ม็อบออนไลน์ไทยไม่ทนไล่ขย่มรัฐบาล "จตุพร" ซัดนายกฯประเมินสถานการณ์วัคซีนผิดพลาด สะท้อนถึงความบกพร่อง จี้แสดงความรับผิดชอบ เย้ยอย่าหวังจะกลับมาอีกรอบ เหตุประชาชนเข็ดและขยาด จับสัญญาณกลิ่นยุบสภาโชยแล้ว
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช. ) ปราศรัยบนเวทีไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ผ่านระบบออนไลน์ว่า สถานการณ์ทางการเมืองต่อไปนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ และเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามายึดอำนาจโดยบอกว่า เข้ามารักษาความสงบจนถึงบัดนี้ เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2563 จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ พลเอกประยุทธ์ เข้ามาเพื่อรักษา covid ทั้งที่ความบกพร่องทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากพลเอกประยุทธ์ทั้งสิ้น อีกทั้งการแถลงการณ์ของคนที่เป็นผู้นำประเทศ เต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์และ ความผิดหวัง
นอกจากพูดไม่ได้เรื่องแล้ว ยังทำไม่ได้เรื่องอีก บางครั้งก็พยายามอธิบายความง่ายๆว่า วันก่อนที่พูดเร็ว เราไม่สามารถครองสติได้ มีเรื่องที่ต้องคิด พอมาอีกครั้งก็พูดช้าลงกว่าเดิม แต่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าพูดดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่การกระทำต่างหาก เหมือนที่พูดกันเสมอว่าร้อยคำพูด ไม่เท่ากับหนึ่งการกระทำ วันนี้หาคนเป็นผู้นำประเทศจะไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องวัคซีนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและความจริงที่ตนอยากจะบอกว่าพลเอกประยุทธ์ สามารถจัดการได้ง่ายที่สุดเพราะมีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ดังนั้นพระราชกําหนดฉบับนี้กึ่งๆมาตรา 44 อยู่แล้ว คือ การเอากฎหมายจากกฎอัยการศึก กฎหมายความมั่นคง เจตนารมณ์ในการตรากฎหมายในขณะนั้นปี 2548 เอาไว้เพื่อแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ต่อมาก็นำมาใช้ในการแก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งก็ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างแท้จริง
นายจตุพร ระบุต่อว่า แต่ความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการยึดอำนาจของรัฐมนตรี ทุกกระทรวง ที่เกี่ยวข้องกับ covid-19 มาอยู่ที่นายกรัฐมนตรีทั้งหมด ซึ่งตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ประเทศไทยก็อยู่ในการบริหารงานโดยพ.ร.ก.ฉุกเฉินมาโดยตลอด และการที่นายกรัฐมนตรีมาอธิบายว่าเหตุที่วัคซีนไม่เพียงพอเกิดความล่าช้านั้นอ้างว่า เกิดจากการ ประเมินสถานการณ์ที่ผิดคิดว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ ก็แสดงว่าการประเมินสถานการณ์ที่ผิดนั้นสะท้อนถึงความบกพร่อง จะต้องแสดงความรับผิดชอบ
“แต่นี่คือประยุทธ์จันทร์โอชา ไม่มีอนาคตใดๆทั้งสิ้นว่า เขาจะรับผิดชอบและอะไรจะประสบความสำเร็จกันบ้าง ดังนั้นตนเห็นว่า หากไล่ประยุทธ์กับเอา covid-19 ให้หาย ตนคิดว่าต้องไล่ประยุทธ์ก่อน แล้วโควิดจะหาย เพระประยุทธ์อับจนปัญญา ไม่สามารถแก้ไข covid-19 ได้”
นายจตุพร ระบุอีกว่า นับตั้งแต่แรกที่เราพยายามอธิบายความมาตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 และอีกไม่กี่วันก็จะครบ 7 ปีแล้วนั้นทุกคำมั่นสัญญาไม่เคยเป็นความจริงแม้แต่เพียงข้อเดียว รวมถึงสิ่งที่เคยประกาศไว้ไม่เคยมีรูปธรรมแม้แต่เพียงข้อเดียว ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพ และ ประสิทธิภาพ รวมถึงความโปร่งใสทั้งปวงนั้นก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้คนไทยได้เห็น แต่ประเทศนี้อยู่ในสภาพที่ ยังจะต้องมาถามกันอีกว่า ไม่เอาประยุทธ์แล้วจะเอาใคร ทั้งที่ พลเอกประยุทธ์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย และยังไม่ฉายวิสัยทัศน์ใดๆว่าจะแก้ไขปัญหา covid-19 นี้อย่างไร
นายจตุพร ระบุด้วยว่า ในสถานการณ์ที่ประเทศอึมครึมในลักษณะอย่างนี้ แน่นอนที่สุดคอการเมือง หรือคนติดตามทางการเมือง ก็รู้ว่ารัฐบาลชุดนี้อย่างไรก็ไปไม่รอด และกำลังคิดเดินเกมกันว่า สภาที่สส.คิดว่าจะเปิดการประชุมในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้นั้น อาจจะไม่ทันได้เปิดก็ได้ จะเกิดสถานการณ์การยุบสภาก็ได้เพราะส่งเสียงดังกันเหลือเกิน ว่า ยังไงก็จะต้องมีการยุบสภาก่อนที่สภาจะเปิด และก่อนที่จะมีการยุบสภาก็อาจจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจเอาอดีตนายธนาคารซึ่งตระกูลเคยเป็นเจ้าของหลักจนกระทั่งเวลานี้ถือหุ้นเพียงไม่ถึงหรือจะ 1% เท่านั้น แต่เป็นคนที่ดูดีในสังคมเอามาทำหน้าที่ดูเสมือนหนึ่งว่าคือทีมเศรษฐกิจของอนาคต อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหา covid 19 นั้นล้มเหลว และยิ่งสถานการณ์ของประเทศเป็นเช่นนี้ ก็จะมีการใช้กลไกรัฐเพื่อประโยชน์แห่งการเลือกตั้งอีกครั้ง
“ นายธนาคารที่ว่านี้ใครก็รู้กันดี ก็เป็นเพิ่มมาอีกหนึ่ง ป. นั่นแหละ แต่ทั้งหมดนั้นประเทศนี้จะไม่ได้รับการแก้ปัญหาอะไร เรารู้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พลเอกประยุทธ์ คือตัวถ่วงความเจริญ ทั้งปวงของประเทศนี้ คือตัวถ่วงของการแก้ไขปัญหา covid-19”
นายจตุพร กล่าวว่าที่ตนพยายามอธิบาย เมื่อวันก่อนว่าทำตัวเป็นมนุษย์ที่ไม่มีหู มีแต่ปาก หากคนที่มีการรับฟังนั้นในการแก้ไขปัญหา covid-19 ระดับประเทศที่เขาแก้ไขแล้วประสบความสำเร็จ เราสามารถยึดเป็นแบบอย่างได้ แต่ประเทศไทยนั้นเป็นตัวอย่างของความไม่สำเร็จทั้งปวง ตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรีลงมาก็ติดเชื้อโควิด แปลความได้ว่านายกรัฐมนตรีไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย ดังนั้นวันนี้เพื่อจะสื่อความไปยังพลเอกประยุทธ์
“ ท่านจะไปอย่างไรก็ชั่งหัวท่าน อยากจะลาออกหรือตีลังกาออกหรือจะยุบสภา แต่ปัญหามันไม่ได้รับการแก้ไข ไอ้การคิดจะกลับมาอีกรอบนั้น ผมจะท้าให้เลยว่าไม่มีวัน เพราะประชาชนเข็ดและขยาด”
นายจตุพรกล่าวอีกว่า ความจริงสิ่งที่พวกเราพยายามอธิบายอยู่นั้น พลเอกประยุทธ์ได้ประโยชน์จากการแบ่งแยกแล้วปกครอง พลเอกประยุทธ์ได้ประโยชน์จากความแตกแยกของประชาชน ดังนั้น การที่รวบรวมประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างกัน และที่บอกว่ายกอนุสรณ์สถานพฤษภาคม 35 มาเป็นฉากหลังของงานนี้ เพราะเป็นครั้งเดียวที่เราดีกันครั้งสุดท้ายเมื่อ 29 ปีที่ผ่านมา วันนี้ที่เราพยายามบอกกันว่าพลเอกประยุทธ์อยู่เฉยๆ แล้วจะอยู่ได้ต่อไปอีก 6 ปีเป็นอย่างน้อย
ดังนั้น ที่ใช้หัวข้อว่าไทยไม่ทนก็เพื่อจะบอกกับพี่น้องประชาชนว่า ทนอยู่กับผู้ปกครองอย่างพลเอกประยุทธ์กันได้อย่างไร เพราะ พลเอกประยุทธ์ คือศูนย์กลางของปัญหาทุกอย่าง รวมถึงไม่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาชาติ
“ ประเทศเราอยู่ในระบอบที่ด้านได้อายอด ที่ผมบอกว่านี่คือระบอบประยุทธ์ คือการปกครองของประยุทธ์ โดยประยุทธ์และเพื่อประยุทธ์ และก็ไม่รู้ว่าประยุทธ์จะไปเมื่อไหร่”
นายจตุพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ความเป็นจริงในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น เมื่อสถานการณ์ covid 19 เดินมาถึงจุดที่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปล่อยปละละเลย จนกระทั่งระบาดในรอบที่ 3 ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ใดๆได้ ซึ่งปกติที่ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จะต้องทำเรื่องเพื่อเข้าถวายรายงานถึงสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ พร้อมทั้ง ขอพระราชทานคำแนะนำมายังรัฐบาล แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่กระทำ ดังนั้นที่ตนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะวันนี้การอยู่ของพลเอกประยุทธ์นั้น ทำลายทุกกระบวนการ ไม่มีกระบวนการใดประสบผลสำเร็จ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี