1.ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุแต่งตั้งกรณีผู้ใต้บังคับบัญชา มีกรณีกล่าวหา หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่า กระทำผิดวินัยก็เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง ต้องรับดำเนินการหรือสั่งให้ดำเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องต้นว่า กรณีมีมูลควรกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยหรือไม่ถ้าเห็นว่ากรณีไม่มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ก็ให้ยุติเรื่องได้ (มาตรา 90และมาตรา 91 วรรคหนึ่งแห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551)
2. ในกรณีที่เห็นว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้ใดกระทำผิดวินัยโดยมีพยานหลักฐานเบื้องต้นอยู่แล้วให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา 92 (กรณีไม่ร้ายแรง) (มาตรา 91 วรรคสอง) สำหรับกรณีที่ผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา 91 ปรากฏว่ามีมูล และมิใช่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (คือเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง) และได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ พร้อมทั้งรับฟังคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษตามควรแก่กรณีโดยไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้ (มาตรา 92 วรรคหนึ่ง)
3. มาตรา 95 กำหนดว่า หลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาเกี่ยวกับการดำเนินการสอบสวนทางวินัยให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.พ. (กฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556)
4. มาตรา 95 วรรคสอง กำหนดว่าในกรณีที่เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งตามที่กำหนดในกฎก.พ.จะดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนก็ได้ ในกรณีนี้ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ข้อ 64 กำหนดความโดยสรุปว่า ข้าราชการพลเรือนผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และได้รับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาหรือได้ให้ถ้อยคำรับสารภาพและได้มีการบันทึกถ้อยคำรับสารภาพเป็นหนังสือ ถือเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุ ตามมาตรา 57 จะพิจารณาดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนหรืองดการสอบสวนก็ได้
5. ประเด็นของเรื่องนี้ ข้าราชการรายหนึ่งซึ่งผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจดำเนินการทางวินัยได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมพยานหลักฐาน 2 ประเด็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา 2 ประเด็นดังกล่าว โดยมีทางเลือกให้พิจารณา 2 ประการ คือ ยอมรับผิดตามข้อกล่าวหาและยอมรับโทษ หรือปฏิเสธข้อกล่าวหา ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาเลือกยอมรับผิดตามข้อกล่าวหาโดยผู้บังคับบัญชาได้สั่งลงโทษตามที่เห็นสมควร เช่นนี้ มีประเด็นว่าจำเป็นจะต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาโต้แย้งอีกหรือไม่ ประการใด
6. เมื่อพิจารณาตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจะเห็นได้ว่า ผู้บังคับบัญชาได้แจ้งข้อกล่าวหาพร้อมพยานหลักฐานและให้โอกาสโต้แย้งแล้ว แต่ผู้ถูกกล่าวหาเลือกที่จะยอมรับผิดตามที่ถูกกล่าวหา และไม่ชี้แจงแต่ประการใดก็คงจะไม่ต้องให้โอกาสโต้แย้งอีกแล้ว ไม่เหมือนกับกรณีตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่อบ.12/2562 ที่ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดจริง และผู้บังคับบัญชาลดหย่อนเป็นให้ว่ากล่าวตักเตือน แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่ได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบถึงการมีอยู่ของข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำให้การของพยานบุคคลแต่อย่างใด เท่ากับไม่ให้โอกาสแก่ผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือนโต้แย้งแต่ประการใด (ลองหามาศึกษาดูนะครับ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี