"เครือข่ายประชาชน" 62 องค์กร รวมตัวยื่นหนังสือนายกฯ จี้เปิดรับ"ผู้ลี้ภัย"หลั่งไหลเข้าประเทศ พร้อมดูแล-คุ้มครอง
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงาน ก.พ. ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน 62 องค์กรที่ร่วมลงนามในแถลงการณ์ "ผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่าคือเพื่อนบ้านของประชาชนไทย" ข้อเสนอจากภาคีองค์กรภาคประชาชน 5 เมษายน 2564 จำนวน 6 คน นำโดยนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ,นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ, นายเอกพันธุ์ ปิณฑวณิช นักวิชาการอิสระด้านสันติภาพ, ผศ.ดร.ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนายศิววงศ์ สุขทวี เครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ ร่วมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เรื่อง ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย ในการรับมือกับการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย
โดยระบุว่า นับแต่การโจมตีทางอากาศของกองทัพพม่าต่อชุมชน จ.มื่อตรอ รัฐกะเหรี่ยงเมื่อ 27 มี.ค.2564 ตามต่อด้วยการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ทั่วพื้นที่ตลอดสัปดาห์ ผู้ลี้ภัยสงครามได้ทะยอยข้ามน้ำสาละวินมาหลบภัยใน ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย และต.แม่คง กับแม่ยวม อ.แม่สะเรียงจ.แม่ฮ่องสอนมากกว่าสามพันคน ซึ่งกว่าสองพันถูกผลักดันกลับไป ในระหว่างวันที่ 29 - 31 มี.ค.อีกราวสองพันคนยังกระจายตัวอยู่ตามเส้นขอบแดนในความควบคุมของหน่วยทหารพรานและตชด.ในอ.สบเมยและแม่สะเรียง
จากการแถลงข่าวของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องชี้ว่า รัฐไทยเกรงว่าการรับผู้ลี้ภัย จะก่อให้เกิดปัญหาการแพร่กระจายโควิด 19 และปัญหาความสัมพันธ์กันประเทศพม่า อีกทั้งยังเกรงว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะตกค้างอยู่นานดังเช่นคนในศูนย์พักพิงฯ 9 แห่ง จึงต้องการให้ผู้ลี้ภัยใหม่ อยู่เฉพาะภายใต้การควบคุมของกองทัพ เพื่อที่จะผลักดันออกไปให้เร็วที่สุด โดยมิให้สื่อมวลชน องค์กรมนุษยธรรมองค์การระหว่างประเทศ ประชาชนไทย รวมถึงหน่วยงานรัฐอื่น ได้เข้าถึง
จากการติดตามสถานการณ์และปฏิบัติการครั้งนี้ ภาคีองค์กรภาคประชาชนไทย ซึ่งถือว่าผู้ลี้ภัยจากประเทศพม่า คือเพื่อนบ้านของประชาชนไทย จึงมีข้อเสนอแนะในการรับมือกับการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย คือ
1. รัฐจะต้องไม่ปฏิเสธ การขอเข้าลี้ภัยโดยหน่วยงานความมั่นคง จะต้องเปิดให้ผู้หนีภัยสงครามให้เข้าพักหลบภัย ในประเทศไทย ตามหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ที่รัฐได้จัดไว้ให้
2. เมื่อหน่วยงานความมั่นคง เปิดรับให้ผู้ลี้ภัยเข้าสู่พื้นที่พักพิงฯ แล้ว ก็จะต้องมอบความรับผิดชอบในการจัดการดูแล ให้ความคุ้มครองแก่กระทรวงมหาดไทย ระดับอำเภอ และจังหวัดซึ่งจะได้ประสานกับหน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่น ให้มีบทบาทนำในด้านงานควบคุมโรค และองค์กรมนุษยธรรม
3. รัฐจะต้องไม่ปิดกั้น หากควรอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคประชาชนไทยที่ประสงค์จะช่วยเหลือผู้ลี้ภัย
4. ในกรณีที่มีการหลั่งไหลเข้ามาของกลุ่มผู้ลี้ภัยจากพื้นที่ ที่เชื่อได้ว่าจะมีผู้หลบหนีการประหัตประหารจากในเมืองรวมอยู่ด้วย รัฐควรอนุญาตให้สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(UNHCR) สามารถเข้าถึงผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าว และสามารถใช้กลไกคณะกรรมการ พิจารณาคัดกรองผู้ได้รับความคุ้มครอง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ.2562 เพื่อคัดกรองผู้ที่ต้องการความคุ้มครองเป็นการเฉพาะ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้อาจยังไม่สามารถกลับคืนถิ่นฐานพร้อมกับชาวบ้านที่อยู่ในชุมชนชายแดนได้
5. การตัดสินใจที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ลี้ภัยกลุ่มใด หรือบุคคลใดกลับคืนถิ่นฐาน จะต้องเป็นบทบาทร่วมของหน่วยงาน ที่ให้ความคุ้มครองดูแลผู้ลี้ภัย มิใช่บทบาทของฝ่ายความมั่นคงแต่เพียงฝ่ายเดียว
จากนั้น เครือข่ายฯ ได้ไปยื่นหนังสือต่อ ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์ ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี