เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 รศ.ดร. มุนินทร์ พงศาปาน คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Munin Pongsapan" ดังนี้
หลังจากที่เคยมีผู้ทักท้วงข้อกำหนดฉบับที่ 27 (ข้อ 11) จนรองนายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงว่าห้ามเฉพาะการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ วันนี้นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 โดยมีข้อห้ามแบบเดิมอีก ทำให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลว่าต้องการห้ามการนำเสนอข้อมูลใดๆ ที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะ “จริง” หรือ “เท็จ” หากบังคับใช้กฎหมายในแนวทางนี้ การนำเสนอข่าวหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับโรคระบาดไม่ว่าจะทำโดยสื่อมวลชน บุคคลทั่วไป แม้แต่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะกระทำมิได้เลย เนื่องจากข้อมูลที่เกี่ยวกับโรคระบาดไม่ว่าในแง่มุมใด ก็อาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวได้ด้วยกันทั้งสิ้น ผลวิปริตเช่นนี้ คนทั่วไปก็บอกได้ว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อสามัญสำนึก ในขณะที่นักกฎหมายบอกได้ทันทีว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและหลักการสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพที่เกินสมควรแก่เหตุ และไม่ได้มุ่งคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ แต่เห็นได้ชัดว่าต้องการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการที่ผิดพลาดของรัฐบาล ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ใช้สิทธิและเสรีภาพโดยสุจริต ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ข้อกำหนดฉบับที่ 29 นี้ จึงควรปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนด้วยการร้องขอให้ศาลยุติธรรมประกาศว่ากฎหมายลำดับรองฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
และในเวลาต่อมา ได้โพสต์เพิ่มเติมอีกดังนี้
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดฉบับที่ 27 (ข้อ 11) เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 แล้วถูกวิพากษ์วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ห้ามเฉพาะการนำเสนอข้อมูลที่เป็น “เท็จ” ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน
หลังจากที่นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 แล้วถูกวิพากษ์วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ห้ามเฉพาะการนำเสนอข้อมูลที่เป็น “เท็จ” ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน
คำถาม คือ เหตุใดข้อกำหนดฉบับที่ 29 จึงไม่ระบุให้ชัดเจนไปเลยว่า “ข้อความอันเป็นเท็จ” แต่ยังคงใช้ข้อความที่เป็นปัญหา ก่อให้เกิดความกังวลและเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนเหมือนเดิม และรองนายกรัฐมนตรีก็ต้องออกมาอธิบายการตีความแบบเดิม ทั้งๆ ที่นักกฎหมายย่อมทราบกันดีกว่า บทบัญญัติของกฎหมายต้องสร้างความชัดเจนแน่นอนในนิติฐานะ กล่าวคือ ถ้อยคำของกฎหมายต้องมีความชัดเจน ประชาชนทั่วไปอ่านแล้วสามารถทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตนได้อย่างชัดเจนในทันที ยิ่งในการร่างกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ผู้ออกกฎหมายยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำมากขึ้นไปอีก หลีกเลี่ยงถ้อยคำที่คลุมเครือ เพื่อป้องกันการบังคับใช้กฎหมายตามอำเภอใจ และยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประชาชนเกิดความสับสนและหวาดกลัวอย่างที่เป็นอยู่ ผู้ออกกฎหมายยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการร่างกฎหมายในระดับสูงสุด กฎเกณฑ์ที่ออกมาต้องมีความชัดเจนแน่นอนอย่างที่สุด และต้องไม่สร้างความสับสนและความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างที่เป็นอยู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'วิษณุ'ยันรัฐบาลรับฟังเสียงองค์กรสื่อ อ้างข้อกำหนดออกมาตรา 9 พรก.ฉุกเฉิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี