ทีมเศรษฐกิจ ปชป.จี้คลังเร่งเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจสู้พิษโควิด-19 ระลอกใหม่ ปรับแก้ พรบ.จัดซื้อจัดจ้าง ลดอุปสรรคในการเบิกจ่าย
เมื่อวันที่ 20 มษายน 2564 นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พร้อมด้วย นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ กระตุ้นเศรษฐกิจแก้พิษโควิด-19 ระลอกใหม่ และชวนคนไทยสร้างการออม เตรียมพร้อมรับวิกฤต พร้อมเสนอ 5 แนวทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างมียุทธศาสตร์ ตามที่ทีมเศรษฐกิจ ปชป.ได้เคยเสนอไปแล้วว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจคือ "การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่มีอยู่แล้ว" อาทิ พรก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทและงบอื่นๆ ซึ่งตอนนี้มีเหลือกว่า 2.6 แสนล้านบาท โดยนายปริญญ์ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้
1.การสร้างงาน เสริมทักษะสมรรถนะของคน ในรูปแบบ Up Skill และ Re Skill เนื่องจากคนไทยยังต้องอยู่กับโควิด-19 อีกนาน และรูปแบบการทำงานได้เปลี่ยนไปแล้ว รัฐบาลสามารถลงมือทำได้เลยผ่านกลไกกระทรวงต่างๆ
2.การช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม (SMEs) หรือสตาร์ทอัพ โดยการสนับสนุนเงินเดือนหรือรายได้ส่วนหนึ่งให้กับบริษัทขนาดเล็ก เพื่อให้สามารถดูแลพนักงานต่อไปได้ ไม่ปลดคนงาน จนทำให้เกิดคนว่างงานเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงมาตรการในการลดรายจ่ายเช่นภาษี
3.นำข้อมูลด้านดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เนื่องจากปัจจุบันมีการเก็บข้อมูลทางดิจิทัลจากโครงการของรัฐมากขึ้น เช่น เราชนะ คนละครึ่ง เป็นต้น ภาครัฐควรนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อาทิ ถือโอกาสนี้นำร้านค้าเอสเอ็มอีเข้ามาในระบบภาษีมากขึ้น แล้วร้านค้าที่จ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ก็ควรจะได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าในการสนับสนุนโปรโมชันให้ประชาชนนำเงินไปซื้อสินค้าของ SMEsเหล่านั้นและนําไปหักลดหย่อนภาษีได้ในรูปแบบ "ไทยต้องช่วยซื้อไทย" สนับสนุนสินค้าไทยที่ดีและทำถูกกฎหมาย ส่งเสริมการเรียนรู้งานด้านออนไลน์ การทำคูปองสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรได้เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำเกษตรกรรม
4.พิจารณาปรับปรุง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง หรือยกเลิกบางมาตราที่เป็นอุปสรรคในการเบิกจ่าย แต่ยังคงต้องตรวจสอบความโปร่งใสอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ฝ่ายราชการสามารถเร่งอนุมัติโครงการที่จำเป็นได้โดยเร็วที่สุด
5.คงมาตรการในการลดภาระค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่รัฐวิสาหกิจต้องยอมอุดหนุนค่าใช้จ่าย เพื่อลดภาระให้กับภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้
ด้าน นางดรุณวรรณ กล่าวว่าที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือรัฐยังจำเป็นต้องสนับสนุนการให้องค์ความรู้ด้านการออม แม้ตอนนี้รายได้คนส่วนใหญ่น้อยลง การออมอาจทำได้ยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ภาครัฐควรช่วยสร้างองค์ความรู้ทางการเงินให้กับประชาชน
"ในวิกฤตผู้ที่อยู่รอด คือผู้ที่มีเงินออม การออมคือส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภาวะวิกฤตในระยะยาว รวมทั้งสามารถพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ต้องรอการช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว เป็นที่น่ายินดีว่าภาครัฐโดยกระทรวงการคลังมีแผนการออมแห่งชาติอยู่แล้วและถือเป็นวาระแห่งชาติ และได้มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เยาวชนจนถึงวัยเกษียณอายุ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่อยากให้ตระหนักถึงความสำคัญและผลักดันเรื่องนี้ควบคู่กับไปกับการแก้ไขปัญหาระยะสั้นด้วย" นางดรุณวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การจะออมที่มากขึ้น ต้องมาจากการที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นโครงการที่ทีมเศรษฐกิจ ปชป.รวมถึงพรรค ปชป.ได้ทำผ่านกระทรวงต่างๆ จึงคิดไว้ค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นโครงการเรียนจบพบงาน ที่เปิดตัวมา ปีกว่าแล้ว เป็นช่องทางที่จะช่วยให้คนมีงานทำ ช่วยอัพสกิลและรีสกิลให้คนมีศักยภาพมากขึ้น เพื่อให้มีโอกาสได้งานที่รายได้สูงขึ้น โครงการ Women Power ปชป.ที่เดินหน้าลงพื้นที่ให้องค์ความรู้ด้านการวางแผนทางการเงิน แก่กลุ่มผู้หญิงและกำลังจะขยายไปสู่ทุกคนในสังคมด้วย
"สุดท้ายนี้ ขอส่งกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังทำหน้าที่อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นผู้เสียสละอย่างมาก อยากให้คนไทยดูแลตัวเองตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และขอให้ทุกคนปลอดภัย" นายปริญญ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี