วันนี้ (2 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
กค. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าอากรแสตมป์ ดังนี้
1.1 กรณีผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นบุคคลธรรมดา
ประเภทภาษี |
รายละเอียด |
· ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา |
· ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา [กฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ข้อ 2 (29)] |
· ภาษีธุรกิจเฉพาะ |
· ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เนื่องจากเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 4 (6) [พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541] |
· อากรแสตมป์ |
· ยกเว้นอากรแสตมป์ [พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 วรรคสอง (ถูกยกเลิกแล้วเมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้)] |
1.2 กรณีผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นนิติบุคคล
ประเภทภาษี |
รายละเอียด |
· ภาษีเงินได้นิติบุคคล |
· รายได้จากกิจการหรืออันเนื่องมาจากกิจการจะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ นิติบุคคล [มาตรา 39 และมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร] |
· ภาษีธุรกิจเฉพาะ |
· การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรตามมาตรา 4 (5) ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ [พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ทางค้าหรือหากำไร ฉบับที่ 342) พ.ศ. 2541] |
· อากรแสตมป์ |
· ได้รับยกเว้นอากรแสตมป์ตามวรรคท้ายของลักษณะแห่งตราสาร 28 (ข) แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ |
1.3 กรณีผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ขอรับเงินค่าทดแทน
ประเภทภาษี |
รายละเอียด |
· ภาษีเงินได้นิติบุคคล |
· ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล [มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539] |
· ภาษีธุรกิจเฉพาะ |
· ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ [มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539] |
· อากรแสตมป์ |
· ยกเว้นอากรแสตมป์ [พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 11 วรรคสอง (ถูกยกเลิกแล้วเมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้)] |
2. ต่อมาพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 ประกอบกับมาตรา 25 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชกฤษฎีกากำหนด เขตที่ดินที่จะเวนคืนกับพนักงาน เจ้าหน้าที่ และการโอนที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม ภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าอากรแสตมป์ โดยให้ดำเนินการตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ กฎหมายยกเว้นภาษีสำหรับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันได้มีการยกเว้นภาษีในกรณีอื่น ๆ แล้ว แต่ยังไม่มีการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่นิติบุคคลและการยกเว้นอากรแสตมป์ให้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
3. กค. ได้พิจารณาการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว ดังนี้
3.1 ประมาณการการสูญเสียรายได้ จะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ภาษีจำนวนหนึ่ง แต่ไม่สามารถประมาณการได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
3.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(1) ภาครัฐสามารถดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศ หรือการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น
(2) ผู้ถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 จะได้รับการบรรเทาภาระทางภาษี
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร สำหรับรายรับที่เป็นเงินค่าทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป (อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ)
2. ยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากขายหรือการถูกเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป (อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ)
3. แก้ไขมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539 โดยตัดการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรายรับที่เป็นเงินค่าทดแทนเฉพาะตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เฉพาะกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไม่ขอรับเงินค่าทดแทนดังกล่าวออก เนื่องจากรวมอยู่ในการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามข้อ 1 แล้ว แต่ยังยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินค่าทดแทนดังกล่าว เฉพาะกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไม่ขอรับเงินค่าทดแทนดังกล่าว
4. กำหนดบทเฉพาะกาลให้บทบัญญัติแห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 295) พ.ศ. 2539 ที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกานี้ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะในการจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่หรือที่พึงชำระก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงาน สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
3. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
เป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เป็นส่วนราชการ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ (สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) ที่ยังคงมีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการ อว. และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายวิธีการงบประมาณ และกฎหมายอื่น รายละเอียด ดังนี้
1. กำหนดให้มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น
2. กำหนดให้กิจการของมหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ แต่พนักงานมหาวิทยาลัยต้องได้รับการคุ้มครองและประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
3. กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่กระทำการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น อำนาจในการซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ใช้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ จำหน่าย และแลกเปลี่ยน หรือทำนิติกรรมใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่กิจการของมหาวิทยาลัย ตลอดจนถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือมีทรัพยสิทธิต่างๆ ในทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อำนาจในการกู้ยืมเงินและให้กู้ยืมเงิน โดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน ถือหุ้น เข้าเป็นหุ้นส่วน และลงทุนหรือร่วมลงทุน และอำนาจในการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และอำนาจในการกำหนดค่าตอบแทนหรือค่าตอบแทนพิเศษ รวมทั้งสวัสดิการสิทธิประโยชน์ และประโยชน์อย่างอื่นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัย
4. กำหนดให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐหรือกฎหมายอื่น
5. กำหนดให้ทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยที่ใช้เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษา การวิจัย การให้บริการทางวิชาการและวิชาชีพ และการทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมโดยตรงไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดีทั้งปวง รวมทั้งการบังคับทางปกครอง บุคคลใดจะยกอายุความหรือระยะเวลาในการครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับมหาวิทยาลัยในเรื่องทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยมิได้
6. กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัยเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัย กำหนดการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยทั้งด้านการบริหารงาน บุคคล การเงิน และวิชาการ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยมากกว่าบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการ สภามหาวิทยาลัยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรือได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้
7. กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดี หรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือจะมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดี ตามจำนวนที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่อธิการบดีมอบหมายก็ได้ โดยอธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปีและจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่อีกได้ แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระมิได้
8. กำหนดให้มหาวิทยาลัยต้องจัดให้มีการประกันคุณภาพการศึกษาและการประเมินส่วนงานเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และต้องจัดให้มีการตรวจสอบระบบบัญชี และให้มีการเผยแพร่บัญชีที่ได้รับรองแล้วในรายงานประจำปี รวมทั้งกำหนดให้รัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย
9. กำหนดให้โอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยนเรศวรตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2533 และพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 มาเป็นข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย และลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้
10. กำหนดเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสถานภาพข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย โดยกำหนดให้ต้องแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ แต่หากข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งมิได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย ให้ยังคงสถานะความเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของส่วนราชการต่อไปตามกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการนั้น
11. กำหนดให้พนักงานของมหาวิทยาลัยและลูกจ้างของมหาวิทยาลัยต้องได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่น ไม่น้อยกว่าที่เคยได้รับอยู่ก่อนเข้าเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัย
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ทส. เสนอว่า
1. ได้ดำเนินการประกาศเขตพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยออกเป็นประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ซึ่งมีผลใช้บังคับ 5 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2559 และจะสิ้นสุดอายุการใช้บังคับในวันที่ 31 มีนาคม 2564
ต่อมาได้มีประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศดังกล่าวให้มีความเหมาะสม โดยปรับปรุงมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชน หรือขัดต่อการดำเนินการโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นหรือนโยบายภาครัฐต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาพื้นที่ เป็นต้น
2. เนื่องจากการจัดทำประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในท้องที่ตามข้อ 1 อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ทส. จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ได้ทันภายในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ได้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฉบับดังกล่าวออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จึงได้ยกร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการขยายระยะเวลาการใช้บังคับได้ทัน จะทำให้การใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงฯ เกิดช่องว่างของการใช้บังคับกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมดังกล่าว
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและที่แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อ 1 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 และให้ ทส. นำร่างประกาศฯ ตามข้อ 2 เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. 2559 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. .... ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป พ.ศ. 2558 โดยแก้ไขหลักเกณฑ์การประกาศกำหนดตำรับยาแผนไทยทั่วไปไม่ให้ผูกโยงกับตำรับยาแผนไทยซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านในส่วนของยาแผนโบราณตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือเป็นตำรับยาแผนไทยที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน เพื่อให้ตำรับยาแผนไทยบางรายการที่มีประโยชน์หรือมีคุณค่าในทางการแพทย์หรือการสาธารณสุขเป็นพิเศษสามารถได้รับการประกาศกำหนดเป็นตำรับยาแผนไทยของชาติ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ได้ ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยได้เห็นชอบด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดลักษณะของตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยคำแนะนำของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยสามารถประกาศกำหนดให้เป็นตำรับยาแผนไทยทั่วไปหรือตำราการแพทย์แผนไทยทั่วไป ดังนี้
1. เป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่มีการใช้ประโยชน์ในการบำบัดโรค การรักษาโรค การป้องกันโรค และการส่งเสริมและการฟื้นฟูสุขภาพกันอย่างแพร่หลาย
2. เป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่ทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐรวบรวม พัฒนาหรือปรับปรุงขึ้น และมีเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงประสบการณ์การใช้ หรือการศึกษาหรือการวิจัยด้านความปลอดภัย และประโยชน์ในการรักษาโรคอย่างแพร่หลาย
3. เป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่พ้นอายุการคุ้มครองสิทธิตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 หรือที่ไม่มีผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนรับการตกทอดทางมรดกภายในสองปีนับแต่วันที่ผู้ทรงสิทธิถึงแก่ความตาย
ทั้งนี้ ตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยตามข้อ 1 – 3 ต้องเป็นตำรับยาแผนไทยหรือตำราการแพทย์แผนไทยที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ ทส. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทส. เสนอว่า
1. ได้ดำเนินการประกาศเขตพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 และมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยออกเป็นประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 ต่อมาได้มีการขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ออกไปอีก 2 ปี ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 และจะสิ้นสุดอายุการใช้บังคับ ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2564
2. การจัดทำร่างประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ทส. จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ให้มีผลใช้บังคับได้ทันภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบในหลักการให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และให้นำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป
3. ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 23กันยายน 2563 ที่ประชุมพิจารณาตามที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า การจัดทำร่างประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่มีขั้นตอนทางกฎหมายซึ่งจะไม่ทันกับประกาศกระทรวงฯ ตามข้อ 1 ที่จะหมดอายุการใช้บังคับในวันที่ 30 พฤษภาคม 2564 ประกอบกับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนเกาะสมุย พ.ศ. 2549 หมดอายุการใช้บังคับตั้งแต่ปี 2556 หากไม่มีการขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ดังกล่าว จะทำให้เกิดช่องว่างที่ไม่สามารถป้องกันผลกระทบจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งประกาศกระทรวงฯ ยังได้กำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นมาตรการเสริมกฎกระทรวงควบคุมอาคาร ฉบับที่ 22 (พ.ศ. 2532) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 59 (พ.ศ. 2548) ที่คุ้มครองพื้นที่บนแผ่นดินของเกาะสมุยและเกาะแตนแล้ว ยังมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 80 เมตร ขึ้นไป รวมทั้งพื้นที่ที่มีความลาดชันตั้งแต่ร้อยละ 35 ถึงร้อยละ 50 ให้ก่อสร้างได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เพื่อควบคุมมิให้มีการก่อสร้างบนพื้นที่สูงมากเกินไปเป็นการป้องกันเรื่องชะล้างพังทลาย รวมทั้งป้องกันผลกระทบด้านสุนทรียภาพ ทัศนียภาพ และประกาศกระทรวงฯ ได้กำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมได้แก่ การห้ามทำเหมืองแร่ การขุดเจาะ ผลิตน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การสร้างสนามกอล์ฟ การกระทำหรือประกอบกิจการใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อเต่าทะเล ปะการัง ปลาสวยงาม หอยมือเสือ เป็นต้น รวมทั้งการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยสรุปมาตรการต่าง ๆ ยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะบังคับใช้ประกาศกระทรวงฯ ตามข้อ 1 ต่อไป และเห็นควรปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามข้อ 1 ออกไปอีก 2 ปี นับจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และให้นำร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และอำเภอเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ.2557 มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
ขอขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ ตำบลหน้าเมือง ตำบลอ่างทอง ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. 2557 ออกไปอีก 2 ปี นับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป
เศรษฐกิจ สังคม
6. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) ยกเลิกมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้มาตรา 145 (เดิม) และ 2) การตรวจสอบถ่วงดุลคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ ยธ. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
ยธ. เสนอว่า ได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้วสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
1. ยกเลิกมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้ใช้มาตรา 145 (เดิม) โดยมีความเห็นเป็นสองฝ่าย ดังนี้
1.1 ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นควรให้มีการทบทวนกระบวนการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการตามมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรับผิดชอบการบริหารงานราชการส่วนภูมิภาค และเป็นตัวแทนฝ่ายบริหารที่มีความเป็นกลางไม่มีส่วนได้เสีย จึงมีความเหมาะสมในการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้อง
1.2 ฝ่ายที่สอง เห็นควรให้คงไว้เพื่อให้มีระบบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจซึ่งกันและกันระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ และให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและในจังหวัดอื่นเป็นระบบอย่างเดียวกัน ซึ่งกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจมีอำนาจในการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ จึงเห็นควรให้มีการทบทวนความเหมาะสมของกระบวนการพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าวโดยให้ดำเนินการตามหลักการมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง นำสถิติการดำเนินงานต่าง ๆ มาวิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่าที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน
2. การตรวจสอบถ่วงดุลคำสั่งไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นควรเพิ่มเติมคณะกรรมการกลั่นกรองการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเพื่อเป็นการส่งเสริมหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้การดำเนินคดีอาญาในชั้นการสอบสวนฟ้องร้องมีความรอบคอบ และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี กระบวนการดังกล่าวอาจเกิดปัญหาในเรื่องของระยะเวลาในการดำเนินการและผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองนั้นมีสภาพบังคับต่อผู้มีอำนาจในการพิจารณาทบทวนคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการหรือไม่ เพียงใด ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มขั้นตอนและส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินคดีอาญาดังกล่าว นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการกลั่นกรอง และประเภทคดีให้มีความเหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินการโดยองค์กรอื่น ๆ ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงหลักการมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่บัญญัติให้รัฐพึงใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็นด้วย
7. เรื่อง ขออนุมัติเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการยาสูบแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดวงเงินกู้ระยะสั้นในรูป Credit Line1 โดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (Overdraft : OD) วงเงิน 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินกู้ดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 แล้ว
__________________
1Credit Line คือ วงเงินที่ทางธนาคารกำหนดให้สำหรับการทำธุรกรรม
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลังได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เปิดวงเงินกู้ระยะสั้นในรูป Credit Line โดยวิธีกู้เบิกเงินเกินบัญชี (Overdraft : OD) วงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานและรองรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าแสตมป์ยาสูบและภาระภาษีต่าง ๆ ค่าซื้อใบยาและวัตถุดิบในการผลิตบุหรี่ เป็นต้น ในกรณีที่ยอดจำหน่ายบุหรี่ของปีงบประมาณ 2564 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ภายใต้สมมติฐานกรณีที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ (Worst Case Scenario) กล่าวคือ กรณียอดจำหน่ายบุหรี่ลดลงร้อยละ 50 (จำหน่ายได้ 10,058 ล้านมวน) จะส่งผลให้เงินสดคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564เหลือเพียง 1,540 ล้านบาท และหากต้องหักเงินค้างนำส่งรัฐร้อยละ 20 (1,758 ล้านบาท) หรือหักเงินค้างนำส่งรัฐทั้งจำนวน (4,700 ล้านบาท) จะส่งผลให้ ยสท. มีเงินสดคงเหลือติดลบและขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
8. เรื่อง การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอให้บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) ออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2574 โดยอาศัยความตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม และต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 22 (3) แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ พน. จะได้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 ตามแบบ ชธ/ป3/1 ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. 2555
9. เรื่อง ขออนุมัติจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการให้มีการจ่ายเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพ (เงินชดเชยพิเศษฯ) ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ) และคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของผู้ร้องเรียนขอรับค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จำนวน 118 ราย เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 34.34 ล้านบาท
2. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์เป็นกรรมการและเลขานุการ และกรรมการอื่นอีก 11 คน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยพิเศษฯ โดยให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ ให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ ที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ
3. ในการจ่ายเงินเห็นสมควรให้จ่ายโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ การจ่ายเงินจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน โดยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับอย่างรอบคอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. เมื่อปี พ.ศ. 2547 กลุ่มราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี นำโดยนายฬมริณฆ์ สุดสวาทรัก ได้ร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีที่ให้ติดตามตรวจสอบข้อเท็จจริงการจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ ซึ่งมีการทุจริตในการดำเนินงานและเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย เป็นเหตุให้ราษฎรไม่ได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ หรือได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ ไม่ครบตามจำนวนที่มีสิทธิจะได้รับ (2,525 ราย)
2. กษ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรที่ร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สินของกรมชลประทาน หรือการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบันแล้วทั้งสิ้น จำนวน 10 ครั้ง ครั้งล่าสุด ตามคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 2384/2562 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 และคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 762/2563 ลงวันที่ 17มิถุนายน 2563 มีพลเอก สุรินทร์ พิกุลทอง ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของกองทัพบก เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการส่วนกรรมสิทธิ์ที่ดิน สำนักกฎหมายและที่ดิน กรมชลประทานเป็นกรรมการและเลขานุการ
3. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้พิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรตามอำนาจหน้าที่โดยมีการจัดประชุมคณะกรรมการตามข้อ 2 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบสิทธิเงินชดเชยพิเศษฯ จำนวน 76 ครั้ง โดยปัจจุบันยังมีราษฎรที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ จนเป็นที่ยุติ จำนวน 1,309 ราย (รวมถึงราษฎรรายที่ กษ. เสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้มีการจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ ในครั้งนี้) ซึ่งแตกต่างจากข้อมูลที่ กษ. เคยรายงานในคราวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ว่า มีราษฎรส่วนที่เหลือที่อยู่ระหว่างพิจารณา จำนวน 1,330 ราย ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ประสานขอข้อเท็จจริงกับ กษ. อย่างไม่เป็นทางการแล้วได้รับแจ้งว่าจำนวนราษฎรดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการ โดยข้อมูลในปัจจุบันจำแนกได้ ดังนี้
3.1 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติยังไม่รับพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ ของราษฎร เนื่องจากยังไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการสำรวจความต้องการระดับอำเภอ และคณะกรรมการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และจำนวนเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพจังหวัด จำนวน 591 ราย
3.2 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติรับพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ ของราษฎร แต่การพิจารณายังไม่เป็นที่ยุติ จำนวน 718 ราย
4. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2563 (76) เมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม 2563 รับรองรายชื่อราษฎรที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ จำนวน 118 ราย ให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ และได้รายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้เห็นชอบให้ กษ. โดยกรมชลประทานนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ แก่ราษฎร จำนวน 118 ราย ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เสนอ มีรายละเอียด ดังนี้
สิทธิเงินชดเชย |
จำนวนราย |
เงินชดเชยพิเศษต่อราย (บาท) |
รวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) |
ที่อยู่อาศัย |
97 |
170,000 |
16.49 |
ที่ดินทำกิน |
34 |
30,000 – 600,000 |
17.85 |
รวม |
118 |
170,000 – 770,000 |
34.34 |
หมายเหตุ : (1) ราษฎรได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ รายละ 170,000 บาท จำนวน 84 ราย ราษฎรได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ รายละ 300,000 – 578,000 บาท จำนวน 11 ราย ราษฎรได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ รายละ 600,000 บาท จำนวน 15 ราย ราษฎรได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ รายละ 770,000 บาท จำนวน 8 ราย (2) ราษฎรได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ เฉลี่ยรายละ 291,013.10 บาท (3) ราษฎรบางรายได้รับทั้งเงินชดเชยที่อยู่อาศัยและเงินชดเชยที่ดินทำกิน |
5. หากคณะรัฐมนตรีมีมติตามที่ กษ. เสนอในครั้งนี้ จะส่งผลให้ราษฎรที่ยังไม่ได้รับการพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ จนเป็นที่ยุติ คงเหลือ จำนวน 1,191 ราย จำแนกได้ ดังนี้
5.1 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติยังไม่รับพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ ของราษฎร จำนวน 591 ราย (คงเดิมตามข้อ 3.1)
5.2 คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติรับพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ ของราษฎร แต่การพิจารณายังไม่เป็นที่ยุติ คงเหลือ จำนวน 600 ราย แบ่งเป็นราษฎรที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาสิทธิขอรับเงินชดเชยพิเศษฯ จากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ จำนวน 593 ราย และราษฎรที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีมติเห็นชอบให้สิทธิเงินชดเชยพิเศษฯ แล้ว แต่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ยังไม่ได้พิจารณารับรองสิทธิ จำนวน 7 ราย
6. เพื่อให้การจ่ายเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และป้องกันมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากราษฎร กษ. จึงเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงิน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยพิเศษฯ โดยให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ ให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ ที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ มีองค์ประกอบ ดังนี้
6.1 ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานกรรมการ
6.2 อัยการจังหวัดลพบุรี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดลพบุรี ปฏิรูปที่ดินจังหวัดลพบุรี ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 10 นายอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี นายอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี นายอำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี นายสมภาค วิวะรินทร์นายฬมริณฆ์ สุดสวาทรัก และนายวิศณุ แพรเมือง เป็นกรรมการ
6.3 ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ
6.4 หัวหน้าฝ่ายจัดหาที่ดินที่ 2 ฝ่ายจัดหาที่ดินที่ 3 เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
10. เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เสนอจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) รวมทั้งสิ้น 72 อัตรา ตามมติ คปร. ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 ดังนี้
1. กรมปศุสัตว์ จำนวน 30 อัตรา
2. กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน 42 อัตรา
สำหรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของส่วนราชการดังกล่าวให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณ (สงป.) กำหนด
11. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบดังนี้
1. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. ในการดำเนินโครงการโซลาร์ภาคประชาชน ระยะที่ 1 ให้กระทรวงพลังงาน กกพ. และสำนักงาน กกพ. เร่งดำเนินการกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละกลุ่มเป้าหมาย หลักเกณฑ์การคัดเลือก ขั้นตอนการดำเนินการและกรอบระยะเวลาดำเนินงานที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการในวงกว้างให้ประชาชนรับทราบ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการกำหนดการดำเนินโครงการในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของเรื่อง
พน. รายงานว่า ในคราวการประชุม กพช. ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้รับรองมติการประชุมเรียบร้อยแล้ว จำนวน 2 เรื่อง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โครงการโซลาร์ภาคประชาชนฯ)
1.1 โดยที่ กพช. และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ซึ่งมีการปรับปรุงเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของโครงการโซลาร์ภาคประชาชนฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจึงได้มอบหมาย กกพ. พิจารณาปรับปรุงแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าฯ โดยให้ขยายผลไปยังกลุ่มโรงเรียนและโรงพยาบาล (โครงการใหม่) และในกลุ่มบ้านอยู่อาศัยให้ปรับเพิ่มอัตรารับซื้อให้ผลตอบแทนดีขึ้นเพื่อจูงใจประชาชนให้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดเป้าหมายกำลังผลิตสะสม 100 เมกะวัตต์ [เฉพาะปี 2564 โดยได้รวมเป้าหมายสะสมในปี 2563 จำนวน 50 เมกะวัตต์ เข้ากับเป้าหมายปี 2564 จำนวน 50 เมกะวัตต์]
1.2 กบง. ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2563 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ตามที่ กกพ. เสนอ และได้เสนอ กพช. พิจารณา ซึ่ง กพช. พิจารณาแล้วเห็นชอบ ดังนี้
ประเด็น |
แนวทางฯ ตาม แผน PDP 2018 |
แนวทางฯ ตามแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 (ตามมติ กพช. ครั้งที่ 3/2563) |
|
ปี 2563 |
ปี 2564 |
||
กลุ่มเป้าหมาย |
กลุ่มบ้านอยู่อาศัย |
(1) กลุ่มบ้านอยู่อาศัย1 |
(2) กลุ่มโรงเรียน สถานศึกษา โรงพยาบาลและสูบน้ำเพื่อการเกษตร2 (โครงการนำร่อง) โดยมีกำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 10 กิโลวัตต์แต่น้อยกว่า 200 กิโลวัตต์ |
ปริมาณรับซื้อ |
100 เมกะวัตต์ |
50 เมกะวัตต์ |
โรงเรียนและสถานศึกษา 20 เมกะวัตต์ โรงพยาบาล 20 เมกะวัตต์ สูบน้ำเพื่อการเกษตร 10 เมกะวัตต์ |
ราคารับซื้อ ไฟฟ้าส่วนเกิน |
1.68 บาท/หน่วย |
2.20 บาท/หน่วย |
1.00 บาท/หน่วย |
ระยะเวลารับซื้อ |
10 ปี |
10 ปี |
|
หมายเหตุ: 1. กลุ่มที่ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว ให้ใช้ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบในอัตรา 2.20 บาท/หน่วย เช่นกัน โดยให้อัตราใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 2. เสนอเพิ่มโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างการประชุม กพช. |
ทั้งนี้ มอบหมายให้ กกพ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในกรณีการลงทุนโดยภาครัฐในส่วนของกลุ่มโรงเรียนฯ มอบหมายให้ พน. โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานรับไปหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
2. แนวทางการกำหนดมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชน
2.1 การกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าโดย กกพ. ต้องอยู่ภายใต้นโยบายและแนวทางที่ กพช. ให้ความเห็นชอบ แต่โดยที่ไม่สามารถจัดการประชุม กพช. ได้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 พน. จึงเสนอให้มอบหมาย กบง. เป็นผู้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์สำหรับมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานไฟฟ้าสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
2.2 กบง. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 ได้ดำเนินการดังกล่าวแล้วและมีมติเห็นชอบมาตรการด้านไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวนรวม 23.70 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 97 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ รวม 3 มาตรการ เป็นระยะเวลา 2 เดือน (เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2564) โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 8,202 ล้านบาท ดังนี้
(1) มาตรการที่ 1 ค่าไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน จำนวน 10.13 ล้านราย ทั้งนี้ ให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 3,649.98 ล้านบาท
(2) มาตรการที่ 2 ลดค่าไฟฟ้าในส่วนของหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วย/เดือน ซึ่งติดตั้งมิเตอร์ 5 แอมป์ขึ้นไปหรือมิเตอร์แบบอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาใช้งาน (Time of Use: TOU) จำนวน 11.83 ล้านราย ทั้งนี้ ให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 3,752 ล้านบาท โดยมีแนวทางการคิดค่าไฟฟ้าตามกรณี ดังนี้
กรณี |
มาตรการ |
1. ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับหน่วยตามใบแจ้งหนี้เดือนฐาน (ธันวาคม 2563) |
คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริงประจำเดือนนั้น ๆ |
2. ใช้ไฟฟ้ามากกว่าหน่วยตามใบแจ้งหนี้เดือนฐาน |
|
2.1 กรณีไม่เกิน 500 หน่วย |
คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของเดือนฐาน |
2.2 กรณีมากกว่า 500 หน่วย แต่ไม่เกิน 1,000 หน่วย |
คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของเดือนฐาน บวกกับส่วนที่เกินในอัตราร้อยละ 50 |
2.3 กรณีมากกว่า 1,000 หน่วย |
คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของเดือนฐาน บวกกับส่วนที่เกินในอัตราร้อยละ 70 |
(3) มาตรการที่ 3 ค่าไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรก สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็กที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจรวมกับที่อยู่อาศัย ซึ่งมีความต้องการพลังไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาทีสูงสุด ต่ำกว่า 30 กิโลวัตต์ ทั้งนี้ ให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 800 ล้านบาท
2.3 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอเรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจในระยะเร่งด่วน (เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564) จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในระลอกใหม่ ซึ่งรวมถึงมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ไฟฟ้า) สำหรับประชาชนทั่วไปตามมติ กบง.ดังกล่าว ต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (12 มกราคม 2564) เห็นชอบแล้ว
12. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ 60 ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ 60 ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจ้างงานข้าราชการภายหลังเกษียณอายุ 60 ปี เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า การจ้างงานข้าราชการหลังเกษียณสามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ความจำเป็นของภาครัฐ การขาดแคลนบุคลากรบางประเภท ความต้องการบุคลากรให้สอดคล้องกับบริบทของการบริการสาธารณะในอนาคต 2) การเตรียมรับสังคมสูงวัย เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยผู้มีความชำนาญและความสามารถสูงได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และ 3) ความจำเป็นด้านรายได้ที่พอเพียงสำหรับดำรงชีวิตหลังเกษียณ ระบบบำนาญชราภาพของประเทศยังไม่ครอบคลุมประชากรระดับบำนาญไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพและขาดความยั่งยืนทางการคลัง และได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการชะลอหรือทบทวนการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม การจ้างงานเพื่อใช้ศักยภาพข้าราชการเกษียณ และการศึกษาเพื่อปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่น
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ สำนักงาน ก.พ.เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานและข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
สำนักงาน ก.พ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการขององค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (กรมเสมียนตรา) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกรุงเทพมหานคร
โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ดังนี้
ข้อเสนอแนะ |
ผลการพิจารณาศึกษา |
1. การชะลอหรือทบทวนการขยายเกษียณอายุราชการตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม |
เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากประเทศกำลังประสบปัญหา การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งส่งผลกระทบที่สำคัญต่อสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนระบบการคลังและงบประมาณรัฐบาล จึงควรใช้จ่ายงบประมาณที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดการจ้างงานกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางก่อนเป็นลำดับแรก และเมื่อประเทศสามารถจัดการผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้แล้ว จึงสามารถนำมาพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป |
2. การจ้างงานเพื่อใช้ศักยภาพข้าราชการเกษียณ |
เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ที่เสนอให้มีการกำหนดทางเลือกที่หลากหลายในการจ้างงานข้าราชการที่เกษียณอายุราชการควบคู่ไปกับมาตรการขยายอายุเกษียณ ทั้งนี้ ให้พิจารณาตามความจำเป็นและความต้องการบุคลากรในแต่ละตำแหน่งหรือสาขา เช่น ตำแหน่งหรือสาขาที่ขาดแคลนกำลังคน ตำแหน่งที่ต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ โดยให้พิจารณาจ้างข้าราชการที่เกษียณอายุราชการในรูปแบบอื่น อาทิ การจ้างเหมาบริการ การรับงานไปทำ เป็นต้น |
3. การศึกษาเพื่อปฏิรูประบบบำเหน็จบำนาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่น |
เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบเรื่องดังกล่าว ได้มีการเตรียมความพร้อม โดยการวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง และจะได้มีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลและแนวทางการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับกันต่อไป |
13. เรื่อง รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ประจำปี 2563 (สำนักงาน ป.ป.ท.)
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เสนอ รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Couption Perceptons Iindex : CPI) ประจำปี 2563 ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ท. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีทราบแล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ได้ประกาศผลคะแนนดัชนี ชี้วัดการรับรู้การทุจริต ประจำปี พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 โดยในครั้งนี้มีประเทศที่เข้าร่วมการประเมินทั้งหมด 180 ประเทศ ดำเนินการสำรวจโดยอาศัยการประเมินจาก 13 แหล่งดัชนี ปรากฏว่า 2 ใน 3 ของประเทศที่เข้ารับการประเมินมีระดับคะแนนที่ต่ำกว่า 50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน และโดยเฉลี่ยระดับคะแนนอยู่ที่ 43 คะแนน ประเทศที่ได้รับคะแนนสูงที่สุด 88 คะแนน คือ นิวซีแลนด์และราชอาณาจักรเดนมาร์ก รองลงมามีคะแนน 85 คะแนน คือ สาธารณรัฐฟินแลนด์ สมาพันธรัฐสวิส สาธารณรัฐสิงคโปร์ และราชอาณาจักรสวีเดน ส่วนประเทศที่ได้รับคะแนนน้อยที่สุดคือ สาธารณรัฐเซาท์ซูดานกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย ได้รับคะแนนเพียง 12 คะแนน เท่านั้น
2. ประเทศไทย (ไทย) ได้รับคะแนน 36 คะแนน อยู่ในลำดับที่ 104 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งหมด180 ประเทศ ได้รับคะแนนเท่ากับปี 2562 แต่ลำดับลดลง 3 อันดับ จากลำดับเดิม 101 ไปอยู่ในลำดับที่ 104 โดยในปี 2563 อยู่ในลำดับที่ 5 ของประเทศสมาชิกอาเซียนรองจาก (1) สาธารณรัฐสิงคโปร์ 85 คะแนน (2) เนการาบรูไนดารุสซาลาม 60 คะแนน (3) มาเลเซีย 51 คะแนน (4) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (อินโดนีเซีย) 37 คะแนน และมีคะแนนเท่ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม) 36 คะแนน
3. ภาพรวมคะแนนของไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงและเมื่อเปรียบเทียบคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของไทยกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่า ในหลายประเทศมีผลคะแนนลดลง ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ดังนั้น จึงเป็นเครื่องสะท้อนว่า ไทยยังคงรักษาสถานะในการแข่งขันระดับนานาชาติไว้ได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19)
4. การประเมินจากที่อื่น ๆ 8 แห่งพบว่ามีคะแนนเท่าเดิม โดยมีคะแนนลดลงเพียง 1แห่ง คือ IMD World Competitiveness Center World Competitiveness Yearbook Executive Opinion Survey 2020 ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการประเมินคำถามเกี่ยวกับการให้สินบนและการทุจริตคอร์รัปชัน ยังคงมีอยู่หรือไม่ โดยสำรวจจาก นักธุรกิจ จำนวน 4,300 คนทั่วโลก ดังนั้น ไทยยังคงต้องมีการขับคลื่อนการดำเนินการเพื่อลดการให้สินบนและขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ สร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มขึ้น
5. องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติได้มีข้อเสนอแนะในสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้
5.1 สร้างความเข้มแข็งในการจัดการสถานการณ์ในหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการละเลยการป้องกันการทุจริตที่ดี ไม่มีการส่งเสริมการสร้างความโปร่งใสในการจัดการกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีเพียงพอ
5.2 เพิ่มความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง เนื่องจากหลายประเทศมีการผ่อนคลายกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในการดำเนินการป้องกันและบริหารสถานการณ์โควิด-19 จึงอาจจะทำให้เกิดปัญหาทุจริตในกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้างได้
5.3 ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ โดยควรเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการกำหนดกลไกการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ทั้งภาคการเมือง ภาคประชาสังคมและสื่อสารมวลชน
5.4 เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับความรุนแรงของสถานการณ์และการรับมือของรัฐบาลให้ประชาชนรับรู้และสามารถเข้าถึงได้ง่าย
6. สำนักงาน ป.ป.ท. เห็นควรกำหนดมาตรการในการยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต 5 มาตรการ ดังนี้
6.1 การจัดการเพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์สาธารณะในระบบราชการ เช่น พัฒนาการประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตและประพฤติมิชอบให้มีประสิทธิภาพ กำหนดให้มีการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายและพัฒนากรอบการแสดงบัญชีทรัพย์สิน สถานะทางการเงินและผลประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่รัฐ
6.2 การกำกับการวิ่งเต้นเพื่อลดการชี้นำการตัดสินใจในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เช่น พัฒนาแนวทางการดำเนินการข้อตกลงสัญญาคุณธรรม และส่งเสริมและรณรงค์ไม่ให้ข้าราชการรับของขวัญ ของกำนัล จากการปฏิบัติหน้าที่
6.3 การจัดการกับระบบพวกพ้องเพื่อให้การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปด้วยความเสมอภาค เช่น จัดทำกลไกหรือระบบการประเมินผลการให้บริการสาธารณะและการจัดสรรทรัพยากรภาครัฐ โดยให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมและลดความเสี่ยงในการใช้อิทธิพลในกระบวนการจัดทำนโยบายสาธารณะ
6.4 การส่งเสริมสิทธิพลมืองเพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เช่น พัฒนาอาสาสมัครภาครัฐให้เป็นกลไกติดตามเฝ้าระวังความเสี่ยงการทุจริต สนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมในการต่อต้านการทุจริต เปิดเผยข้อมูลและสร้างการรับรู้ทุกมิติ
6.5 การส่งเสริมการตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อบังคับใช้กฎหมายในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษอย่างรวดเร็ว เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ เช่น ยกระดับการบังคับใช้มาตรการทางการบริหาร (วินัย/ปกครอง/อาญา)
14. เรื่อง การพัฒนากฎหมายภาครัฐ (การปรับปรุงหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทั้ง 2 ข้อตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ ดังนี้
1. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 และวันที่ 6 กันยายน 2548 ที่มีมติรับทราบและเห็นชอบการพัฒนากฎหมายตามนโยบายรัฐบาลตามที่คณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนากฎหมายเสนอ ซึ่งรวมถึงแนวทางการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ โดยมอบหมายให้ สคก. รับผิดชอบพัฒนาหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐให้เหมาะสมแก่กาลสมัย โดยไม่ต้องนำเสนอหลักสูตรให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบอีก แต่ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ ผู้ซึ่งจะผ่านการฝึกอบรมต้องมีผลงานวิชาการส่วนบุคคลเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต้นสังกัดเผยแพร่ต่อสาธารณะในเว็บไซต์ของ สคก. ด้วย
2. ให้ สคก. พัฒนาวิธีการฝึกการอบรมและพัฒนานักกฎหมายภาครัฐให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป และอาจมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดการฝึกอบรมนักกฎหมายภาครัฐในสังกัดของตนเองตามหลักสูตรที่ สคก. กำหนด ทั้งนี้ ผู้ผ่านการฝึกอบรมต้องได้รับการอนุมัติให้ผ่านการฝึกอบรมจาก สคก. ตามหลักเกณฑ์ที่ สคก. กำหนดเพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพการฝึกอบรม
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ สคก. เสนอว่า
1. การอบรมนักกฎหมายภาครัฐตามหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 6 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นระยะเวลานานกว่า 15 ปีแล้ว เนื้อหาของหลักสูตรและวิธีการจัดการฝึกอบรมและพัฒนานักกฎหมายภาครัฐไม่สอดคล้องกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลักการพัฒนากฎหมายให้ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน (Better Regulation for Better Life) ตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน รวมทั้งต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง (stakeholder consultation) วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment : RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชนตามหลัก Open Government และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอนและรัฐพึงจัดให้มีการประมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย (ex post evaluation) แต่ละฉบับทุกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
2. นอกจากเนื้อหาของหลักสูตรที่ต้องพัฒนาแล้ว วิธีการจัดการฝึกอบรมและพัฒนาต้องปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้นด้วย โดยเฉพาะการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการฝึกอบรมและพัฒนา เนื่องจากที่ผ่านมาการอบรมที่ได้รับอนุมัติหลักการจากคณะรัฐมนตรีเป็นการจัดการฝึกอบรมในรูปแบบเดิม ซึ่งมีข้อจำกัดด้านจำนวนคนและงบประมาณ ทำให้มีนักกฎหมายภาครัฐจำนวนมากที่มีระยะเวลารับราชการยาวนานยังไม่ได้รับการฝึกอบรมและพัฒนา
3. ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงเนื้อหาของหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและหลักการดังกล่าว รวมทั้งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและนโบายของรัฐบาล เพื่อให้นักกฎหมายภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง
15. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอดังนี้
1. รับทราบรายละเอียดโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส กรอบวงเงินจำนวน 6,387,285,900 บาท
2. ขออนุมัติรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงิน 6,387,285,900 บาท สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส
สาระสำคัญ/ข้อเท็จจริง
1. กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้ดำเนินโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส ตามแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการให้วัคซีน COVID-19 เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงวัคซีนโดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1) รายละเอียดกิจกรรมและค่าใช้จ่าย
1.1) ค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัคซีน จำนวน 35 ล้านโดส วงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน 5,673.67 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าวัคซีนโควิด 19 จำนวน 5,302.50 ล้านบาท และเป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 371.17 ล้านบาท
1.2) ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการวัคซีน และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมในระดับพื้นที่ เพื่อรองรับการฉีดวัคซีน จำนวน 713.61 ล้านบาท
รวมงบประมาณ จำนวน 6,387,285,900 บาท
2) ระยะเวลาการดำเนินงาน เดือนมิถุนายน ถึง ธันวาคม 2564
3) เป้าหมาย จำนวนวัคซีนที่จัดซื้อเพิ่มเติมกับบริษัท AstraZeneca จำนวน 35 ล้านโดส
4) ประโยชน์ที่ได้รับ ประเทศไทยสามารถจัดซื้อวัคซีน เพื่อฉีดให้ประชากรไทยครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2564 และจะทำให้ลดอัตราป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด 19 รวมทั้งฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว
5) ผลผลิต จำนวนวัคซีน 35 ล้านโดส สำหรับประชากรกลุ่มเป้าหมายตามคำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จำนวน 17.5 ล้านคน
6) ผลลัพธ์ ประชากรกลุ่มเป้าหมายตามคำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
7) ผลกระทบ ลดอัตราป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด 19 รวมทั้งฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว
8) หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค
2. กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้มีหนังสือถึงสำนักงบประมาณเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID- 19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยจัดหาวัคซีนโควิด 19 สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยให้ได้รับการฉีดวัคซีนครอบคลุมจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2564
3. ซึ่งต่อมาสำนักงบประมาณแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 6,387,285,900 บาท
4. สำนักงบประมาณแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 6,387,285,900 บาท
ต่างประเทศ
16. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการกำลังส่งบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันระหว่างประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการกำลังส่งบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันระหว่างประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (MoU on Logistics and Defense Industry Cooperation between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Department of national Defense of the Republic of the Philippines) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) และหากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
ข้อกำหนดทั่วไป |
บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ ไม่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศและไม่ก่อให้เกิดสิทธิหรือพันธกรณีใด ๆ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ |
วัตถุประสงค์ |
- เพื่อขยายและเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยการยกระดับความร่วมมือและประสานงานด้านการส่งกำลังบำรุงและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งกำลังบำรุง พร้อมกับการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างประเทศ - การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ จะสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายแห่งรัฐ ข้อบังคับและนโยบายที่เกี่ยวข้องของผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย รวมทั้งความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องตามที่ทั้งสองฝ่าย หรือโดยรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายได้เข้าร่วมโดยปราศจากความเอนเอียงต่อความตกลงใด ๆ ที่ผู้เข้าร่วมฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ทำกับบุคคลที่สาม |
ขอบเขตของความร่วมมือ |
- ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการประสานโดยตรงระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายตามความเหมาะสม เพื่อดำเนินความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการให้ได้มาซึ่งสิ่งอุปกรณ์การวิจัยร่วม การพัฒนา และการผลิตยุทโธปกรณ์ของอีกฝ่ายหนึ่ง - อาจจัดทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในกรณีที่มีความจำเป็น |
รูปแบบของความร่วมมือ |
เช่น ความร่วมมือในการพัฒนา การผลิต การปฏิบัติการ และการบริหารจัดการ สิ่งอุปกรณ์ทางทหาร/ความร่วมมือในการจัดหาหรือถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ และการบริการ/การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ด้านการส่งกำลังบำรุงและด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ/ความร่วมมือด้านการส่งออกไปยังประเทศที่สาม รวมทั้งการให้ได้มาซึ่งสิ่งอุปกรณ์ทางทหารร่วมกัน เป็นต้น |
หน่วยงานที่ดำเนินการ |
- กระทรวงกลาโหม : สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ - กระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ : สำนักงานผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือหน่วยงานในระดับเดียวกัน |
ข้อกำหนดเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร สิ่งอุปกรณ์ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การบริการและการอำนวยความสะดวก |
- แต่ละฝ่ายจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เมื่อได้รับการร้องขอข้อมูลข่าวสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยุทโธปกรณ์ การบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวก โดยจะปกป้องข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจากบุคคลที่สาม - ทั้งสองฝ่ายอาจจัดทำสัญญาแยกต่างหากสำหรับการจัดหายุทโธปกรณ์ โดยระบุการควบคุมและรับรองคุณภาพของยุทโธปกรณ์ดังกล่าว ตลอดจนการฝึกอบรมการใช้งานยุทโธปกรณ์เหล่านั้น - ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจแจ้งให้ทราบถึงความต้องการของตนสำหรับสิ่งอุปกรณ์และการบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมความร่วมมือตามที่ระบุในบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ |
สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา |
แต่ละฝ่ายจะปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของประเทศตน ตลอดจนความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลใช้บังคับระหว่างสองประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายอาจจะกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ในข้อตกลงแยกอีกฉบับ |
ขอบเขต |
- แต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของฝ่ายตนและของบุคลากรของตนในการเข้าร่วมกิจกรรมความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ โดยกิจกรรมดังกล่าวจะดำเนินการสอดคล้องกับกฎหมายที่ใช้บังคับของทั้งสองฝ่าย - แต่ละฝ่ายจะพยายามอำนวยความสะดวกในการเข้าและออกประเทศของบุคลากรและสิ่งอุปกรณ์ของอีกฝ่ายในการเข้าร่วมโครงการ แผนงาน และความร่วมมืออื่น ๆ ภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ |
การแก้ไขข้อขัดแย้ง |
ข้อขัดแย้งใด ๆ ที่เกี่ยวกับการตีความหรือการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ จะได้รับการแก้ไขโดยการปรึกษาหารือระหว่างทั้งสองฝ่าย และจะไม่ถูกนำไปสู่บุคคลที่สามเพื่อการแก้ไข |
การรักษาความลับ |
- แต่ละฝ่ายจะรักษาความลับของสิ่งอุปกรณ์ โครงการ ข้อมูลทางเทคนิคและข้อมูลข่าวสารอื่น ๆ ที่มีชั้นความลับ ซึ่งได้แลกเปลี่ยนกันภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ - แต่ละฝ่ายจะไม่ให้หรือเปิดเผยข้อมูลทางการทหาร เอกสาร ข้อมูลและวัสดุ ทางเทคนิค ไม่ว่าจะมีการกำหนดชั้นความลับหรือไม่ ไปยังบุคคลที่สาม โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เข้าร่วมที่ให้ข้อมูลข่าวสารดังกล่าว เว้นแต่จะมีการตกลงร่วมกันเป็นอย่างอื่นระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย |
การมีผลบังคับใช้ การแก้ไข |
- จะมีผลบังคับใช้ในวันที่มีการแจ้งผ่านช่องทางการทูตเป็นลายลักษณ์อักษร โดยจะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี และจะขยายระยะเวลาโดยอัตโนมัติคราวละ 5 ปี - บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ อาจแก้ไขโดยความตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรร่วมกันจากทั้งสองฝ่าย |
17. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) ครั้งที่ 1 และพิจารณามอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ที่ประชุมได้รับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ (ถ้อยแถลงร่วมฯ) ซึ่ง มีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 อย่างไรก็ตาม มีการเพิ่มประเด็น ดังนี้
1.1 การขยายสาขาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนให้รวมถึงการอนุรักษ์และปกป้องสิ่งแวดล้อม และด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้รวมถึงการศึกษาและการส่งเสริมบทบาทสตรี
1.2 การแสดงความยินดีต่อถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ว่าด้วยหุ้นส่วนพลังงานลุ่มน้ำโขง ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ค.ศ. 2020 ซึ่งทั้งสองประเทศได้รับรองเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563
1.3 การยืนยันจำนวนเงิน 153.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่สหรัฐฯ ประกาศสำหรับการดำเนินกิจกรรมและโครงการเพื่อประโยชน์ร่วมกันในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยเน้นด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ความร่วมมือด้านพลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ ถ้อยแถลงร่วมฯ มีเอกสารผนวก 2 ฉบับ ได้แก่ (1) เอกสารแนวคิดการจัดตั้งหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ซึ่งระบุภาพรวมความคืบหน้าของการดำเนินการภายใต้ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่างในช่วงที่ผ่านมา และเหตุผล หลักการความร่วมมือ วัตถุประสงค์สาขาความร่วมมือหลัก และโครงสร้าง/กลไกการประชุมระดับต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้หุ้นส่วนลุ่มน้ำโขงสหรัฐฯ ในระยะต่อไป และ (2) ถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีญี่ปุ่น-สหรัฐฯ เรื่องหุ้นส่วนพลังงานลุ่มน้ำโขง ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ที่จะทำให้ตลาดพลังงานในอนุภูมิภาค มีความเชื่อมโยงและยั่งยืนมากขึ้น รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
2. สาระสำคัญของถ้อยแถลงของผู้แทนประเทศต่าง ๆ
สหรัฐฯ ยินดีต่อการยกระดับความร่วมมือหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมบทบาทและเชิดชูอธิปไตยและหลักนิติธรรมของประเทศสมาชิก และจัดการกับความท้าทายต่างๆ ปัญหาภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ำ โดยที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้สร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงานของประเทศลุ่มน้ำโขง ดังนั้น สหรัฐฯ จึงสนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในเรื่องความร่วมมือ เพื่อแบ่งปันข้อมูลน้ำและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำ การสอดประสานความร่วมมือ สหรัฐฯ สนับสนุนกรอบความร่วมมือที่ประเทศลุ่มน้ำโขงมีบทบาทนำ เช่น ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง และพร้อมร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น ๆ ของอนุภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่น สาธารณรัฐอิตาลี สาธารณรัฐอินเดีย และสาธารณรัฐเกาหลี
ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนอนุภูมิภาคมาโดยตลอด รวมทั้งในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยินดีต่อการยกระดับความร่วมมือระหว่างลุ่มแม่น้ำโขงและสหรัฐฯ โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น (1) ควรต่อยอดความสำเร็จของกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ซึ่งตอบสนองความต้องการของประเทศในอนุภูมิภาค (2) ควรจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนแนวทางความร่วมมือภายใต้หุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ และจัดตั้งกลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ อย่างชัดเจน และ (3) ควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก
เลขาธิการอาเซียน ยินดีที่ความร่วมมือ 4 สาขาภายใต้หุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ได้แก่ (1) ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ (2) การบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์และปกป้องสิ่งแวดล้อม (3) ความมั่นคงรูปแบบใหม่ และ (4) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เกื้อหนุนแผนงานประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน รวมทั้งเห็นว่าหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ จะสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนในยุคหลังโควิด-19 - เสนอให้ร่วมมือกันส่งเสริมห่วงโซ่อุปทาน ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน
3. ประเด็นที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ เช่นความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การสอดประสานกันด้านกฎระเบียบ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน พลังงาน สนับสนุนการดำเนินการภายใต้หุ้นส่วนพลังงานลุ่มน้ำโขง ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมการบูรณาการด้านพลังงานและการพัฒนาตลาดพลังงานในอนุภูมิภาคอย่างยั่งยืน โดยยินดีร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมการกระจายแหล่งพลังงานและประเภทพลังงานให้มีความหลากหลาย เหมาะสม และยั่งยืน รวมถึงการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนความมั่นคงรูปแบบใหม่ เน้นการดำเนินงานด้านสาธารณสุข โดยเห็นว่า สหรัฐฯ มีความพร้อมที่จะส่งเสริมความแข็งแกร่งของอนุภูมิภาคในการรับมือกับโควิด-19 และโรคระบาดอุบัติใหม่ ทั้งนี้ ไทยพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์และแนวปฏิบัติเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อาสาสมัครหมู่บ้าน และร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาวัคซีนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควร เร่งพัฒนาให้อนุภูมิภาคสามารถปรับตัวสู่ภาวะปกติใหม่และปกติต่อไป เช่น นวัตกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และการเรียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสาขาที่สหรัฐฯ มีความเชี่ยวชาญและสามารถร่วมมือกับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอื่น ๆ ยินดีต่อการยกระดับความร่วมมือหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ยินดีต่อข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่จะส่งเสริมบทบาทของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงและธรรมาภิบาลด้านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ย้ำความสำคัญของการสอดประสานกับกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ที่ประเทศสมาชิกหลายประเทศเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา
ทั้งนี้ การดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมฯ สอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทยในการส่งเสริมและกระชับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านการดำเนินกิจกรรมและโครงการด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ความเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการลดความเหลื่อมล้ำทางการพัฒนา จึงมีประเด็นมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
18. เรื่อง ผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 (ผลการประชุมฯ) และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทย (ไทย) และกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย (รัสเซีย) (บันทึกความเข้าใจฯ) และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซียเป็นประธานร่วม สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ฝ่ายไทยได้หารือกับฝ่ายรัสเซียภายใต้กรอบท่าทีและการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 และได้นำความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาพิจารณาประกอบหารือด้วย สรุปได้ ดังนี้
1.1 การแลกเปลี่ยนข้อมูลความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าในปี 2562 และมาตรการรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบการตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2566
1.2 การหารือด้านการส่งเสริมความร่วมมือรายสาขา สรุปได้ ดังนี้
ด้านการเกษตร ไทยเสนอให้รัสเซียพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและยางพาราของไทย รวมถึงเร่งรัดการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างการยางแห่งประเทศไทยและรัฐวิสาหกิจ Rostec ของรัสเซีย
ด้านการท่องเที่ยว เห็นควรเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19
ด้านอุตสาหกรรม สนับสนุนให้จัดการประชุมคณะทำงานร่วมด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างไทย-รัสเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างกัน
ด้านการเงินและการธนาคาร รัสเซียขอให้ไทยสนับสนุนการใช้บัตรเครดิต MIR CARD ของรัสเซียเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวรัสเซีย
ด้านความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ ส่งเสริมกิจกรรมภาคธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น การจับคู่ธุรกิจออนไลน์ และ Virtual Trade Fair
ด้านความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจในระดับพหุภาคีและภูมิภาค ฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายรัสเซียสนับสนุนการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย ซึ่งประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐเบลารุส สาธารณรัฐอาร์เมเนีย และสาธารณรัฐคีร์กีซ
2. ไทยและรัสเซียได้หารือเพื่อหาข้อสรุปการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกัน โดยได้ปรับแก้ถ้อยคำในบันทึกความเข้าใจฯ ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ที่มุ่งยกระดับและกระชับความสัมพันธ์รวมถึงขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่จะเป็นประโยชน์ระหว่างไทยและรัสเซีย ซึ่งครอบคลุมการส่งเสริมสินค้าที่มีศักยภาพยิ่งขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้ รัสเซียได้จัดทำเอกสารบันทึกความเข้าใจฯ เป็นคู่ฉบับทั้งสองฝ่าย โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจ (Mr.Vladimir Ilichev) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ทั้ง 2 คู่ฉบับแล้ว เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ณ กรุงมอสโก และได้ส่งเอกสารบันทึกความเข้าใจดังกล่าวให้ไทยซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ลงนามด้วยแล้ว
19. เรื่อง การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+3 ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ จัดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+3 ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ 10 และ 12 มีนาคม 2564 โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานการประชุมในระดับรัฐมนตรี รวมทั้งเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน (Joint Media Statement) ทั้งนี้ หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวในส่วนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีสารนิเทศของไทย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในที่ประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ 12 มีนาคม 2564 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านสื่อและการประชาสัมพันธ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา+3 เพื่อกำหนดนโยบาย และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานด้านสื่อและสารสนเทศของอาเซียน รวมทั้งกับประเทศคู่เจรจา โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมฯ จะกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อผลักดันแนวคิดหลัก สานต่อประชาคมดิจิทัล เข้าถึง ครอบคลุม เพื่อโอกาสของคนทุกกลุ่ม (ASEAN: A Digital Community with Accessibility for All) เน้นส่งเสริมการเข้าถึงสื่อของคนทุกกลุ่ม ทั้งคนพิการ ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง และร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ซึ่งมีสาระสำคัญคือการรวบรวมประเด็นสำคัญของการประชุมที่เกิดขึ้นทั้งหมด เอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ ความคืบหน้าการดำเนินการตามความร่วมมือระหว่างอาเซียน และกับประเทศคู่เจรจา ในวันที่ 12 มีนาคม 2564
2. ร่างระเบียบวาระการประชุม (5 การประชุม)
ร่างระเบียบวาระการประชุม ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน+3 ครั้งที่ 6 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 18 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน+3 ครั้งที่ 6 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสารนิเทศอาเซียน+ญี่ปุ่น ครั้งที่ 3 เป็นเอกสารที่กำหนดหัวข้อการหารือในที่ประชุมต่าง ๆ ข้างต้น
3. ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในระดับรัฐมนตรีอาเซียนเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ของอาเซียน การส่งเสริมการเข้าถึงสื่อดิจิทัล การพัฒนาทักษะของคณะทำงานต่าง ๆ และความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา
แต่งตั้ง
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางสาววิลาวัลย์ วีระกุล รองอธิบดีกรมธนารักษ์ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. ให้นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
2. ให้นายวิเชียร จันทรโณทัย พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดชัยภูมิ สำนักงานปลัดกระทรวง
3. ให้นายกอบชัย บุญอรณะ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดชัยภูมิ สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง
4. ให้นายโชคดี อมรวัฒน์ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพะเยา สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
22. เรื่อง ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้ นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งหนึ่งปี ในวันที่ 23 มีนาคม 2564 คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2564 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี