกว่าด้วยข้อมูลจากการอภิปราย นี่คือสภาพที่เกิดขึ้นของการเมืองในปัจจุบัน
ปัญหาว่าจากนี้ไป รัฐบาลลุงตู่จะไปต่อได้หรือไม่ท่ามกลางข้อสงสัยในหลายเรื่องหลายโครงการที่ไม่โปร่งใส พรรคประชารัฐที่เป็นแกนนำรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีความเป็นเอกภาพ และรัฐมนตรีหลายคนยังทำงานไม่เข้าตา ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน แม้จะผ่านการลงมติไว้วางใจไปได้ แต่ก็มีข้อครหาข้อสงสัยที่คาใจประชาชน หากรัฐบาลที่จะเดินหน้าต่อภายใต้สภาพปัญหาดังกล่าว โดยมิได้มีการปรับปรุงแก้ไขใดๆเลย ก็อาจกัดกร่อนต่อศรัทธาความเชื่อถือของประชาชนได้ กระแสการเมืองขณะนี้จึงจับจ้องไปที่นายกรัฐมนตรี จะขับเคลื่อนรัฐนาวาที่มีคนเจาะเรือเป็นรอยผุมีรอยรั่ว และคนในเรือมือไม่ช่วยกันพายอย่างไร ขณะเดียวกัน หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในการพิจารณาของสภาฯเกิดผลสำเร็จ สถานะของนายกรัฐมนตรีทางการเมือง อาจมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นตามมาอย่างไร จึงเป็นปัญหาแนวโน้มและทิศทางการเมืองที่รัฐบาลลุงตู่ต้องเผชิญ
ทางเลือกของรัฐบาลขณะนี้ จึงมีเพียงสามทางเลือกที่อาจเกิดขึ้น
ทางเลือกที่ 1 รัฐบาลยังสามารถไปต่อได้ แม้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยมีข้อสงสัยในพฤติกรรมของรัฐมนตรีในบางประเด็น แต่ผลสำรวจซูเปอร์โพลนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังได้รับความพอใจและไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดถึงร้อยละ 44.7 รัฐมนตรีอื่นๆ ก็มากน้อยลดหลั่นกันไป แต่ที่สำคัญเสียงประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 77.8 ต้องการให้รัฐบาลปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ โดยร้อยละ 79.4 ยังให้โอกาสรัฐบาลนี้บริหารประเทศต่อไป ด้วยเหตุผลการรับมือกับวิกฤติโควิด และช่วยประชาชนในสภาวะปัจจุบันได้ดี
ทางเลือกที่ 2 คือการปรับ ครม. นี่คือทางเลือกที่รัฐบาลควรต้องทำหากต้องการไปต่อ นายกรัฐมนตรีต้องปรับปรุงทีมทำงานของรัฐบาล ให้ได้คนที่ซื่อสัตย์ มีความรู้ความสามารถและมีฝีมือในการบริหารเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ฟื้นเศรษฐกิจของชาติหลังวิกฤติโควิดที่กำลังคลี่คลาย ภายหลังวัคซีนมีผลสำเร็จ และกำลังจะถูกนำมาฉีดป้องกันโรคแก่ประชาชน และประชาคมโลกขณะเดียวกันก็ต้องแก้ปัญหาความเป็นเอกภาพภายในพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้ หากจะไปต่อจนครบวาระ
ส่วนทางเลือกที่ 3 ถ้าเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาถึงเร็ว และอาจมีผลต่อสถานะของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งถูกแก้ไข และไม่มีเสียงวุฒิสภาสนับสนุน ประกอบกับปัญหาความไม่เป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลมีมาก โอกาสยุบสภาก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจจะมาถึงในช่วงเวลานั้น เพื่อทำให้ลุงตู่เป็นนายกฯได้อีกหนึ่งสมัย
ดังนั้นแนวโน้มรัฐบาลในสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสที่จะเกิดทางเลือกที่ 2 จึงมีสูงกว่าทั้งสามทางเลือก แม้ผลอภิปรายล้มรัฐบาลไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้รัฐบาลต้องปรับปรุงตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงหวังว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าวกับสภาฯ จะนำทุกความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ไปปรับปรุงการทำงานของรัฐบาลให้ดีขึ้นต่อไปนั้น ได้ปรากฏเป็นจริง
ประพันธุ์ คูณมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี