7 เมษายน 256 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบ Video Conference
ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และความเห็นของสมาคมธนาคารไทย และสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. ....
มท. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 บัญญัติให้เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาและควบคุมการทะเบียนราษฎร การตรวจสอบพิสูจน์ตัวบุคคลและประมวลผลข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร ให้สำนักทะเบียนกลางดำเนินการจัดเก็บข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด และปรับปรุงข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรให้ตรงต่อความเป็นจริงอยู่เสมอ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
2. เนื่องจากปรากฏการณ์ New Normal ซึ่งเป็นผลจากการเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 (Covid-19) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานของคนในสังคม และได้กำหนดกรอบในการพัฒนาระบบการทำงานของกรมการปกครอง เช่น ให้สำนัก/กอง ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงระบบงานการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการจองคิวอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ หรือระบบบริหารงานอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในเบื้องต้นสำนักบริหารการทะเบียนโดยส่วนบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีการทะเบียน ได้ดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการด้านงานทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนที่สำนักทะเบียน โดยทำการจองคิวหรือนัดหมายล่วงหน้าแบบออนไลน์ ซึ่งประชาชนสามารถเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ http://Q-Online.bora.dopa.go.th
3. ปัจจุบันได้มีการวางระบบคอมพิวเตอร์ด้านการทะเบียนราษฎรไว้ทุกสำนักทะเบียนทั่วประเทศเพื่อให้บริการประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ โดยได้ออกกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2547 ซึ่งกำหนดให้สำนักทะเบียนกลางจัดให้มีระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรทุกสำนักทะเบียนไว้ประจำสำนักทะเบียนกรุงเทพมหานคร สำนักทะเบียนจังหวัด สำนักทะเบียนอำเภอ และสำนักทะเบียนท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ตาม การให้บริการดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมถึงการให้บริการงานทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล เช่น การให้บริการประชาชนที่สามารถยืนยันตัวตนเพื่อยื่นคำขอแจ้งย้ายผ่านระบบดิจิทัล หรือการขอเลขที่บ้านใหม่หรือการขอคัดสำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น
4. ดังนั้น เพื่อเป็นการปรับปรุงระบบการทำงานของเจ้าหน้าที่และการให้บริการประชาชนด้วยระบบดิจิทัลในการขอรับบริการงานทะเบียนราษฎรที่ประชาชนจะได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดที่ประชาชนจะต้องมาขอรับบริการ มท. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... เพื่อกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล ตลอดจนเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและสอดคล้องกับหลักวิถีใหม่หรือ New Normal ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
5. มท. ได้รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ว่ามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมระยะเริ่มแรกเป็นเวลา 1 ปีสำหรับการใช้บริการผ่านระบบดิจิทัล โดยงานทะเบียนราษฎรที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจะประกาศเพื่อให้บริการในช่วงแรก ได้แก่ การแจ้งย้ายที่อยู่ปลายทางอัตโนมัติ ซึ่งช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 มีการเก็บค่าธรรมเนียมได้จำนวน 21,783,316 บาท ซึ่งการดำเนินการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมไปจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจำนวนของประชาชนผู้ขอรับบริการผ่านระบบดิจิทัล
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดการปฏิบัติงานการทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัลและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดนิยามคำว่า “การพิสูจน์และยืนยันตัวตน” หมายความว่า กระบวนการพิสูจน์และยืนยันความถูกต้องของตัวบุคคล และคำว่า “ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล” หมายความว่า เครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างบุคคลใด ๆ หรือหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนและการทำธุรกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการพิสูจน์และยืนยันตัวตน
2. กำหนดให้ผู้ประสงค์จะเข้าใช้บริการเกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎรผ่านระบบดิจิทัลขอลงทะเบียนเพื่อการพิสูจน์และยืนยันตัวตนและกำหนดรหัสประจำตัว โดยยื่นความประสงค์ต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียนอำเภอ สำนักทะเบียนท้องถิ่น หรือสำนักทะเบียนอื่นตามที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
3. กำหนดให้มีการบริการงานทะเบียนราษฎรด้วยระบบดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลแล้ว สามารถขอรับบริการผ่านระบบดิจิทัลได้ด้วยตนเอง
4. การขอรับบริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัลผ่านการให้บริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล ให้ถือว่าเป็นการยื่นคำขอหรือแจ้งตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร และเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนหรือนายทะเบียนผู้รับแจ้ง
5. วิธีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมและการรับรองรายการทะเบียนที่เกิดจากการบริการด้วยระบบดิจิทัล ให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด ทั้งนี้ ในระยะเริ่มแรกเป็นเวลาหนึ่งปี ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรที่จะต้องเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการด้วยระบบดิจิทัล และอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล
6. กำหนดให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางจัดให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตามและประมวลผล การให้บริการงานทะเบียนด้วยระบบดิจิทัล และการปรับปรุงรายการที่เกิดจากการให้บริการด้วยระบบดิจิทัลในฐานข้อมูลการทะเบียนด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องเป็นปัจจุบันตลอดเวลา
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย พ.ศ. ....
คณะรัฐมตนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ พน. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย โดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับที่ตั้ง แผนผัง รูปแบบ และลักษณะของสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย การเก็บรักษา และการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดวิธีการคิดปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลวในถังก๊าซหุงต้ม
2. กำหนดที่ตั้ง ลักษณะ และแผนผังของร้านจำหน่าย โดยห้ามตั้งร้านจำหน่ายถังก๊าซหุงต้มในอาคารชุด อาคารสรรพสินค้า อาคารแสดงสินค้า หรือสถานีบริการ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ รวมถึงปริมาณการเก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย โดยร้านจำหน่ายที่อยู่ห่างจากอาคารอื่นไม่เกิน 6.00 เมตร ให้เก็บได้ไม่เกิน 2,400 ลิตร อยู่ห่างจากอาคารอื่นเกิน 6.00 เมตรขึ้นไป ให้เก็บได้ไม่เกิน 12,000 ลิตร
4. กำหนดระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย รวมถึงข้อห้ามในการประกอบกิจการสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประเภทร้านจำหน่าย โดยกำหนดให้ร้านจำหน่ายลักษณะที่สอง (ร้านจำหน่ายที่มีการเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่มีปริมาณเกิน 500 ลิตรขึ้นไป) ต้องจัดให้มีระบบป้องกันภัยแบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (Water Sprinklers) โดยต้องสามารถฉีดน้ำได้ครอบคลุมบริเวณที่เก็บถังก๊าซหุงต้มหรือกระป๋องก๊าซ และกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการร้านจำหน่ายต้องควบคุมดูแลไม่ให้มีการถ่ายเทก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถังก๊าซหุงต้ม
5. กำหนดบทเฉพาะกาล ให้ร้านจำหน่ายที่ประกอบกิจการอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวงนี้ภายในเวลา 1 ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ และให้ร้านจำหน่ายที่ตั้งอยู่ในตึกแถวที่ประกอบกิจการอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้มีกรรมสิทธิ์ในตึกแถวข้างเคียงที่มีผนังร่วมกัน
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกอาชญาบัตรและประทานบัตร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ อก. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกอาชญาบัตรสำรวจแร่ อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ และประทานบัตร รวมทั้งคุณสมบัติของผู้ขอรับอาชญาบัตรและประทานบัตรซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา 38 วรรคสอง และมาตรา 52 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขออาชญาบัตรและประทานบัตร เช่น มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ต้องเป็นสมาชิกของสภาการแร่ และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น
2. กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้ยื่นคำขออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ และประทานบัตร เช่น ผู้ขอรับอาชญาบัตรต้องไม่เคยถูกยกคำขอ ยกเลิกหรือเพิกถอนอาชญาบัตรผู้ขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษ หรือประทานบัตร เป็นต้น
3. กำหนดขั้นตอนและกระบวนการขอยื่นคำขออาชญาบัตรและประทานบัตร เช่น การยื่นคำขออาชญาบัตรสำรวจแร่ให้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในเขตเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลในท้องที่ที่จะขอสำรวจแร่ พร้อมด้วยข้อมูล เอกสารหรือหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ และการยื่นคำขอประทานบัตรให้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานอุตสาหกรรมแร่ประจำท้องที่ ในท้องที่ที่จะขอทำเหมือง พร้อมด้วยข้อมูล เอกสารหรือหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอ เป็นต้น
4. กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาออกประทานบัตร ได้แก่ ความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ ความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่จะใช้ในการทำเหมือง มาตรการป้องกันผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และแผนการฟื้นฟูที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแร่ เป็นต้น
4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ พณ. รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของ อก. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
พณ. เสนอว่า
1. โดยที่มาตรา 5 (5) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 บัญญัติให้ในกรณีที่จำเป็นหรือสมควร เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สาธารณประโยชน์ การสาธารณสุข ความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดของรัฐ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดให้สินค้าใดที่ส่งออกหรือนำเข้าเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หนังสือรับรองคุณภาพสินค้า หรือหนังสือรับรองอื่นใดตามความตกลงหรือประเพณีทางการค้าระหว่างประเทศ และกำหนดมาตรการอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกหรือการนำเข้าฯ
2. ประกอบกับได้มีคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ 2411/2562 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทาง มาตรการพัฒนาเกลือทะเลไทยทั้งระบบ รวมถึงกำหนดและจัดทำแผนงาน โครงการ และงบประมาณ และบูรณาการขับเคลื่อนการบริหารจัดการเกลือทะเลไทยให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติให้ พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศพิจารณากำหนดแนวทางควบคุมการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเกลือทะเลจากปัญหาการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ซึ่งทำให้เกลือในประเทศมีราคาตกต่ำ รวมทั้งกำกับดูแลการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ซึ่งต่อมาได้มีการจัดประชุมเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการให้กรมการค้าต่างประเทศพิจารณาออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือและรายงานการนำเข้าต่อกรมการค้าต่างประเทศ และขอให้กรมการค้าต่างประเทศนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ คณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกรมการค้าต่างประเทศ
4. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดประชุมเพื่อพิจารณาร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมศุลกากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และได้นำร่างประกาศดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นระหว่างวันที่ 1 – 30 ตุลาคม 2563 ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวน 31 ราย โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างประกาศดังกล่าว เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาเกลือทะเลจากปัญหาการนำเข้าเกลือจากต่างประเทศ
จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เกลือเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. กำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย จำนวน 7 รายการ ได้แก่ 2501.00.10 – 000/KGM 2501.00.20 – 000/KGM 2501.00.91 – 000/KGM 2501.00.92 – 000/KGM 2501.00.99 – 003/KGM 2501.00.99 – 004/KGM และ 2501.00.99 – 090/KGM (เช่น เกลือป่นสำหรับรับประทาน เกลือหินที่ไม่ผ่านกรรมวิธี เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมยา เกลือสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ) ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือต่อกรมการค้าต่างประเทศ
2. กำหนดให้เกลือตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย จำนวน 7 รายการ ตามข้อ 1. เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin : C/O) หรือหลักฐานการอนุญาตให้ส่งออกที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานอื่นที่มีอำนาจจากประเทศผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกแสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้า
3. กำหนดให้ผู้นำเข้าเกลือต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เช่น ขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าเกลือกับกรมการค้าต่างประเทศหรือหน่วยงานอื่นที่กรมการค้าต่างประเทศมอบหมายก่อนนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศประกาศกำหนด และต้องรายงานการนำเข้า การครอบครอง และวัตถุประสงค์การใช้ เป็นรายเดือนต่อกรมการค้าต่างประเทศ
4. ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่ สธ. เสนอ
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่ สธ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 โดยแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาอนุญาตเครื่องสำอางให้เหมาะสมและรวดเร็ว ซึ่งสอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสุขภาพ ทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับการค้าโลก
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้ใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2. แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยาม “กระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง” ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
3. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการเครื่องสำอางมีอำนาจประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขึ้นบัญชี อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุด และค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุด ประเภทและค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอ รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มบทบัญญัติกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง
4. กำหนดให้เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย และผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้รับการขึ้นบัญชีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย ให้ทำหน้าที่พิจารณาคำขอตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารประเมินเอกสารทางวิชาการ ตรวจวิเคราะห์ ตรวจสถานที่ผลิตนำเข้า ขายหรือเก็บรักษาเครื่องสำอาง หรือตรวจสอบ เพื่อออกใบรับจดแจ้ง ตลอดจนพิจารณาใด ๆ เกี่ยวกับเครื่องสำอาง
5. กำหนดให้เงินค่าขึ้นบัญชีผู้เชี่ยวชาญฯ ให้เป็นของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ส่วนค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บได้เป็นของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับมอบหมายให้ทำกิจการในหน้าที่และอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่ได้จัดเก็บ และให้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด
6. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับประกาศที่ออกตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 ในส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้นำมาใช้บังคับแก่กระบวนการพิจารณาเครื่องสำอางเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมนี้
6. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
สาระสำคัญ
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ (1) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลง เนื่องจากสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ได้รับการขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 โดยให้แสดงความจำนงภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 (2) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนตามมาตรา 39 วรรคสาม สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนมีนาคม 2563 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2564 โดยให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2564
ทั้งนี้ รง. เสนอว่า เนื่องจากร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... มีหลักการสำคัญเพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ไม่สามารถแสดงความจำนงสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 หรือนำส่งเงินสมทบได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อันเป็นเหตุจำเป็นอย่างอื่น ซึ่งมาตรา 84/2 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาการดำเนินการตามมาตรา 39 ออกไปได้ตามความเหมาะสมหรือจำเป็น กระทรวงแรงงานจึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
รง. ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลง เนื่องจากสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง และไม่ได้แสดงความจำนงสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ภายในหกเดือนนับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน ระหว่างเดือนกันยายน 2562 ถึง ธันวาคม 2563 มีจำนวนประมาณ 1,880,000 คน และผู้ประกันตนที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 เนื่องจากขาดส่งเงินสมทบระหว่างเดือนมีนาคม ถึง ธันวาคม 2563 จำนวนประมาณ 90,000 คน ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการตามมาตรการขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 แล้ว คาดว่าจะทำให้มีผู้มาแสดงความจำนงสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ร้อยละ 10 หรือประมาณ 188,000 คน และคาดว่าจะมีผู้ที่ขาดส่งเงินสมทบตามมาตรา 39 มาส่งเงินสมทบในงวดเดือนที่ขาดส่งเพื่อให้ได้รับสิทธิการเป็นผู้ประกันตนตามมารตรา 39 ตามเดิม ร้อยละ 22 หรือประมาณ 20,700 คน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกันตนเพื่อให้มีหลักประกันทางสังคมต่อไป
เศรษฐกิจ สังคม
7. เรื่อง ขอความเห็นชอบยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (นร.) [กรมประชาสัมพันธ์ (กปส.)] เสนอให้ยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา (โครงการวิทยุเครือข่ายที่ 2) ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษาจำนวน 11 สถานี ที่ นร. (กปส.) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ
สาระสำคัญของเรื่อง
นร. (กปส.) รายงานว่า
1. กปส. ได้ดำเนินงานตามโครงการวิทยุเครือข่ายที่ 2 ภายใต้โครงการ คพศ. 5 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2522 และวันที่ 10 เมษายน 2522 ซึ่งที่ผ่านมา กปส. ได้ดำเนินงาน ดังนี้
เรื่อง |
การดำเนินงาน |
||||||
การจัดตั้งสถานี และการกระจายเสียง
|
กปส. ได้จัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา รวม 11 สถานี สามารถส่งออกอากาศได้ครอบคลุมร้อยละ 90 ของพื้นที่ประเทศไทย ดังนี้
|
||||||
เนื้อหารายการ |
รายการที่ออกอากาศ รวม 7 รายการ ได้แก่ 1) รายการวิทยุโรงเรียน 2) รายการการศึกษานอกโรงเรียนทางวิทยุและไปรษณีย์ 3) รายการกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 4) รายการเสริมความรู้วิชาชุดครูทางไปรษณีย์ 5) รายการส่งเสริมทางการเกษตร 6) รายการสุขภาพและอนามัย และ 7) การถ่ายทอดข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการพิจารณาการใช้สถานีวิทยุกระจายเสียงเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษารับผิดชอบการบริหารงานของสถานี |
2. ต่อมาได้มีการประกาศใช้กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2545 โดยปรับให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา เป็นหน่วยงานภายในอยู่ภายใต้การบริหารของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเพื่อการศึกษา (สวศ.)” (หมายเหตุ : กปส. ได้ดำเนินโครงการวิทยุเครือข่ายที่ 2 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2522 - มิถุนายน 2527 และสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินตามโครงการในเดือนพฤศจิกายน 2528 อย่างไรก็ดี ภายหลังสิ้นสุดโครงการดังกล่าว สวศ. ได้ดำเนินภารกิจตามโครงการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ)
3. ปัจจุบัน กปส. ได้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการกระจายเสียง ตามมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 จำนวน 145 คลื่นความถี่ (รวมถึงคลื่นความถี่ของ สวศ. ทั้ง 11 สถานี จำนวน 11 คลื่นความถี่) โดยสถานะการได้รับอนุญาตให้ใช้งานคลื่นความถี่ดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 3 เมษายน 2565 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ได้ขอให้ กปส. ยื่นความประสงค์หากจะให้บริการกระจายเสียงต่อไปภายหลังการสิ้นสุดการได้รับอนุญาตให้ใช้งานดังกล่าว โดยให้ กปส. ยื่นแผนประกอบกิจการกระจายเสียงและคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ภายในวันที่ 3 เมษายน 2564 เพื่อเตรียมปรับเข้าสู่การประกอบกิจการให้บริการกระจายเสียงภายใต้ระบบใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมและกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์
4. กปส. ได้พิจารณาทบทวนในมิติต่าง ๆ ครอบคลุมถึงความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงและอุปกรณ์ส่วนควบต่าง ๆ ตามโครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา ที่ สวศ. ดำเนินการอยู่ พบว่า มีอายุการใช้งานนานกว่า 35 ปี โดยบางสถานีมีสภาพชำรุดเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน และหากจะพัฒนาประสิทธิภาพของสถานีต่อไปจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ประกอบกับสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิทยุกระจายเสียง และอาจมีความเหมาะสมต่อวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษามากกว่าวิทยุกระจายเสียง จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้
4.1 ยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา (รวม 11 สถานี)
4.2 ยื่นแผนประกอบกิจการกระจายเสียงและคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงในภาพรวม สรุปได้ ดังนี้
จำนวนคลื่นความถี่ (145 คลื่นความถี่) |
การดำเนินการ |
1) การคงสถานีไว้ : เพื่อผลิตและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของรัฐ ให้สอดคล้องต่อบริบทสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับภารกิจของ กปส. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร |
|
104 |
- ครอบคลุมคลื่นความถี่ของ สวศ. ที่มีอยู่เดิม 4 คลื่นความถี่ เนื่องจากได้พัฒนาประสิทธิภาพของสถานีไปบ้างแล้ว |
2) ยุติออกอากาศและส่งคืนคลื่นความถี่ต่อ กสทช. : เพื่อนำไปพิจารณาจัดสรรแก่หน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป |
|
41 |
- ครอบคลุมคลื่นความถี่ของ สวศ. 7 คลื่นความถี่ |
หมายเหตุ : กปส. ได้ประสานขอยื่นแผนประกอบกิจการกระจายเสียงและคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงไปยังสำนักงาน กสทช. แล้ว
5. กปส. ได้จัดประชุมหารือร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วไม่ขัดข้องต่อการยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา ภายใต้โครงการพัฒนาวิทยุกระจายเสียงเพื่อการศึกษา เฉพาะในส่วนที่ กปส. รับผิดชอบ เนื่องจากปัจจุบันศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษามีช่องทางใหม่ ๆ ในการสื่อสารให้กับผู้เรียนหรือประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าวิทยุกระจายเสียง รวมทั้งการบำรุงรักษาต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจไม่คุ้มค่า ประกอบกับ ศธ. พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องต่อการขอยุติการดำเนินงานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเครือข่ายที่ 2 เพื่อการศึกษา แต่ กปส. ควรระบุให้ชัดเจนว่า จะยุติการดำเนินงานเฉพาะโครงการวิทยุ เครือข่ายที่ 2 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน 2 มกราคม 2522 และ 10 เมษายน 2522
8. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 726.25 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ (จำนวน 4 จังหวัด) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (งบกลางฯ) วงเงิน 726.25 ล้านบาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง (ทล.) จำนวน 539.50 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) จำนวน 186.75 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ (จำนวน 4 จังหวัด) ของ ทล. และ ทช.
สาระสำคัญของเรื่อง
คค. รายงานว่า
1. ระหว่างวันที่ 4 - 16 มกราคม 2564 เกิดเหตุอุทกภัยเนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง น้ำป่าไหลหลาก และน้ำลันตลิ่งในพื้นที่ภาคใต้ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ส่งผลให้ทางหลวงแผ่นดินและทางหลวงชนบทได้รับความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนผู้ใช้เส้นทาง ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ ซึ่ง ทล. และ ทช. ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและซ่อมแซมเส้นทางเพื่อให้การจราจรผ่านได้ในระยะเร่งด่วนแล้ว
2. ทล. และ ทช. เสนอขอรับการจัดสรรงบกลางฯ จำนวน 43 รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 726.25 ล้านบาท เพื่อซ่อมแชม/บูรณะทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบทและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 4 จังหวัดข้างต้นซึ่งถูกประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติของกระทรวงมหาดไทย (มท.) สรุปได้ ดังนี้
หน่วยงาน |
ความเสียหายทั้งสิ้น |
หน่วยนับ |
แหล่งเงิน |
|
กรอบวงเงิน งบกลางฯ ในครั้งนี้ |
ใช้งบประมาณ ปี พ.ศ. 2564 / เงินเหลือจ่าย งบประมาณ ปี พ.ศ. 2564* |
|||
ทล. |
544.69 |
ล้านบาท |
539.50 |
5.19 |
35 |
รายการ |
29 |
6 |
|
ทช. |
187.25 |
ล้านบาท |
186.75 |
0.50 |
23 |
รายการ |
14 |
9 |
|
รวมทั้งสิ้น |
731.94 |
ล้านบาท |
726.25 |
5.69 |
58 |
รายการ |
43 |
15 |
หมายเหตุ : * โครงการอยู่ในพื้นที่และนอกพื้นที่ประกาศภัยพิบัติของ มท. ซึ่งสามารถใช้งบประมาณปี พ.ศ. 2564 (ค่าซ่อมฉุกเฉินจากเหตุภัยพิบัติ)/ปรับแผนการปฏิบัติงานฯ ปี 2564 มาดำเนินการต่อไป
2.1 งานบูรณะทางหลวงแผ่นดินและโครงสร้างพื้นฐานของ ทล. ภายใต้งบกลางฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา มีขอบเขตงานซ่อมแซม/บูรณะ อาทิ งานแก้ไขและป้องกันดินสไลด์ งานฟื้นฟู และเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำ รวม 29 รายการ วงเงิน 539.50 ล้านบาท
2.2 งานบูรณะทางหลวงชนบทและโครงสร้างพื้นฐานของ ทช. ภายใต้งบกลางฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนราธิวาสและปัตตานี มีขอบเขตงานซ่อมแซม/บูรณะ อาทิ งานซ่อมแซมถนนและคอสะพานขาด งานก่อสร้างโครงสร้างระบายน้ำ งานป้องกันการกัดเซาะ รวม 14 รายการ วงเงิน 186.75 ล้านบาท
2.3 ทั้งนี้ ทล. และ ทช. แจ้งว่ามีความพร้อมในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หากได้รับการจัดสรรงบประมาณ จะเร่งดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
3. คค. ได้มีหนังสือถึงสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อขอรับการจัดสรรงบกลางฯ โดย สงป. ได้นำเรื่องดังกล่าวกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ให้ คค. ดำเนินการซ่อมแซม/บูรณะทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ 4 จังหวัด โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลางฯ ตามรายการและกรอบวงเงินตามข้อ 2 และเนื่องจากวงเงินที่เสนอขออนุมัติเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท สงป. จึงขอให้ คค. ดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามนัยข้อ 9 (3) ของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562
9. เรื่อง โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมหาวิทยาลัยมหิดลดำเนินการโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี ภายในกรอบวงเงิน 11,629.65 ล้านบาท เป็นเงินงบประมาณ จำนวน 7,764.00 ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 3,865.65 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี โดยให้มหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความพร้อมและความสามารถในการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนการย้ายโรงงานพระราม 6 ขององค์การเภสัชกรรม เพื่อใช้พื้นที่ว่างดังกล่าวในการเตรียมการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี สำหรับชั้นความสูงของอาคารให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ อว. ดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ก่อนดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้เสนอโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี โดยเป็นการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีอาคารใหม่เพื่อทดแทนอาคารเดิมที่ใช้งานมากว่า 50 ปี มีสภาพแออัดคับแคบ โครงสร้างของอาคารและระบบสาธารณูปโภคเสื่อมสภาพอย่างชัดเจน โครงสร้างอาคารบางส่วนไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ และส่งผลกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์ของหน่วยงานและประชาชนผู้ใช้บริการ โดยใช้พื้นที่บางส่วนที่ได้ว่างลงขององค์การเภสัชกรรม จำนวน 16 ไร่ 3 งาน 30 ตารางวา (บริเวณตรงข้ามคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี) ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือย่านนวัตกรรมโยธี ที่มีแผนจะจะสร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตยาที่สาขาธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ร่วมกับแผนยุทธศาสตร์การเตรียมย้ายโรงงานพระราม 6 ออก (Exit strategy) ซึ่งสภามหาวิทยาลัยมหิดล ในการประชุมครั้งที่ 563 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 มีมติอนุมัติโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว ประกอบกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตด้วยแล้ว
โครงการฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
วัตถุประสงค์ |
1) เสริมสร้างเครือข่ายและขับเคลื่อนความร่วมมือของย่านนวัตกรมโยธี (Yothi Medical Innovation District: YMID) เพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เกิดคุณูปการแก่ส่วนร่วมและประเทศชาติ และเชื่อมโยงสถาบันทางการแพทย์ต่าง ๆ ให้เกิดเป็นเครือข่ายที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถสร้างนวัตกรรมด้านการรักษาพยาบาลและพัฒนาเป็นเครือข่ายในการพัฒนาวิทยาการและนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศและภูมิภาคได้อย่างแท้จริง 2) เพื่อใช้ดำเนินพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ทดแทนอาคารหลักที่ใช้ในการบริการสุขภาพประชาชนทั่วไปให้เข้าถึงการบริการสุขภาพรักษาโรคซับซ้อนระดับตติยภูมิ รวมไปถึงการเรียนการสอนผลิตบัณฑิตแพทย์ พยาบาล การฝึกอบรมบุคลากรทางสาธารณสุขและด้านการสร้างงานวิจัยเพื่อประโยชน์แก่สังคม |
ที่ตั้งและรูปแบบโครงการ |
1) อาคารโรงพยาบาลมีความสูง 28 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น พื้นที่ 191,000 ตารางเมตร โดยมีการใช้งานพื้นที่ ดังนี้ 1.1) พื้นที่การให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนทั่วไป ได้แก่ พื้นที่สำหรับหน่วยเวชระเบียน ประชาสัมพันธ์ แผนกพยาธิวิทยา แผนกรังสีวิทยา นิติเวชวิทยา แผนกผ่าตัด หน่วยตรวจผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วยในสามัญ หอผู้ป่วยพิเศษ และหอผู้ป่วยวิกฤต รวมมีขนาดประมาณ 800 เตียง 1.2) พื้นที่ย่านนวัตกรรมโยธี เป็นพื้นที่ที่เปิดให้เครือข่ายความร่วมมือมาใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1.2.1) ศูนย์พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ (MIND CENTER: Medical Innovations Development Center) อันเป็นความร่วมมือกันระหว่าง คณะภายในมหาวิทยาลัยมหิดล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี 1.2.2) Co Working space เป็นพื้นที่ในการทำงานร่วมกันกับเครือข่ายความร่วมมือในลักษณะยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบตามความเหมาะสมของการใช้งาน สามารถใช้ในการดำเนินโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างเครือข่าย YMID 1.2.4) สำนักงานบริหารจัดการ (Administrative office) เป็นพื้นที่เพื่อบริหารจัดการใช้ประโยชน์และอำนวยความสะดวกแก่เครือข่าย YMID หรือคู่ความร่วมมือจากภายนอก 2) อาคารสาธารณูปโภคสูง 4 ชั้น พื้นที่ 8,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่สนับสนุนการให้บริการสุขภาพ ได้แก่ ฝ่ายสารสนเทศ ฝ่ายโภชนาการ หน่วยปลอดเชื้อ และงานผ้า 3) อาคารจอดรถสูง 10 ชั้น พื้นที่ 40,000 ตารางเมตร จอดรถได้ประมาณ 1,200 คัน 4) อาคารสำนักงานสูง 10 ชั้น (อาคาร Buffer) พื้นที่ 36,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับพื้นที่ใช้สอยเดิมขององค์การเภสัชกรรม ได้แก่ สำนักงาน สหกรณ์ออมทรัพย์ พื้นที่สวัสดิการต่าง ๆ และอื่น ๆ ก่อนย้ายออกไปใช้พื้นที่ใหม่ที่จังหวัดปทุมธานีในปี 2573 |
ระยะเวลา ดำเนินโครงการ |
6 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2570 |
ผลที่คาดว่า จะได้รับจากโครงการ |
1) ส่งเสริมนวัตกรรมด้านการแพทย์ ชีวการแพทย์ (Biomedical Platform) และการดูแลสุขภาพพร้อมสร้างเครือข่ายการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยใช้พื้นที่ร่วมกันในย่านนวัตกรรมโยธีให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพที่สามารถนำไปต่อยอดและเป็นประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพของประเทศ 2) ผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความรู้และเชี่ยวชาญระดับสูงให้มีศักยภาพสูงในการดูแลสุขภาพของประชากรไทยและสามารถแข่งขันกับนานาชาติรวมทั้งเป็นส่วนที่สำคัญของนโยบาย Medical Hub ของรัฐบาล 3) ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการสาธารณสุขระดับตติยภูมิที่มีโรคซับซ้อนมากมีโอกาสเข้ารับการรักษาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 4) โรงพยาบาลสามารถให้บริการผู้ป่วยนอกได้ จำนวน 2,500,000 รายต่อปี ผู้ป่วยใน จำนวน 55,000 รายต่อปี และผลิตนักศึกษา จำนวน 950 คนต่อปี |
10. เรื่อง ขออนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 [ค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อทีอียู] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติ (30 ตุลาคม 2561) อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในรูปแบบ PPP Net Cost ตามมติ กพอ. ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2561 โดยในส่วนของท่าเรือ F (ท่า F1 และ F2) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างในส่วนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และงานออกแบบ ก่อสร้าง ให้บริการ และบำรุงรักษาท่าเทียบเรือชายฝั่งและท่าเรือบริการ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยภาคเอกชนดำเนินการในงานส่วนของท่าเทียบเรือ (Superstructure) และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงระบบจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น โดยมีระยะเวลาร่วมลงทุน 35 ปี
2. กทท. กำหนดผลตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับจากเอกชน ดังนี้ (1) ค่าสัมปทานคงที่ คำนวณบนสมมติฐานมูลค่าเงินลงทุนของ กทท. ที่จัดสรรให้กับท่าเทียบเรือ F ซึ่งคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ประมาณ 32,225 ล้านบาท1 (อัตราคิดลดร้อยละ 4.2) รวมตลอดระยะเวลาการร่วมลงทุนกับเอกชน และ (2) ค่าสัมปทานผันแปรผลตอบแทนต่อปริมาณตู้สินค้าขั้นต่ำกำหนดไว้ที่ 100 บาทต่อทีอียู บนสมมติฐานมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ประมาณ 4,454 ล้านบาท (อัตราคิดลดร้อยละ 4.2)
_________________
1คำนวณโดยใช้มูลค่าการลงทุนของ กทท. ที่จัดสรรให้กับท่าเทียบเรือ F (15,954.83 ล้านบาท) รวมกับอัตรากำไรบนมูลค่าของการลงทุนของ กทท. ที่ร้อยละ 8 จำนวน 33 ปี (เนื่องจาก กทท. ได้อนุญาตให้ Grace Period ในช่วง 2 ปีแรก) และนำมาคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ด้วยอัตราคิดลดร้อยละ 4.2 (ต้นทุนเงินของ กทท.)
สาระสำคัญของเรื่อง
สกพอ. รายงานว่า
1. ผลการเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนครั้งที่ 1
มีเอกชนยื่นเอกสารข้อเสนอ 1 ราย แต่ขาดหลักประกันซอง คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (คณะกรรมการคัดเลือกฯ) จึงมีมติว่า ไม่ผ่านการประเมิน
2. ผลการเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนครั้งที่ 2
2.1 มีเอกชนยื่นเอกสารข้อเสนอ 2 ราย และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้พิจารณาประเมินข้อเสนอซองที่ 1 (ซองเอกสารหลักฐานการยื่นข้อเสนอ) และซองที่ 2 (ซองคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอ) โดยมีผู้ผ่านการประเมิน 1 ราย คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ต่อมาคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้มีมติให้กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ผ่านการประเมินข้อเสนอ ซองที่ 3 (ข้อเสนอทางเทคนิคและแผนการลงทุนในโครงการฯ)
2.2 การประเมินข้อเสนอซองที่ 4 (ข้อเสนอด้านผลประโยชน์ตอบแทน) เนื่องจากกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ได้เสนอให้ค่าสัมปทานคงที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่ 12,051 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อทีอียู ซึ่งค่าสัมปทานคงที่ตามข้อเสนอต่ำกว่าผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐคาดหมายตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 ตุลาคม 2561 คณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงได้เจรจาผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐจะได้รับกับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC จำนวน 6 ครั้ง สรุปได้ ดังนี้
2.2.1 ในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน 2563 จำนวน 4 ครั้ง โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เสนอผลตอบแทนค่าสัมปทานคงที่เพิ่มขึ้น เป็น 28,000 ล้านบาท ส่วนค่าสัมปทานผันแปรยังเสนอคงเดิม (100 บาทต่อทีอียู)
2.2.2 กพอ. ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 มีมติรับทราบผลการดำเนินงานของ กทท. และ สกพอ. และให้รับความเห็นของที่ประชุม เช่น (1) ให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ เร่งเจรจากับเอกชนในส่วนผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐจะได้รับให้ดีที่สุดต่อภาครัฐ (2) ให้ กทท. และ สกพอ. เร่งทำความเห็นต่อผลการเจรจาข้างต้น โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยรายละเอียดวิธีการหรือสมมติฐานทางการเงิน และปัจจัยเรื่องผลกระทบเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไปดำเนินการ และเร่งให้นำเสนอผลการเจรจาพร้อมความเห็นของ กทท. และ สกพอ. ต่อ กพอ. เพื่อพิจารณาต่อไป
2.2.3 คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้เจรจาเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ในเดือนมกราคม 2564 โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ได้ยื่นข้อเสนอและยืนยันว่าเป็นข้อเสนอสุดท้าย คือ ค่าสัมปทานคงที่ 29,050 ล้านบาท ส่วนค่าสัมปทานผันแปรยังเสนอคงเดิม (100 บาทต่อทีอียู)
2.2.4 กทท. และ สกพอ. ได้ดำเนินการตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง การประกาศเชิญชวนวิธีการประกาศเชิญชวน วิธีการคัดเลือกของคณะกรรมการคัดเลือก หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน รายละเอียดของเอกสารการคัดเลือกเอกชน และข้อกำหนดมาตรฐานของร่างสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 18 วรรคสอง โดยได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริงและจัดทำความเห็นต่อคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพิเศษภาคตะวันออกพิจารณากลั่นกรองในคราวประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งต่อมาเห็นชอบให้เสนอ กพอ. พิจารณา โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
ข้อเท็จจริง/ความเห็น |
1. เงื่อนไขในเอกสารการคัดเลือกเอกชน |
ได้ระบุไว้ว่า “ข้อเสนอสัมปทานคงที่ที่ต่ำกว่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ภาครัฐคาดหวังจะได้รับ ตามที่ระบุไว้ในหลักการโครงการฯ ซึ่งคณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติไว้จะไม่ถูกตัดสิทธิ์และไม่ถือว่าข้อเสนอนั้นไม่ผ่านการพิจารณา” |
2. ผลตอบแทนโครงการฯ เฉพาะส่วนของท่าเทียบเรือ F |
มีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ร้อยละ 11.01 และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อยู่ที่ 30,032 ล้านบาท และหากนำมูลค่าที่ดินของ กทท. มาคำนวณเป็นมูลค่าสุดท้าย (Terminal Value) จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ร้อยละ 11.54 และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อยู่ที่ 39,959 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ |
3. ความเสี่ยง ด้านผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของ กทท. |
เนื่องจากมูลค่าเงินลงทุนก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ต่ำกว่าวงเงินลงทุนที่ได้ประมาณการไว้ รวม 5,161.06 ล้านบาท ทำให้มูลค่า การลงทุนท่าเทียบเรือ F เหลือ 13,786.67 ล้านบาท (จาก 15,954.74 ล้านบาท) ส่งผลให้ต้นทุนของการลงทุนของ กทท. ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามหลักการการคำนวณ เป็น 27,845 ล้านบาท ดังนั้น ข้อเสนอค่าสัมปทานคงที่ของเอกชน จึงครอบคลุมความเสี่ยงด้านผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของ กทท. ได้ |
4. ผลกระทบ หากมีการคัดเลือกเอกชนใหม่ |
4.1 จะมีผลกระทบต่อการเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือ F โดยอาจล่าช้าประมาณ 2 ปี ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่ท่าเรือแหลมฉบังจะไม่สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าได้ รวมถึงข้อจำกัดในการรองรับเรือสินค้าขนาดใหญ่ของท่าเรือในปัจจุบัน และกรณีที่มีการถมทะเลแล้วเสร็จแต่ไม่มีการร่วมลงทุนสร้างท่าเทียบเรือได้ทันที จะทำให้ กทท. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงโครงสร้างในส่วนดังกล่าว 4.2 ภาครัฐมีความเสี่ยงที่จะไม่มีเอกชนยื่นข้อเสนอหรือเสนอผลตอบแทนต่ำกว่าเดิม เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 |
2.2.5 กพอ. ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ได้มีมติเห็นชอบผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับเป็นค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อทีอียู และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
11. เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 500,000,000.00 บาท (ห้าร้อยล้านบาทถ้วน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. พม. ได้ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในกิจการของ สธค. ประจำปีงบประมาณ 2564 จำนวน 500 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไว้ใช้เป็นเงินทุนในการหมุนเวียนและรองรับธุรกรรมการรับจำนำของประชาชนที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพื่อประกันการขาดสภาพคล่องทางการเงินที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจาก สธค. คาดการณ์ว่าในปีงบประมาณ 2564 จะมีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2563 จากการขยายสาขาในการให้บริการเพิ่มขึ้น ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแต่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น โรงรับจำนำของรัฐบาลจึงเป็นช่องทางหนึ่งในการเป็นแหล่งพึ่งพิงที่สำคัญสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถกู้ยืมจากสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้ ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานธนานุเคราะห์ ในการประชุมครั้งที่ 4 ปีงบประมาณ 2563 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 มีมติเห็นชอบแผนการกู้เงินดังกล่าวแล้ว
2. กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ) พิจารณาแล้วเห็นว่า สธค. มีผลประกอบการที่มีกำไรอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในเกณฑ์ดี และวงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2564 ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้ให้ความเห็นชอบให้ พม. กู้เงิน โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน
12. เรื่อง รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอและให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รายงานดังกล่าวประกอบด้วย 1) การรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการฯ 2) การรายงานประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของรัฐสภา 3) สาระสำคัญของแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) และ 4) การดำเนินการในระยะต่อไป สรุปได้ดังนี้
1. การรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ระหว่างเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2563
1.1 กิจกรรมที่สำคัญของแผนการปฏิรูปประเทศ
1.1.1 ด้านการเมือง มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 73 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตั้งและการเผยแพร่และการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งแก่ภาคส่วนต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งท้องถิ่น และการถ่ายโอนภารกิจและอำนาจจากส่วนกลางสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
1.1.2 ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 729 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การเพิ่มสมรรถนะของหน่วยงานภาครัฐในการตอบสนองต่อประชาชนในสถานการณ์หรือภาวะฉุกเฉิน โดยบูรณาการเลขหมายแจ้งเหตุฉุกเฉินให้เหลือเพียงหมายเลขเดียว การเชื่อมโยงฐานข้อมูลประชาชนกลางของกรมการปกครองสามารถให้บริการข้อมูลได้แล้ว 173 รายการจากประมาณ 60 หน่วยงาน และระบบการรับชำระเงินกลางของการบริการภาครัฐของกรมบัญชีกลาง
1.1.3 ด้านกฎหมาย มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 266 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดทำร่างกฎหมาย กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และการปรับปรุงคู่มือแบบการร่างกฎหมาย
1.1.4 ด้านกระบวนการยุติธรรม มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 604 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การดำเนินโครงการนำร่องจัดตั้งแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจภายในศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ทำให้คดีพาณิชย์ได้รับการพิจารณาด้วยความรวดเร็ว และจะช่วยส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันในระดับสากล
1.1.5 ด้านเศรษฐกิจ มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 1,399 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การยกระดับระบบประกันสังคมโดยการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ที่สามารถจูงใจแรงงานและสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีประกัน และการเพิ่มช่องทางในการจ่ายเงินสมทบกับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระอายุไม่เกิน 65 ปี สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้ ส่งผลให้ในเดือนธันวาคม 2563 ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และ 40 มีจำนวน 1,799,786 คน และ 3,508,970 คน ตามลำดับ
1.1.6 ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 738 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การดำเนินการกำหนดประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองทางทะเลเพื่อแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย IUU (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing หรือการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม) การกำหนดมาตรการในการทำประมงเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างประมงพาณิชย์กับประมงพื้นบ้าน โครงการ Clean Seas Campaign ภายใต้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
1.1.7 ด้านสาธารณสุข มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 232 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพ เช่น โควิด-19 (ศบค.) หรือไทยชนะ.com LINE @sabaideebot ของกระทรวงสาธารณสุข สำหรับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นผู้ติดเชื้อและ Application “หมอรู้จักคุณ” ของมหาวิทยาลัยนเรศวรซึ่งเป็นฐานข้อมูลของหน่วยบริการทุกระดับรองรับการแพทย์และการสาธารณสุขวิถีใหม่ในการดูแลผู้ป่วย โรคติดต่อไม่เรื้อรัง การฝากครรภ์ การส่งเสริมการป้องกันโรค การให้คำปรึกษาและการรักษาพยาบาลและฟื้นฟูสมรรถภาพตลอดช่วงชีวิต
1.1.8 ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 110 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์แนวทางการใช้คลื่นความถี่ร่วมกันบนโครงข่ายแห่งชาติ การยกร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... และโครงการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลระบบฐานข้อมูลข่าวกลาง
1.1.9 ด้านสังคม มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 648 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพจัดทำแผนพัฒนาในพื้นที่ตามนโยบาย one plan one policy ของกระทรวงมหาดไทยและ สศช. ได้พัฒนาร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติจัดทำระบบ TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) ที่เป็นระบบ Big Data ของภาครัฐที่เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายฐานข้อมูลผ่านเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักในการแก้ปัญหาความยากจนในระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่ จังหวัด ประเทศ
1.1.10 ด้านพลังงาน มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 110 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การดำเนินการเพื่อจัดตั้งศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ เพื่อรองรับการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการขับเคลื่อนแผนพลังงานของประเทศไทย และการประกาศกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563
1.1.11 ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 931 โครงการ/การดำเนินงานโดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การเร่งดำเนินการกำหนดให้มีการแสดงฐานะทางการเงินของเจ้าพนักงานของรัฐเปิดเผย ตรวจสอบได้ โดยยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อหัวหน้าส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ และมีการขับเคลื่อนการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 เพื่อกำหนดให้มีมาตรการและกลไกในฝ่ายบริหารเพื่อส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ
1.1.12 ด้านการศึกษา มีโครงการ/การดำเนินงานที่สอดคล้องในระบบ eMENSCR จำนวน 5,755 โครงการ/การดำเนินงาน โดยมีโครงการ/การดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การดำเนินการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาใน 8 จังหวัด และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอนในหลากหลายช่องทาง เช่น ทีวีดิจิทัล จานดาวเทียม และช่องทางใน Youtube และได้จัดทำแพลตฟอร์มด้านการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ (Digital Education Excellence Platform) หรือ “DEEP” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ออนไลน์ที่รวบรวมหลายหลักสูตร
1.2 สถานะกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 โดยจากกฎหมายภายใต้แผนฯ ที่มีข้อเสนอจัดทำ/ปรับปรุงกฎหมาย จำนวน 214 ฉบับ มีกฎหมายแล้วเสร็จ จำนวน 53 ฉบับ ทั้งนี้ สศช. เห็นสมควรเร่งรัดหน่วยงานผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำกฎหมายตามแผนการปฏิรูปประเทศเพื่อจัดทำและเสนอตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ด้าน |
ทั้งหมด |
แล้วเสร็จ |
อยู่ระหว่างดำเนินการ |
|
1 |
การเมือง |
1 |
- |
1 |
2 |
บริหารราชการแผ่นดิน |
5 |
3 |
2 |
3 |
กฎหมาย |
14 |
6 |
8 |
4 |
กระบวนการยุติธรรม |
40 |
5 |
35 |
5 |
เศรษฐกิจ |
33 |
8 |
25 |
6 |
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม |
35 |
13 |
22 |
7 |
สาธารณสุข |
14 |
1 |
13 |
8 |
สื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ |
7 |
2 |
5 |
9 |
สังคม |
19 |
5 |
14 |
10 |
พลังงาน |
16 |
3 |
13 |
11 |
การป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ |
21 |
3 |
18 |
12 |
การศึกษา |
7 |
4 |
3 |
13 |
กระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) |
2 |
- |
2 |
รวม |
214 |
53 |
161 |
2. การรายงานประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของรัฐสภา รัฐสภาได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะต่อการรายงานความคืบหน้าฯ (เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2563) โดยสามารถสรุปภาพรวมของประเด็นที่สำคัญ เช่น (1) การปรับปรุงรายงานความคืบหน้าฯ ให้สะท้อนความก้าวหน้าของการปฏิรูปประเทศที่เป็นรูปธรรม (2) การดำเนินงานตามแผนปฏิรูปแต่ละด้านมีความล่าช้า ยังไม่เห็นผลของความก้าวหน้าในการปฏิรูปประเทศและไม่มีการบูรณาการร่วมกัน (3) การรายงานในระยะต่อไป ควรรายงานในประเด็นที่วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรให้ความสำคัญเป็นพิเศษร่วมด้วย และ (4) ข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ โดย สศช. ได้รวบรวมข้อเสนอแนะและประมวลรายงานการดำเนินการประเด็นต่าง ๆ ในรายงานความคืบ หน้าฯ (เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2563) เรียบร้อยแล้ว เช่น ข้อเสนอแนะให้เร่งรัดส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียนภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง และประเด็นธรรมาภิบาลด้านพลังงาน โดยแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานได้กำหนดเป้าหมายในการสร้างมาตรฐานความโปร่งใส ลดการขัดแย้งในหน้าที่หรือผลประโยชน์จากการดำรงตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจมีความเป็นธรรมและสร้างการยอมรับของภาคประชาชน ทั้งนี้ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาคนโยบายในการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายต่อไป
3. สาระสำคัญของแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ทั้ง 13 ด้าน และการขับเคลื่อนสู่การบรรลุผลตามเป้าหมายอันพึงประสงค์ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ประกอบด้วย กิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) รวมทั้งสิ้น 62 กิจกรรม และข้อเสนอกฎหมายที่ควรปรับปรุงหรือจัดทำใหม่ จำนวน 45 ฉบับ และแนวทางการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ตามที่ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ โดยสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบแล้วเมื่อวันที่ 4 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 และวุฒิสภาได้รับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งได้ประกาศราชกิจจานุเบกษาด้วยแล้วเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ สศช. ได้สรุปสาระสำคัญของแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) โดยแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายอันพึงประสงค์และผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงรายงานสถานการณ์ปัจจุบันของเป้าหมายที่กำหนดไว้ และนำเสนอเครื่องมือในการขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ไปสู่การปฏิบัติ โดยได้กำหนดให้แผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock เป็นเครื่องมือในการถ่ายระดับการดำเนินงานตามขั้นตอนและวิธีการของกิจกรรม Big Rock สู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยมีหลักการสำคัญคือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าใจ เป้าหมาย ผลลัพธ์ และการดำเนินการ โดยแผนขับเคลื่อนฯ ได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของแต่ละช่วงเวลาที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ หน่วยงานร่วมดำเนินการที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock รวมถึงโครงการ/การดำเนินงานที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศสู่การบรรลุเป้าหมายตามผลอันพึงประสงค์ในเบื้องต้น สำหรับใช้เป็นข้อมูลประกอบการ ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ต่อไป
4. การดำเนินการในระยะต่อไป
4.1 สศช. จะรายงานรายละเอียดของแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ทั้ง 62 กิจกรรม ต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการติดตาม เสนอแนะและเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และในระยะต่อไป สศช. จะมุ่งเน้นติดตามและรายงานเฉพาะกิจกรรม Big Rock ตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) โดยแสดงผลการดำเนินการเปรียบเทียบกับเป้าหมายความสำเร็จของแต่ละช่วงเวลาตามเป้าหมายย่อยของแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ที่ได้กำหนดไว้ นอกจากนี้ จะได้มีการสรุปประมวลผลความคืบหน้าในการดำเนินการตามเรื่องและประเด็นปฏิรูปอื่นที่รัฐสภาให้ความสำคัญและจำเป็นต้องมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยจะได้นำเสนอรายงานในลำดับต่อไป
4.2 สศช. จะพัฒนาระบบ eMENSCR โดยเพิ่มเติมในส่วนการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการตามกิจกรรม Big Rock สำหรับการกำกับ ติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าของกิจกรรม Big Rock ตามเป้าหมายย่อยของแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock ซึ่งจะได้นำข้อมูลรายละเอียดของแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock เข้าสู่ระบบ eMENSCR เพื่อใช้ในการติดตามการดำเนินการและใช้สำหรับการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศด้วย ทั้งนี้ การรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานยังคงเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2562
13. เรื่อง แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) เสนอแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการในลักษณะพื้นที่เป็นตัวตั้งควบคู่กับการดำเนินการตามมาตรการและแนวทางการดำเนินการเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง ให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเคร่งครัด ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกและความตระหนักด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนและประชาชน ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 เห็นชอบแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
ประเด็น |
การดำเนินการ |
1. ชื่อในการรณรงค์ |
“สงกรานต์สุขใจ ขับขี่ปลอดภัย ห่างไกลโควิด” |
2. เป้าหมาย การดำเนินการ |
เพื่อให้ประชาชนเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างมีความสุขและปลอดภัย |
3. ตัวชี้วัด ผลการดำเนินงาน |
เช่น จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์เฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลัง (2) จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีในพฤติกรรมเสี่ยงหลัก (ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดื่มแล้วขับ ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย) เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง |
4. แนวทางการดำเนินการ |
- ช่วงรณรงค์และประชาสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม - 2 เมษายน 2564 - ช่วงดำเนินการ ได้แก่ (1) ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 3 - 9 เมษายน 2564 (2) ช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 (3) ช่วงหลังควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 17 - 23 เมษายน 2564 |
5. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 5 ด้าน |
|
5.1 ด้านการบริหารจัดการ |
เช่น (1) จัดตั้งศูนย์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ระดับส่วนกลาง จังหวัด กรุงเทพมหานคร อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่ออำนวยการ ควบคุม กำกับ ดูแล และติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการช่วงเทศกาลสงกรานต์ (2) จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อบูรณาการการดำเนินงานทุกภาคส่วนและกำหนดแนวทาง มาตรการ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ควบคู่กับการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (3) จัดทำ “ประชาคมชุมชน/หมู่บ้าน” ให้กำหนดข้อปฏิบัติด้านความปลอดภัยทางถนนให้ประชาชนถือปฏิบัติเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง และพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของเยาวชนในพื้นที่ (4) จัดตั้ง “ด่านชุมชน” เพื่อสกัด ป้องปราม และตักเตือนกลุ่มเสี่ยงและบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน และ (5) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวอย่างระมัดระวัง และเคารพกฎจราจร รวมทั้งแนะนำการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 |
5.2 ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม |
- ด้านถนน เช่น (1) สำรวจและตรวจสอบลักษณะกายภาพของถนน จุดเสี่ยง จุดอันตราย จุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และจุดที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ รวมทั้งดำเนินการปรับปรุงและแก้ไขให้มีความปลอดภัย และ (2) ขอความร่วมมือผู้รับจ้างก่อสร้าง/ซ่อมแซมถนนให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนเทศกาลสงกรานต์ หรือกรณีที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จให้หยุดดำเนินการก่อสร้างและคืนพื้นผิวจราจร - ด้านสภาพแวดล้อม ตรวจสอบสิ่งอันตรายข้างทางและปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ - จุดตัดทางรถไฟ กำหนดมาตรการแนวทางการแก้ไขปัญหาบริเวณจุดตัดทางรถไฟให้มีความปลอดภัยในการสัญจร |
5.3 ด้านลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ |
เช่น (1) กำกับ ควบคุม ดูแลรถโดยสารสาธารณะ รถโดยสารไม่ประจำทาง พนักงานขับรถโดยสาร และพนักงานประจำรถให้ถือปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย อย่างเคร่งครัด (2) ขอความร่วมมือกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกหยุดประกอบกิจการหรือหลีกเลี่ยงการใช้รถบรรทุกในการประกอบกิจการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (3) เข้มงวดกับรถตู้ส่วนบุคคลหรือรถเช่าของผู้ประกอบการธุรกิจให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย และ (4) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ขับขี่ตรวจสอบสภาพรถยนต์ก่อนออกเดินทาง การบรรทุกของหรือผู้โดยสารในกระบะท้ายในลักษณะที่อาจเกิดอันตราย และการเปิดไฟหน้ารถทุกชนิดในระหว่างสัญจร |
5.4 ด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย |
- การบังคับใช้กฎหมาย เช่น (1) บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ในกรณีขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดื่มแล้วขับ การเสพยาเสพติดหรือของมึนเมาอย่างอื่น ขับรถย้อนศร รถจักรยานยนต์ ไม่ปลอดภัย ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และไม่สวมหมวกนิรภัย (2) ดำเนินการตามมาตรการ “ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์” อย่างเข้มข้นภายใต้มาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้มีผู้บาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต ให้นำแนวทางเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 มาดำเนินการด้วย - การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เช่น จัดทำแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่แนวทางความรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนในชุมชน/หมู่บ้าน โดยให้ผู้นำชุมชนนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านหอประจายข่าว เสียงตามสายและวิทยุชุมชน |
5.5 ด้านการช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ |
เช่น (1) จัดเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล และหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ระบบการติดต่อสื่อสาร การสั่งการ การประสานงาน และการแบ่งมอบพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเครือข่ายและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน และ (2) จัดเตรียมความพร้อมของหน่วยกู้ชีพและกู้ภัย |
14. เรื่องกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) (แผนพัฒนาฯ) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 การวางกรอบทิศทางการพัฒนาประเทศไทย (ไทย) ในระยะของแผนพัฒนาฯ มีจุดประสงค์ที่จะพลิกโฉมประเทศให้เท่าทันและสอดคล้องกับพลวัตและบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อนำไทยไปสู่ประเทศที่มี “เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” โดยมีองค์ประกอบที่ต้องดำเนินการ 4 ด้าน สรุปได้ ดังนี้
องค์ประกอบ |
หมุดหมาย |
เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนา ต่อยอด และใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการปรับทิศทางของภาคการผลิตเดิมที่มีความสำคัญและส่งเสริมภาคการผลิตที่ไทยมีศักยภาพสอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก |
1. ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง 2. ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความยั่งยืน 3. ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน 4. ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง 5. ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและจุดยุทธศาสตร์ทาง โลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค 6. ไทยเป็นฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและบริการดิจิทัลของอาเซียน |
สังคมแห่งโอกาสและความเสมอภาค เพื่อให้ทุกกลุ่มคนในประเทศมีโอกาสเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเต็มศักยภาพ และประเทศมีความเหลื่อมล้ำลดลงในทุกมิติ |
7. ไทยมีผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ 8. ไทยมีพื้นที่และเมืองหลักของภูมิภาคที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ ทันสมัย และน่าอยู่ 9. ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลงและคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอ เหมาะสม |
วิถีชีวิตที่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมรูปแบบการดำเนินชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เอื้อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อมุ่งจัดการกับปัญหาที่เป็นภัยคุกคามสำคัญทั้งในไทยและในระดับโลก เช่น มลพิษทางอากาศ และก๊าซเรือนกระจก |
10. ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ 11. ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ |
ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ เพื่อพัฒนาปัจจัยสนับสนุนที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การเป็น “เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน” |
12. ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตอบโจทย์การพัฒนาแห่งอนาคต 13. ไทยมีภาครัฐที่มีสมรรถนะสูง |
2. การระดมความเห็นต่อกรอบแผนพัฒนาฯ สศช. อยู่ระหว่างจัดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วนในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564 ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ (1) การประชุมระดมความเห็นระดับกลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด (2) การประชุมระดมความเห็นกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ กลุ่มภาคเอกชน และกลุ่มเยาวชน และ (3) การระดมความเห็นผ่านสื่อออนไลน์และสื่อสาธารณะ
3. การดำเนินงานในระยะต่อไป สศช. จะนำกรอบแผนพัฒนาฯ ที่ผ่านการระดมความคิดเห็นไปดำเนินการยกร่างแผนพัฒนาฯ ตามกระบวนการที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ให้แล้วเสร็จตามขั้นตอนต่อไป
15. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 1/2564 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมกราคม 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 1/2564 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนมกราคม 2564 ดังนี้
สาระสำคัญ
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4/2563 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 0.9 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 3/2563 ที่หดตัวร้อยละ 8.1 อุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัวในไตรมาสที่ 4/2563 อาทิ การผลิตน้ำตาล ภาวะการผลิตลดลง เนื่องจากปีนี้เปิดหีบช้ากว่าปีก่อน เนื่องจากชาวไร่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณอ้อยเข้าหีบน้อยกว่าปีก่อน การผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย การผลิตลดลงเกือบทุกรายการสินค้า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ผู้บริโภคลดการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มเสื้อผ้า การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ ที่มิใช่ยางล้อ ภาวะการผลิตลดลงจากสินค้ายางแท่ง เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาน้อย รวมถึงมีการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2563 ทำให้วัตถุดิบ (น้ำยาง) ออกสู่ตลาดลดลง สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวดีในไตรมาสที่ 4/2563 อาทิ การผลิตรถยนต์ การผลิตเพิ่มขึ้นทุกรายการสินค้า เนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดหลายรุ่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในตลาดโลกเพื่อนำไปใช้ร่วมกับกลุ่มสินค้าขั้นปลาย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2564 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 2.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศ
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนมกราคม 2564 หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ
1. การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม หดตัวร้อยละ 11.92 จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่ส่งผลให้การเดินทางลดลงทั้งการเดินทางในประเทศและการเดินทางระหว่างประเทศ
2. น้ำตาล หดตัวร้อยละ 13.18 เนื่องจากปีนี้เปิดหีบช้าและด้วยสภาพอากาศแห้งแล้งไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกส่งผลให้ปริมาณอ้อยเข้าหีบมีน้อยกว่าปีก่อน
3. รถยนต์ และเครื่องยนต์ หดตัวร้อยละ 3.9 จากความกังวลของผู้บริโภคที่มีต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ในประเทศ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
อุตสาหกรรมสำคัญที่ยังขยายตัวในเดือนมกราคม 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
1. เม็ดพลาสติก เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.86 จากการหยุดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตบางรายในปีก่อน และความต้องการใช้ในกลุ่มสินค้าต่อเนื่อง เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า บรรจุภัณฑ์ ถุงอาหาร ขวด และเครื่องใช้ในครัวเรือน
2. เหล็กและเหล็กกล้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.44 ตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์อาหาร อีกปัจจัยหนึ่งมาจากราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากประเทศจีนนำเข้าสินค้าเหล็กเพิ่มสูงขึ้นมากจนเกิดภาวะขาดแคลนสินค้า ส่งผลให้ราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้น ผู้ผลิตจึงเร่งผลิตเพื่อขายทำกำไรในช่วงนี้
แนวโน้มอุตสาหกรรมสาขาสำคัญ ไตรมาสที่ 1/2564
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะมีดัชนีผลผลิตและมูลค่าการส่งออกขยายตัวร้อยละ 3.2 และ 4.7 ตามลำดับ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ Work from Home และการเรียนออนไลน์ของนักเรียนนักศึกษา ทำให้มีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นที่ต้องการในการพัฒนาระบบเทคโนโลยี 5G และผลิตภัณฑ์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทาง IT
อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ คาดว่าผลิตภัณฑ์กระดาษ (กระดาษแข็ง กระดาษลูกฟูก และกระดาษคราฟต์) ที่ใช้ผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวในกลุ่มอาหาร ขณะเดียวกันบรรจุภัณฑ์กระดาษในยุค New Normal จะขยายตัวค่อนข้างมากแบบก้าวกระโดดและยังได้อานิสงส์ตามการใช้งานสำหรับส่งสินค้าทางออนไลน์ ในขณะที่การส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่องในกลุ่มเยื่อกระดาษ สำหรับกลุ่มหนังสือและสิ่งพิมพ์จะยังคงหดตัวต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมยา คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.0 ตามแนวโน้มการขยายตัวที่ดีของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้ดีในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะ เมียนมา เวียดนาม และกัมพูชา
อุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าดัชนีผลผลิตในภาพรวมน่าจะขยายตัว เนื่องจากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่ใช้แปรรูปในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น มันสำปะหลัง สับปะรด เพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐ สำหรับมูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน โดยสินค้าอาหารที่ได้อานิสงส์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เช่น อาหารสำเร็จรูป (ทูน่ากระป๋อง ผักและผลไม้กระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) สิ่งปรุงรส และอาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป
16. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศมาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับสภาพปัญหาและแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ดังนี้ 1) รัฐบาลควรมีการเร่งรัดให้มีการตรา “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ….” โดยเร็ว 2) ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) ควรมีการพิจารณาบูรณาการร่างพระราชบัญญัติที่จะเกิดขึ้นใหม่ 3) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ควรปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวกะเหรี่ยง และชะลอการดำเนินคดีกับประชาชน 4) กองทัพบกควรติดตามช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่องต่อบุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ทั้งกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) และกลุ่มกองร้อยชาวเขาอาสาสมัคร และ 5) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ต้องเร่งรัดกระบวนการทางสัญชาติไทยให้รวดเร็วและทั่วถึง ในกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้เข้าถึงสิทธิการศึกษา สิทธิรักษาพยาบาล สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิผู้พิการ ตลอดจนการออกเอกสารรับรองตัวบุคคลให้กับกลุ่มชาติพันธุ์
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ วธ. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ทส. มท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานพร้อมข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
วธ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานตามข้อ 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ดังนี้
ข้อสังเกต |
ผลการพิจารณาศึกษา |
1. รัฐบาลควรมีการเร่งรัดให้มีการตรา “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ....” โดยเร็ว |
วธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ….” เสร็จแล้วและจะมีการจัดประชุมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการพิจารณาเนื้อความในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จากนั้นจะมีการจัดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤษภาคม 2564 |
2. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ควรมีการพิจารณาบูรณาการร่างพระราชบัญญัติที่จะเกิดขึ้นใหม่ |
คณะทำงานจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ได้ยกร่างพระราชบัญญัติโดยบูรณาการเข้ากับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 และวันที่ 3 สิงหาคม 2553 และร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยเสร็จแล้ว และปรับชื่อร่างพระราชบัญญัติเป็น “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. ….” |
3. ทส. โดย กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ควรปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง และชะลอการดำเนินคดีกับประชาชน |
- การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 และการชะลอการดำเนินคดีกับประชาชนอันเป็นผลจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้นใหม่ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อปี พ.ศ. 2562 จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ (1) พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ (2) พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เรื่องคดีความที่มีผลสืบเนื่องมาจากการบังคับใช้กฎหมายของกรมอุทยานแห่งชาติฯ อาจเป็นคดีความที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ - ความหลากหลายทางชีวภาพในพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ว่าด้วยเรื่องหมวดความหลากหลายทางชีวภาพได้มีการระบุว่าให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด ทั้งนี้ เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพได้อยู่ในกระบวนการดำเนินงานจัดทำ “ยกร่างกฎหมายว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ” กับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง - การสำรวจพื้นที่รัฐบาลได้มีกลไกให้ ทส. ดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นมติที่เห็นชอบตามนโยบายคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาที่ดินของประชาชนไทยในพื้นที่ป่าไม้ทั้งป่าสงวน ป่าอนุรักษ์ และป่าชายเลน |
4. กองทัพบกควรติดตามช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่องต่อบุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ทั้งกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยและกลุ่มกองร้อยชาวเขาอาสาสมัคร |
คำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นภารกิจของกองทัพบก โดยได้มีการช่วยเหลือเยียวยา กลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งในเรื่องของการพิจารณาการจัดสรรที่ดินทำกิน และการมีส่วนร่วมในเรื่องการจัดการปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่องต่อบุคคลที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าว |
5. มท. ต้องเร่งรัดกระบวนการทางสัญชาติไทยให้รวดเร็วและทั่วถึงในกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้เข้าถึงสิทธิทางการศึกษา สิทธิรักษาพยาบาล สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิผู้พิการ ตลอดจนการออกเอกสารรับรองตัวบุคคลให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ |
- มท. ได้มีแนวทางแก้ไขโดยให้มีการยื่นขอเรื่องสัญชาติผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และได้มีการสร้างความร่วมมือกับองค์กรภาคประชาชนต่างๆ และองค์กรทางการศึกษาเพื่อผลักดันเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ในส่วนของการดำเนินการเรื่องกฎหมาย และได้เปิดกว้างมาโดยตลอด โดยให้ความเห็นว่ากระบวนการให้สัญชาติของประเทศไทย ถือว่ารวดเร็วกว่าประเทศอื่นมาก - พม. มีภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรบนพื้นที่สูง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง จำนวน 10 เผ่า โดยได้มีการจัดทำเป็นทำเนียบชุมชนไว้แล้ว ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง 16 แห่ง โดยขับเคลื่อนผ่านกลไกศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนบนพื้นที่สูง (ศรส.) ในการสนับสนุนให้เกิดแหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับอัตลักษณ์ วิถีชีวิตชนเผ่า ประเพณี วัฒนธรรม และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพโดยศูนย์ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมชุมชนบนพื้นที่สูง (สสส.) ที่ส่งเสริมการรวมกลุ่มในลักษณะองค์กรชุมชนบนพื้นที่สูง บริหารจัดการโดยคณะกรรมการทำหน้าที่สำรวจข้อมูลผู้ประสบปัญหาทางสังคมและจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ราษฎรบนพื้นที่สูง รวมถึงการส่งเสริมรูปแบบการจัดสวัสดิการสังคมโดยชุมชน และมีการจัดทำแผนพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถพึ่งพาตนเองได้ |
17. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ครั้งที่ 3 และเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) รับประเด็นข้อหารือจากการประชุมดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการต่อไปตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติให้พิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประชุมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันร่วมกับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดสุพรรณบุรี คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดกาญจนบุรีและคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 โดยมีความก้าวหน้าการดำเนินงานรายจังหวัด สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
เรื่อง |
ความก้าวหน้าการดำเนินงานรายจังหวัด |
||
สุพรรณบุรี |
กาญจนบุรี |
นครปฐม |
|
1. การดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจำแนกตามกลุ่มสภาพปัญหา |
|||
กลุ่มผู้ได้รับ ผลกระทบ ด้านเศรษฐกิจ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ผู้ประกอบการ และผู้ว่างงาน) |
สนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ 8,325 ราย วงเงินอนุมัติ 5,850.50 ล้านบาท และจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบ 367 อัตรา |
- |
- จ้างงานผู้ได้รับ ผลกระทบ 416 คน - จัดโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพโดยหลักสูตรการอบรมต่าง ๆ 140 คน และจัดทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานและจัดอบรมหลักสูตรฝึกอาชีพแล้ว 10,469 คน - สนับสนุนสินเชื่อ/เติมทุน และพักชำระหนี้ให้ผู้ประกอบการ 156,279 ราย วงเงินอนุมัติ 6,990.62 ล้านบาท - ปรับบัญชีชนิดสัตว์ป่าของจระเข้เป็นบัญชี หมายเลข 2 และผลักดัน ให้นำเข้าที่ประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้า ระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ครั้งต่อไป (ประชุมทุก 3 ปี) - ส่งเสริมการค้าขายผลิตภัณฑ์ภาคการเกษตรผ่านช่องทางออนไลน์ - สนับสนุน/ขยายผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชนบ้านศาลาดิน และวิสาหกิจอื่น ๆ พร้อมทั้งติดตาม ตรวจสอบคุณภาพ |
2. กลุ่มโครงสร้างการพัฒนาจังหวัดด้านต่าง ๆ |
|||
2.1 ด้าน การเกษตรและการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ |
1) แผนงานระยะสั้น เช่น - นำร่องการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำบึงปลายน้ำ หมู่ที่ 4 ตำบลสระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี งบประมาณ 43.45 ล้านบาท พื้นที่รับประโยชน์ 1,350 ไร่ 625 ครัวเรือน ความจุ 2.15 ล้านลูกบาศก์เมตร 2) แผนงานระยะยาว เช่น - ดำเนินโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่าบริเวณเหนือเขื่อนกระเสียว 1,450 ไร่ และปลูกป่าในพื้นที่ทวงคืน 540 ไร่ และจัดกิจกรรมปลูกป่าจิตอาสาเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ในพื้นที่ทวงคืน บริเวณต้นน้ำริมเขื่อนกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี 20 ไร่ ต้นไม้ 4,000 ต้น |
- กรมทรัพยากรน้ำขอรับการสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการป้องกันการกัดเซาะตลิ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จะดำเนินการโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยเวียคะดี้ หมู่ที่ 5 ตำบลหนองลู อำเภอ สังขละบุรี งบประมาณ 47.50 ล้านบาท ประชาชนได้รับประโยชน์ 576 ครัวเรือน/2,878 ไร่ - กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้สำรวจแหล่งน้ำบาดาลในพื้นที่หาน้ำยาก ซึ่งพบแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 2 แหล่ง ได้แก่ แอ่งหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ และแอ่งห้วยกระเจา อำเภอห้วยกระเจา มีปริมาณน้ำบาดาลกักเก็บทั้ง 2 แห่ง รวมกันไม่น้อยกว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะพัฒนาต่อไป |
- ขุดเจาะแหล่งน้ำบาดาล ปี 2563 แล้วเสร็จ 24 แห่ง และจะเติมน้ำใต้ดินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อีก 10 แห่ง และเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณประจำปี 2565 เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาน้ำบาดาล เพื่อความมั่นคงของชุมชนในพื้นที่จังหวัดนครปฐม 5 แห่ง |
2.2 ปัญหา ด้านที่ดินทำกิน และด้านทรัพยากร ธรรมชาติ |
- ดำเนินการจัดสรรที่ดินทำให้กินชุมชนในพื้นที่เช่น (1) กรมป่าไม้ได้อนุญาตการจัดที่ดินทำกินแล้ว 988 – 3 – 61 ไร่ จากเป้าหมายทั้งหมด 48,889 -1 - 33 ไร่ และ (2) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชสำรวจการครอบครองที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์แล้วเสร็จ ในพื้นที่เป้าหมาย 4,678.33 ไร่ 17 หมู่บ้าน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลำดับรอง |
- เร่งรัดพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของรัฐตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 ให้แล้วเสร็จ ผ่านกลไกการขับเคลื่อนของ คณะกรรมการแก้ไขปัญหา การบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยในปี 2564 สำนักงานที่ดินจังหวัดมีเป้าหมายการออกโฉนดที่ดินให้ได้ อย่างน้อย 2,000 แปลง ในพื้นที่อำเภอเมือง ท่าม่วง และพนมทวน - ดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ เช่น กรมป่าไม้ได้อนุญาตการจัดที่ดินทำกินแล้ว 8,030 – 0 – 3 ไร่ จากเป้าหมายทั้งหมด 62,754 - 3 - 89 ไร่ - คณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4,000 และแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ทับซ้อนของจังหวัด |
|
2.3 ปัญหา ด้านสิ่งแวดล้อม - ปัญหาขยะมูลฝอย - การจัดระเบียบแพ - ปัญหาจากไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 - การป้องกันการเผาอ้อย |
- เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี ขอรับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อก่อสร้างศูนย์จัดการขยะมูลฝอยติดเชื้อและโรงงานคัดแยกขยะมูลฝอยทั่วไปเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ |
- จัดทำมาตรการจัดระเบียบแพ 3 ประเภท ได้แก่ (1) แพท่องเที่ยว (2) แพที่พักอาศัย และ (3) การจอดแพบริเวณเขื่อนขุนแผน (บริเวณหน้าเมือง) - วางแผนแนวทางการฝึกซ้อมแผนการดับไฟป่าและหมอกควัน และดำเนินโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา” ตามโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า เมื่อวันที่ 18 - 22 มกราคม 2564 - ลดการเกิดมลพิษจากการทำไร่อ้อย โดยกำหนดมาตรการให้โรงงานน้ำตาล รับซื้ออ้อยไฟไหม้จากชาวไร่อ้อยทั้งฤดูกาลผลิตไม่เกินร้อยละ 20 |
- ปรับปรุงข้อมูลโครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอย ของเทศบาลนครนครปฐม และเทศบาลตำบลห้วยพลูในการประเมินขยะตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลตำบลห้วยพลู เพื่อปรับปรุงสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยให้ถูกต้อง - ดำเนินการตรวจวัดคุณภาพน้ำคลอง เช่นคลองเจดีย์บูชา รวมทั้ง ส่งเสริมให้มีการติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียขนาดเล็กจากแหล่งกำเนิด - จัดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมและติดตามสถานการณ์ PM2.5 |
นอกจากนี้ ได้มีประเด็นมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
มอบหมาย หน่วยงาน |
ประเด็นมอบหมาย |
ทุกหน่วยงาน |
สืบเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด - 19 ระลอกใหม่ จังหวัดหรือคณะกรรมการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัดควรดำเนินการสำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดดังกล่าว และความต้องการที่จะให้รัฐบาลช่วยเหลือ เช่น การจ้างงาน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การผ่อนปรนด้านการชำระหนี้ และอื่น ๆ รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์ รณรงค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Normal) ให้แก่นักท่องเที่ยว |
กษ. |
- ให้กรมประมงพิจารณาเร่งรัดการจัดทำเอกสารชี้แจงเพื่อปรับบัญชีชนิดสัตว์ป่าของจระเข้ จากบัญชีหมายเลข 1 เป็นบัญชีหมายเลข 2 ตามคำร้องขอของจังหวัดนครปฐม ทั้งนี้ ทส. โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะได้ผลักดันให้มีการนำเข้าที่ประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ครั้งต่อไป - ให้กรมชลประทานบูรณาการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชน ทั้งนี้ ทส. โดยกรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการ - ให้กรมปศุสัตว์ติดตามตรวจสอบการเลี้ยงและดูแลช้างในปางช้างให้มีความเป็นอยู่ในสภาพที่เหมาะสม รวมทั้งควรมีการตรวจสุขภาพของช้าง โดยเฉพาะช้างที่ควาญช้างนำกลับบ้าน ทั้งนี้ ทส. โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินงาน |
มท. |
- ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนินการจัดเก็บผักตบชวาในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยควรมีการจัดกิจกรรม Big Cleaning Day บูรณาการทุกหน่วยงานร่วมกันกำจัดผักตบชวา ทั้งนี้ ทส. พร้อมสนับสนุนกำลังพลในการดำเนินงาน - ให้ อปท. ทำความเข้าใจกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาช้างป่า แม้ว่าปัจจุบัน ทส. ได้ดำเนินการจัดทำแหล่งอาหาร แหล่งน้ำให้กับช้างป่าเหล่านั้นเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม แต่การผลักดันช้างเข้าสู่ป่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และแต่ละจังหวัดอาจจะมีความแตกต่างกันไป - ให้ อปท. สำรวจฟาร์มสุกรในพื้นที่พร้อมทั้งให้คำแนะนำการจัดการระบบฟาร์มที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปล่อยน้ำเสีย หรือส่งกลิ่นเหม็นรบกวน ทั้งนี้ ทส. โดยกรมควบคุมมลพิษ พร้อมให้คำแนะนำทางวิชาการ |
อก. |
ให้จังหวัดประสานสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดติดตามตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ให้ดำเนินการตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องของระบบบำบัดน้ำเสีย การปล่อยฝุ่นละอองต่าง ๆ ออกสู่สิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน |
18. เรื่อง รายงานประจำปี 2563 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เสนอรายงานประจำปี 2563 ของ กสศ. ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 มาตรา 43 ที่บัญญัติให้กองทุนจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาเพื่อทราบภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานการสอบบัญชีจากผู้สอบบัญชี (กสศ. ได้รับรายงานเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564) และเปิดเผยให้ประชาชนทราบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของกองทุนด้วย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
ผลการดำเนินงานของ กสศ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีโครงการสำคัญสรุปได้ ดังนี้
โครงการ |
ผลการดำเนินงาน |
1. โครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา |
พัฒนาระบบการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาแบบบูรณาการในพื้นที่ 20 จังหวัดนำร่อง โดยสามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายจำนวน 26,055 คน |
2. โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (ทุนเสมอภาค) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 |
จัดสรรเงินช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รวม 994,428 คน และให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จำนวน 753,996 คน |
3. โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง |
ช่วยเหลือเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาและประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตนเอง ซึ่งมีนักศึกษาได้รับทุน 4,588 คน ใน 66 สถาบันการศึกษาสายอาชีพทั่วประเทศ |
4. โครงการทุนพัฒนาเต็มศักยภาพสายอาชีพ “ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ” |
สนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนที่มีผลการเรียนดี มีความสามารถพิเศษ และมีเจตคติที่ดีต่อสายอาชีพ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก 38 คน |
5. โครงการสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลเป็นครูรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนของชุมชน [ครูรัก (ษ์) ถิ่น] |
ผลิตและพัฒนาครูรุ่นใหม่บรรจุในพื้นที่ห่างไกลที่เป็นภูมิลำเนาของตนเอง รุ่นที่ 1 โดยมีเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ได้รับทุนการศึกษาเพื่อศึกษาต่อในคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ 328 คน ครอบคลุมพื้นที่ 45 จังหวัด |
6. โครงการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน |
ส่งเสริม สนับสนุน ประชากรวัยแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และผู้ด้อยโอกาสที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตน มีผู้เข้าร่วมโครงการ 9,056 คน ใน 51 จังหวัด |
7. โครงการสนับสนุนการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา |
พัฒนาครูให้สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับผู้เรียนที่เป็นเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา และให้ผู้เรียนมีทักษะในการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับความถนัด รวมถึงการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้ 35,140 คน |
8. โครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง |
สนับสนุนให้ 834 โรงเรียน ที่เข้าร่วมโครงการเกิดกระบวนการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ที่จะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยมีครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนา 19,660 คน และนักเรียนได้รับโอกาสพัฒนาศักยภาพ 194,600 คน |
9. โครงการวิจัยและนวัตกรรมด้านการศึกษา |
พัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง กสศ. โดยในปี 2563 มีการวิจัยนวัตกรรมด้านการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ 23 โครงการ |
19. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีสนามมวยนานาชาติรังสิตจัดให้มีการชกมวยในเด็ก โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีสนามมวยนานาชาติรังสิตจัดให้มีการชกมวยในเด็ก โดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. กสม. แจ้งว่า ได้ตรวจสอบกรณีสนามมวยนานาชาติรังสิตเปิดให้มีการลักลอบเล่นการพนันมวยตู้ โดยให้เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ชกมวย เพื่อเป็นข้ออ้างว่า สนามมวยยังมีการจัดการชกมวยอยู่ การนำเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี มาชกมวย เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งสนามมวยดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ควบคุมสนามมวย ซึ่ง กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และเห็นควรมีคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์เจ้าหน้าที่ดังกล่าวในความผิดฐานละทิ้งหน้าที่ราชการแล้ว กสม. จึงมีมติให้ยุติเรื่อง ส่วนประเด็นสนามมวยนานาชาติรังสิตจัดให้มีการชกมวยในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เห็นว่า สนามมวยนานาชาติรังสิตมีการจัดชกมวยเด็กดังกล่าวจริง ซึ่งตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามจัดการแข่งขันกีฬามวยโดยไม่ได้รับอนุญาต และในวรรคสองบัญญัติให้การอนุญาตตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยหลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้จัดการแข่งขันกีฬามวยสำหรับนักมวยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ จะกำหนดได้เฉพาะเมื่อมีอุปกรณ์ในการป้องกันความปลอดภัยในการแข่งขัน เมื่อยังไม่ปรากฏข้อความกำหนดหลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้จัดการแข่งขันกีฬามวยสำหรับนักมวยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ นายทะเบียนจึงไม่อาจอนุญาตให้จัดการแข่งขันกีฬามวยสำหรับนักมวยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ ดังนั้น การกระทำของสนามมวยนานาชาติรังสิต จึงเข้าเกณฑ์เป็นการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ชกมวย และเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสม. จึงมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งต่อคณะรัฐมนตรีว่า ควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 โดยเพิ่มหมวดการควบคุมการชกมวยเด็ก เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นหลักการสำคัญและรายละเอียดทางปฏิบัติให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะสำหรับการชกมวยเด็ก
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งมอบหมายให้ กก. เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กก. รายงานว่า ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กค. พม. มท. รง. สธ. สคก. สมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์แล้ว เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 โดยมีผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวในภาพรวม สรุปได้ ดังนี้
ข้อเสนอแนะ |
สรุปผลการพิจารณาในภาพรวม |
ให้ กก. ร่วมกับ สธ. รง. และ พม. ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 โดยเพิ่มหมวดการควบคุมการชกมวยเด็ก เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นหลักการสำคัญและรายละเอียดทางปฏิบัติให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะสำหรับการชกมวยในเด็ก |
1. ให้คณะกรรมการกีฬามวยแก้ไขระเบียบกติกาการแข่งขันกีฬามวยในเด็กอย่างเร่งด่วน โดยให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ความเห็นประกอบการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นหลักสำคัญและรายละเอียดทางปฏิบัติให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะสำหรับการชกมวยในเด็ก รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาและแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. 2542 แล้ว 2. ให้สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย กำหนดแนวทางหลักเกณฑ์การติดตามประเมินผลกีฬามวยทั้งระบบ เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และได้มีหนังสือแจ้งนายสนามมวย และผู้จัดรายการแข่งขันมวยให้ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกีฬามวย ว่าด้วยความปลอดภัยสำหรับนักมวย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และระเบียบคณะกรรมการกีฬามวย ว่าด้วยระเบียบกติกามาตรฐานสำหรับการแข่งขันกีฬามวย (ฉบับที่ 2) สำหรับนักมวยอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยเคร่งครัด รวมทั้งแจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัด (นายทะเบียนจังหวัด) ให้เข้มงวดตรวจสอบการแข่งขันกีฬามวยสำหรับนักมวยอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วยแล้ว 3. การแก้ไขพระราชบัญญัติกีฬามวย ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬามวยในเด็ก ให้นำข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาโดยให้สอดคล้องกับสภาวการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นกับวงการกีฬามวยปัจจุบัน |
20. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอว่า ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน 2563 ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบด้วยกับข้องสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคำนิยามของสินค้าและบริการควรต้องมีความชัดเจน และควรแยกกลุ่มของการจัดเก็บภาษี และเห็นควรที่กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรจะได้ออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อกำหนดกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน รวมถึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง
2. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอว่า ในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 8 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 ที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกต ดังนี้
2.1 การใช้คำว่า “ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร” และ “ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการจากต่างประเทศ” ตามร่างพระราชบัญญัตินั้น เนื่องจากตามประมวลรัษฎากรได้มีการนิยามคำว่า “ประเทศไทย” หรือ “ราชอาณาจักร” ไว้ว่า ให้หมายความรวมถึงเขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไปและตามความตกลงกับต่างประเทศด้วย แต่ไม่มีการนิยามคำว่า “ต่างประเทศ” ไว้ กรณีนี้จึงอาจทำให้เกิดปัญหาการตีความได้ว่าการให้บริการจากต่างประเทศนั้นหมายความรวมถึงการให้บริการนอกเขตไหล่ทวีปหรือไม่ เนื่องจากมีการใช้คำว่า “ต่างประเทศ” ในหลายบทบัญญัติมาตรา จึงเห็นควรให้ กค. พิจารณาปรับปรุงคำนิยามดังกล่าวให้ชัดเจนต่อไป
2.2 กค. โดยกรมสรรพากรควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เพื่อกำหนดกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจนและง่ายต่อการใช้งาน รวมทั้งต้องประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้แก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้รับทราบอย่างทั่วถึง
2.3 การจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุง เห็นควรเร่งรัดให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ กค. เป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสม และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
กค. รายงานว่า ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตฯ แล้ว สรุปได้ ดังนี้
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ของสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) |
รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตฯ |
1. แนวทางในการปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายจะต้องมีการออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อกำหนดกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน รวมถึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง |
- กค. ได้เตรียมการรองรับการบังคับใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 ดังนี้ 1. จัดทำกฎหมายลำดับรอง ได้แก่ (1) กฎกระทรวงจำนวน 2 ฉบับ ซึ่งออกตามความในมาตรา 3 และมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ. 2564 (2) ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายตาม (1) 2. จัดทำคู่มือเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติดังกล่าว |
2. คำนิยามของสินค้าและบริการควรต้องมีความชัดเจนและควรแยกกลุ่มของการจัดเก็บภาษี ซึ่งได้กำหนดคำนิยามเกี่ยวกับการบริการอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในร่างมาตรา 5 แล้ว เพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่สับสนในการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ และไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการใช้กับสินค้าและบริการทั่วไป |
- การแก้ไขนิยามคำว่า “สินค้า” และกำหนดนิยาม คำว่า “บริการทางอิเล็กทรอนิกส์” และ “อิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม” เพิ่มเติมตามร่างมาตรา 4 และร่างมาตรา 5 ทำให้เกิดความชัดเจนในการใช้กฎหมาย และลดปัญหาในการตีความของผู้เสียภาษีและเจ้าหน้าที่ |
3. ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเป็นการวางรากฐานการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการจากต่างประเทศและจะนำไปสู่แนวคิดในการจัดเก็บภาษีรายได้หรือยอดขายของผู้ประกอบการเหล่านี้ต่อไปในอนาคต รวมถึงจะเป็นการลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมกันในการเสียภาษีของผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศไทยและผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศ |
- กค. โดยกรมสรรพากรได้มีส่วนร่วมพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากรายได้ของผู้ประกอบการดิจิทัลในต่างประเทศ โดยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Inclusive Framework on BEPS ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากรายได้ของผู้ประกอบการดิจิทัลเพื่อนำไปใช้ในอนาคต รวมทั้งยังได้ติดตามแนวทางของประเทศอื่นอย่างต่อเนื่อง |
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ของวุฒิสภา (สว.) |
รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตฯ |
1. การใช้คำว่า “ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร” และ “ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการจากต่างประเทศ” ตามร่างพระราชบัญญัตินั้น เนื่องจากตามประมวลรัษฎากรได้มีการนิยามคำว่า “ประเทศไทย” หรือ “ราชอาณาจักร” ไว้ว่า ให้หมายความรวมถึงเขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไป และตามความตกลงกับต่างประเทศด้วย แต่ไม่มีการนิยามคำว่า “ต่างประเทศ” ไว้ กรณีนี้จึงอาจทำให้เกิดปัญหาการตีความได้ว่าการให้บริการจากต่างประเทศนั้นหมายความรวมถึงการให้บริการนอกเขตไหล่ทวีปหรือไม่ เนื่องจากมีการใช้ถ้อยคำว่า “ต่างประเทศ” ในหลายบทบัญญัติมาตรา จึงเห็นควรให้ กค. พิจารณาปรับปรุงคำนิยามดังกล่าวให้ชัดเจนต่อไป |
- มาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดนิยามคำว่า “ประเทศไทย” หรือ “ราชอาณาจักร” หมายความรวมถึงเขตไหล่ทวีปที่เป็นสิทธิของประเทศไทยตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไป และตามความตกลงกับต่างประเทศด้วย ดังนั้น คำว่า “ต่างประเทศ” ที่ปรากฏในบทบัญญัติแห่งมาตราต่าง ๆ ในประมวลรัษฎากร จึงมีความหมายที่ตรงข้ามกับคำว่า “ประเทศไทย” หรือ “ราชอาณาจักร” ทั้งนี้ อำนาจในการจัดเก็บภาษีของประเทศไทยในเรื่องของการให้บริการตามประมวลรัษฎากร ต้องเป็นบริการที่ทำในราชอาณาจักร โดยไม่คำนึงว่าการใช้บริการนั้นจะอยู่ในต่างประเทศหรือในราชอาณาจักร ซึ่งรวมถึงการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร โดยกรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติในประเด็นดังกล่าวไว้แล้ว - การปรับปรุงถ้อยคำว่า “ต่างประเทศ” ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ นั้น จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร และต้องดำเนินการศึกษาร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อความรอบคอบต่อไป |
2. กค. โดยกรมสรรพากรควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อกำหนดกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจนและง่ายต่อการใช้งาน รวมทั้งต้องประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้รับทราบอย่างทั่งถึง |
- กค. โดยกรมสรรพากรจะดำเนินการออกกฎกระทรวงและประกาศที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว รวมถึงจัดทำระบบเพื่อรองรับการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่สะดวกและง่ายต่อการใช้งานของผู้ประกอบการ และประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป |
3. การจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุง เห็นควรเร่งรัดให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ |
- กค. โดยกรมศุลกากรอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีดังกล่าว |
21. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามีมติให้รับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชน สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามีมติให้รับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) ได้เสนอรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณามีมติให้รับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชน สภาผู้แทนราษฎร มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญมีข้อสังเกตต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มีหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวข้องควรเปิดโอกาส และรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา คณะรัฐมนตรีควรเปิดพื้นที่ให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน เพื่อแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระสร้างสรรค์และอยู่ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ อว. ควรเปิดพื้นที่ให้นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เพื่อแสดงความคิดเห็นในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา สร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หน้าที่ความเป็นพลเมือง ตลอดทั้งคุณธรรมและจริยธรรม กำหนดมาตรการความปลอดภัยให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษาในการคัดกรองบุคคลภายนอกที่เข้า – ออก โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแทรกแซงจากบุคคลภายนอก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) ควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนการชุมนุมที่กฎหมายกำหนดและการบังคับใช้กับผู้ชุมนุม ต้องไม่ใช้ความรุนแรง และควรคำนึงถึงหลักรัฐศาสตร์มาประกอบการพิจารณากับหลักนิติศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ควรชี้แจงว่าปัจจุบันการชุมนุมในที่สาธารณะนั้นจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ อว. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ 1. ไปพิจารณาร่วมกับ ศธ. กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
อว. เสนอว่า ได้ร่วมพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ 2. แล้ว ซึ่งเห็นด้วยต่อรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าว โดยเห็นว่าการเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชนได้แสดงความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม ย่อมเป็นแนวทางหนึ่งในการรับทราบข้อมูลและความต้องการของประชาชน การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เป็นหน้าที่ของรัฐและสถานศึกษาที่ต้องดำเนินการ นอกจากนี้ การบังคับใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ควรเป็นไปภายใต้หลักการของรัฐธรรมนูญ การดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติของกฎหมายร่วมกับหลักนิติรัฐเพื่อความเป็นธรรมโดยไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งทางสังคม และได้เสนอข้อคิดเห็นในประเด็นตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญดังกล่าว โดยสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ |
ผลการพิจารณา |
1. สผ. กมธ. วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติม รธน. 60 กมธ. การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน และ กมธ. การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ควรเปิดโอกาสและรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา |
เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว โดยมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการจัดกิจกรรมเสวนาระหว่างคณะผู้แทนราษฎร และนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน และจัดรับฟังความคิดเห็นในรูปแบบช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่มและทุกพื้นที่ หรือการจัดประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ณ สถานศึกษา ที่สามารถตอบโต้แลกเปลี่ยนระหว่างกันได้
|
2. คณะรัฐมนตรีควรเปิดพื้นที่ให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน และประชาชน เพื่อแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระสร้างสรรค์ และอยู่ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย |
เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว โดยคณะรัฐมนตรีควรเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนแสดงความคิดเห็นให้กว้างและมากขึ้นกว่านี้เพื่อลดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การใช้ความรุนแรงในการระงับเหตุการณ์ชุมนุม |
3. ศธ. และ อว. ควรเปิดพื้นที่ให้นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เพื่อแสดงความคิดเห็นในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา สร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งกำหนดมาตรการความปลอดภัยให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในการคัดกรองบุคคลภายนอกที่เข้า – ออกโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการแทรกแซงจากบุคคลภายนอก |
- เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว โดยมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันนักเรียนและนักศึกษา ให้ความสนใจในสังคมและรัฐบาล สถาบันการศึกษาจึงเป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่สามารถรับฟัง ให้ความรู้ และแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียน นิสิตและนักศึกษาได้อย่างชัดเจน ครูหรืออาจารย์ มีหน้าที่รับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ แนะนำความถูกต้องและความปลอดภัยในการจัดกิจกรรมชุมนุม และรับฟังการอภิปรายนักเรียน นิสิตและนักศึกษาให้อยู่ในขอบเขต รวมทั้งไม่ควรใช้กระบวนการทางวินัยมาดำเนินการแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่แสดงความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคม และสถาบันการศึกษาไม่ควรปิดกั้นความคิดเห็น หากมีการจัดกิจกรรมชุมนุมภายในสถาบันการศึกษา - ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดรายวิชาเกี่ยวกับหน้าที่พลเมือง โดยจัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติมในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ กฎหมายและจริยธรรมสื่อสารมวลชนในหลักสูตรทุกระดับชั้นตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาค่านิยม ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เป็นพลเมืองดีของสังคมไทย ที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นไทย รักชาติ ศาสนา และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผ่านโครงการ “ส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหาษัตริย์ทรงเป็นประมุข” |
4. ตช. ควรปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนการชุมนุมที่กฎหมายกำหนดและการบังคับใช้กับผู้ชุมนุมต้องไม่ใช้ความรุนแรง และไม่มีการคุกคามหรือข่มขู่ผู้ชุมนุมหรือการกระทำที่มีลักษณะเป็นการคุกคามหรือข่มขู่ผู้ชุมนุม ควรคำนึงถึงหลักรัฐศาสตร์มาประกอบการพิจารณากับหลักนิติศาสตร์ด้วย |
เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว โดย ตช. ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุม เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง หรือกลุ่มผู้ไม่หวังดีเข้ามาใช้โอกาสในการสร้างสถานการณ์ มีการบังคับใช้กฎหมายต่อแกนนำ หรือกลุ่มผู้ชุมนุมดำเนินการด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเป็นไปตามหลักการสากล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการอบรมการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมเพื่อลดความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุม ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มีการแจ้งเส้นทางการจราจรหรือระบบการขนส่งสาธารณะเพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางดังกล่าว และเป็นไปตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคตามที่ทางราชการกำหนด |
22. เรื่อง การขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลในคนต่างด้าว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอการขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลในคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
1. กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการ ดังนี้
1.1 กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศปรับปรุงแก้ไข ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เพื่อให้คนต่างด้าวดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ได้ถึงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564 และให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาต ให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 (ฉบับที่ ....)
1.2 ให้กรมการปกครองและกรุงเทพมหานคร ดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติ และออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังบัตร ให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าว ตามแนวทาง และระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การผ่อนผัน ให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก
2. กระทรวงแรงงาน ดำเนินการ ดังนี้
2.1 กระทรวงแรงงาน ออกประกาศปรับปรุงแก้ไข ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เพื่อให้คนต่างด้าวดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ได้ถึงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564 และให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 รวมถึงการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงาน ตามแนวทางที่กรมการจัดหางานกำหนด
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาต ให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 (ฉบับที่ ..)
2.2 ให้กรมการจัดหางาน ดำเนินการพิจารณาอนุญาตการทำงานของคนต่างด้าวตามแนวทางที่กรมการจัดหางานกำหนดโดยระยะเวลาให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก
3. กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการ
3.1 ให้สถานพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด สถานพยาบาลที่กรมการแพทย์กำหนด สถานพยาบาลที่สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานครกำหนด และสถานพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564
3.2 ให้สถานพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด สถานพยาบาลที่กรมการแพทย์กำหนด สถานพยาบาลที่สำนักการแพทย์กรุงเทพมหานครกำหนด รับขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพแก่คนต่างด้าว ที่ได้ดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กับสถานพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว รวมถึงรับตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค ได้แก่ โรคเรื้อน วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้าง ในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคติดยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคซิฟิลิส ในระยะที่ 3 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก
4. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการจัดเก็บ อัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ในคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564
5. หลังสิ้นสุดระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษแล้ว ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดำเนินคดี คนต่างด้าวเข้าเมือง ผิดกฎหมาย หรือทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญ
กระทรวงแรงงานเสนอว่า
1. คนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เรื่อง ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก มีจำนวน 654,864 คน โดยคนต่างด้าวดังกล่าวต้องเข้ารับการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และไปดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564 ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2564 พบว่ามีคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพแล้ว จำนวนประมาณ 170,000 คน และมีคนต่างด้าวที่ผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว จำนวนประมาณ 422,000 คน ซึ่งหลังจากวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564 หากคนต่างด้าวยังไม่ได้เข้ารับการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และขึ้นทะเบียนประกันสุขภาพ รวมถึงยังไม่ได้จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) การอนุญาตให้อยู่ ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษและการอนุญาตให้ทำงานของคนต่างด้าวดังกล่าวจะสิ้นสุดลง
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย คนต่างด้าวสามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อการดำเนินการตามแนวทางที่กำหนด รวมถึงนายจ้าง/สถานประกอบการ มีแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการได้ต่อไป ในขณะเดียวกันคนต่างด้าวดังกล่าวได้อยู่ในการกำกับของหน่วยงานภาครัฐอันจะทำให้การบริหารจัดการความเสี่ยงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึง การบริหารจัดการคนต่างด้าวที่ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ดังนี้
1. ขยายระยะเวลาให้คนต่างด้าวดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) จากเดิมภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564 เป็นวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564
2. ขยายระยะเวลาให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปจัดทำทะเบียนประวัติ คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตร จากเดิมกลุ่มคนต่างด้าวที่ลงทะเบียนมีนายจ้าง ภายในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2564 และกลุ่มคนต่างด้าวที่ลงทะเบียนไม่มีงานทำภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เป็นวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 พร้อมกันทั้งสองกลุ่ม
3. ขั้นตอนอื่นตามที่กำหนดไว้ในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 ให้ดำเนินการตามที่แนวทาง ที่กำหนดเดิม
23. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กระทรวงคมนาคมเสนอว่า เนื่องจากรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมได้มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 ให้สอดคล้องกับการยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษของกรมทางหลวง โดยให้ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) โดยคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 โดยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษทั้ง 2 สายดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2564 เวลา 00.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 16 เมษายน 2564 เวลา 24.00 นาฬิกา ตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเสนอ และอนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยนำเรื่องการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษทั้งสองสายทางดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
การดำเนินการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษดังกล่าวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2564 จากการวิเคราะห์พบว่า หากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 9 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 16 เมษายน 2564 รวม 8 วันดังกล่าว คาดว่าจะมีปริมาณจราจรที่ใช้ทางพิเศษ รายได้ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ไม่ได้เรียกเก็บ และผลประโยชน์ที่ได้รับ ดังนี้
1. ทางพิเศษบูรพาวิถี ระหว่างวันที่ 9 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 16 เมษายน 2564
ผลการวิเคราะห์ |
เฉลี่ย/วัน |
หากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยกเว้นค่าผ่านทาง รวม 8 วัน |
ปริมาณจราจร |
150,009 คัน/วัน |
1,200,072 คัน |
รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ |
5,775,347 บาท/วัน |
46,202,776 บาท |
ผลประโยชน์ที่ได้รับ - VOC Saving - VOT Saving |
3,716,143 บาท/วัน 7,382,277 บาท/วัน |
29,729,144 บาท 59,058,216 บาท |
รวม |
11,098,420 บาท/วัน |
88,787,360 บาท |
2. ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 9 เมษายน 2564 ถึง วันที่ 16 เมษายน 2564
ผลการวิเคราะห์ |
เฉลี่ย/วัน |
หากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยกเว้นค่าผ่านทาง รวม 8 วัน |
ปริมาณจราจร |
210,118 คัน/วัน |
1,680,944 คัน |
รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ |
8,604,332 บาท/วัน |
68,834,656 บาท |
ผลประโยชน์ที่ได้รับ - VOC Saving - VOT Saving |
3,874,992 บาท/วัน 5,486,749 บาท/วัน |
30,999,936 บาท 43,893,992 บาท |
รวม |
9,361,741 บาท/วัน |
74,893,928 บาท |
เพื่อให้การดำเนินการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 5 มาตรา 19 และมาตรา 39 ประกอบกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ลงนามในสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการทางพิเศษฉลองรัชและโครงการทางพิเศษบูรพาวิถี ซึ่งตามสัญญา ข้อ 4.4 กรณีการปรับอัตราค่าผ่านทาง (ค) ที่กำหนดว่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะต้องขอความยินยอมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรจากกองทุนรวมอย่างน้อยสิบห้าวันทำการ ก่อนปรับหรือเปลี่ยนแปลงอัตราค่าผ่านทางของโครงการฯ การกำหนดส่วนลดอัตราค่าผ่านทางของโครงการฯ หรือ การยกเว้นการจัดเก็บค่าผ่านทางของโครงการฯ ในกรณีใด ๆ ยกเว้นในกรณี (2) ... การยกเว้นหรือกำหนดส่วนลดอัตราค่าผ่านทางของโครงการฯ ที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลตลอดระยะเวลาการใช้สิทธิตามสัญญา (ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม) ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยมีมติเห็นชอบและกระทรวงคมนาคมได้มีประกาศกำหนดแล้ว การทางพิเศษแห่งประเทศไทย จึงเห็นควรนำร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2564 และร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2564 ซึ่งคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนาม ก่อนลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อมีผลใช้บังคับต่อไป
ต่างประเทศ
24. เรื่อง รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย – สิงคโปร์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย – สิงคโปร์ (บันทึกความเข้าใจฯ) และให้ความเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย โดยมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะผู้แทนประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ได้จัดการประชุมเจรจาร่วมกันเมื่อวันที่ 9 – 10 มกราคม 2560 ณ กรุงเทพมหานคร และได้จัดทำบันทึกความเข้าใจฯ โดยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 และต่อมาคณะกรรมการผู้แทนรัฐบาลเพื่อพิจารณาทำความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศกับรัฐบาลต่างประเทศเป็นประจำ ได้มีมติรับทราบผลการเจรจาดังกล่าวแล้ว ในคราวการประชุม ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
รายการ |
สาระสำคัญ |
คำจำกัดความ “เจ้าหน้าที่ |
แก้ไขคำจำกัดความของคำว่า “เจ้าหน้าที่การเดินอากาศ” (aeronautical authorities) สำหรับฝ่ายไทยโดยแก้จาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็น |
การกำหนดสายการบิน |
ทั้งสองฝ่ายตกลงให้เป็นไปตามความตกลงฯ ที่มีผลบังคับใช้ |
ความปลอดภัย |
|
การรักษา |
|
ใบพิกัดเส้นทางบิน |
ปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางบินสำหรับเที่ยวบินรับขนผู้โดยสารโดยระบุเป็นจุดระหว่างทางใดๆ และรวมจุดพ้นเป็นกลุ่มภูมิภาค โดยสายการบินที่กำหนดสามารถทำการบินตามเส้นทางบิน ดังต่อไปนี้ ไทย จุดใด ๆ ในไทย – จุดระหว่างทางใด ๆ – จุดใด ๆ ในสิงคโปร์ – จุดพ้น ได้แก่ 13 จุดในโอเชียเนีย 3 จุด ในอเมริกาเหนือ และ 2 จุดในเอเชีย สิงคโปร์ จุดใด ๆ ในสิงคโปร์ – จุดระหว่างทางใด ๆ – จุดใด ๆ ในไทย – จุดพ้น ได้แก่ 5 จุดในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จุด ในยุโรป 4 จุดใน |
การแต่งตั้งสายการบิน |
ภาคีคู่สัญญาแต่ละฝ่ายแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด ดังนี้ ไทย – 9 สายการบิน เช่น บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด สิงคโปร์ – 6 สายการบิน เช่น สายการบิน Singapore Airlines Limited สายการบิน Scoot Private Limited เป็นต้น |
สิทธิรับขนการจราจร |
สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินด้วยสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 ตามเส้นทางที่กำหนดในใบพิกัดเส้นทางบินได้ 28 เที่ยว/สัปดาห์ |
การทำการบินโดยใช้ ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน |
สายการบินที่กำหนดจองแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันในเส้นทางการรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 ได้เพิ่มอีก 24 เที่ยว/สัปดาห์ โดยให้สายการบินที่ไม่ได้ใช้สิทธิทำการบินเองสามารถนำสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ 5 สำหรับเที่ยวบินรับขนผู้โดยสาร จำนวน 28 เที่ยว/สัปดาห์ มาใช้ร่วมกับสิทธิการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันได้ |
การปรับปรุงข้อบทภายใต้ความตกลงฯ และสิทธิการบินต่าง ๆ ข้างต้นเป็นการเปิดโอกาสให้สายการบินที่กำหนดของทั้งสองฝ่ายสามารถขยายบริการและเครือข่ายการบินเพิ่มมากขึ้นตลอดจนเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสายการบินในการวางแผนการให้บริการอันเป็นการส่งเสริมการเดินทางของผู้โดยสาร และส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้าและบริการระหว่างประเทศทั้งสองประเทศต่อไป
แต่งตั้ง
25. เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยมาตรฐานเทคนิคทางไฟฟ้าระหว่างประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอการปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการในคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยมาตรฐานเทคนิคทางไฟฟ้าระหว่างประเทศ โดยขอเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในคณะกรรมการดังกล่าว จากเดิม “ผู้แทน บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ ผู้แทน บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)” เป็น “ผู้แทน บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)” ทั้งนี้ องค์ประกอบอื่นและอำนาจหน้าที่คงเดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการ พลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายพจน์ หาญพล อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
2. นายอัฐกาญจน์ วงศ์ชนะมาศ กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ ญี่ปุ่น ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเอเธนส์ สาธารณรัฐเฮลเลนิก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศทั้ง 2 รายดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ
27. เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอการแต่งตั้ง นายสมบูรณ์ สุนันทพงศ์ศักดิ์ เป็นผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ 250,000 บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
28. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามลำดับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นายอิทธิพล คุณปลื้ม)
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอการแต่งตั้ นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2564 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี