รัฐสภาผ่านฉลุย

แก้รธน.ใช้บัตรเลือกตั้ง2ใบ

สส.เขต400/ปาร์ตี้ลิสต์100

รัฐสภาถกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 2 มาตรา 83 “ก้าวไกล-พรรคเล็ก”ค้านจำนวนสส.หวั่นถูกถล่มซื้อเสียง “เสธอู้” หนุนบัตร 2 ใบ ลดสารพัดปัญหาร้องเรียน ขณะ “สว.เสรี” ชี้ ปชช.ไม่ได้อะไร ความต้องการพรรคการเมืองล้วนๆ ใช้ถกนาน 5 ชั่วโมง ก่อนลงมติเห็นชอบ ให้มี สส.เขตเลือกตั้ง 400 คน-บัญชีรายชื่อ 100 คนและใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

เมื่อเวลา09.50น.วันที่ 25สิงหาคม ที่รัฐสภาได้มีการประชุมรัฐสภา มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งได้เข้าสู่การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่...) พ.ศ.... ( แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา83และมาตรา 91 ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง) ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ ที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เป็นประธาน กมธ.ซึ่งพิจารณาต่อจากวันที่ 24ส.ค.ซึ่งเป็นวาระที่ประชุมต้องลงมติอนุญาตการแก้ไขเพิ่มเติมของ กมธ.ซึ่งมีการทบทวนเนื้อหาที่ต่างจากการยื่นร่างแก้ไขและรายงาน เมื่อวันที่ 19ส.ค.จากที่เสนอ 9มาตรา เป็นปรับแก้ไขเพียง 4มาตรา

โดยก่อนการลงมติของรัฐสภา นายไพบูลย์ ชี้แจงว่ากมธ.ได้ปรับแก้ไขรายงานโดยได้ตัดออกหลายมาตรา เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็น อาทิ มาตรา85 ว่าด้วยการกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลเลือกตั้งภายใน30วัน บทเฉพาะกาลว่าด้วยกำหนดให้ออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญภายใน 120วัน หากทำไม่แล้วเสร็จ ให้ กกต.ออกประกาศเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง ทั้งนี้กมธ.ได้คงมาตราที่เพิ่มเติม คือ มาตรา86 เพื่อปรับตัวเลข สส.ให้สอดคล้องกับหลักการ ที่ให้มีสส.เขต 400คนและบัญชีรายชื่อ 100คนและคงบทเฉพาะกาลในบทว่าด้วยกรณีที่มีการเลือกตั้งซ่อมจะไม่นำรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาใช้บังคับ ยกเว้นมีการเลือกตั้งทั่วไป

สภาหวั่นผิดข้อบังคับส่งศาลตีความ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขั้นตอนที่กมธ.เสนอและได้รับการอนุญาตจาก นายชวน แต่ถูกท้วงติงจาก สมาชิกรัฐสภาและตั้งข้อสังเกตว่า อาจผิดข้อบังคับ พร้อมกับขอให้ถอนญัตติดังกล่าวออกจากระเบียบวาระ โดย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะผู้เสนอคำแปรญัตติอภิปรายว่า การแก้ไขของกมธ.แก้รัฐธรรมนูญแบบฉุกละหุก เมื่อวันที่ 24ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอให้รัฐสภาพิจารณา ไม่เห็นเนื้อหาว่าแก้อย่างไร ไม่แน่ใจว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร แต่ตนเชื่อว่าจะมีผู้ส่งศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มาของ สส.ดังนั้นการแก้ไขของกมธ.ฯควรพิจารณาในที่ประชุม ไม่ใช่ใช้มติกมธ.แก้ไขเปลี่ยนแปลง แล้วให้ที่ประชุมรัฐสภาอนุญาต ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา

นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่าในฐานะผู้แปรญัตติ พบมีการแก้ไขคำแปรญัตติที่ไม่ตรงกับคำขอที่เสนอต่อที่ประชุม หากการประชุมกมธ.เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดระบุว่าทำได้แล้ว สิ่งที่ควรทำคือการถอนญัตติเพื่อกลับไปแก้ไขให้สมบูรณ์ ให้เนื้อหาตรงกัน เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติเป็นเฉพาะ ตนไม่ต้องการให้มีปัญหากระทบต่อสมาชิกรัฐสภาระยะยาว

นายชวนชี้แจงว่าเมื่อกมธ.แก้ไขเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ต้องขออนุญาตการแก้ไขจากที่ประชุมรัฐสภา ข้อ37จากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติ 357เสียงเห็นด้วยให้ กมธ.แก้ไข ต่อ 42 เสียง งดออกเสียง 86เสียง

‘ก้าวไกล-พรรคเล็ก’ค้านจำนวนส.ส.

จากนั้น เวลา10.20น. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธาน กมธ.ได้รายงานว่าคณะกมธ.ได้พิจารณาเสร็จ โดยมีมาตราที่เพิ่มขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นมาตราที่เกี่ยวข้องและเสนอคำแปรญัตติที่ชอบด้วยข้อบังคับการรประชุมรัฐสภา ข้อที่ 124 การแก้ไขในแต่ละมาตรา กมธ.ได้นำคำแปรญัตติของสมาชิกรัฐสภา อย่างไรก็ตาม มีการแก้ไขมาตรา 86 แบ่งเขตเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการแก้ไขจำนวนส.ส.ให้สัมพันธ์กับการแก้ไขมาตรา 83 โดยตรง นอกจากนี้ ก็มียังมีการเพิ่มบทเฉพาะกาล เพื่อรองรับในส่วนเกี่ยวกับการเลือกตั้งสส.ถ้าเกิดเลือกตั้งซ่อมตอนนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขฉบับนี้

เวลา10.38น.ที่ประชุมพิจารณามาตรา83 ว่าด้วยจำนวนสส.แบ่งเขต 400คน สส.บัญชีรายชื่อ 100คน และให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2ใบ ภาพรวมการอภิปราย พรรคก้าวไกล พรรคพลังท้องถิ่นไท และพรรคเสรีรวมไทย ไม่เห็นด้วยตามที่กมธ.แก้ไขและเสนอให้คงใช้สัดส่วนส.ส. ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ สส.แบ่งเขต 350คนและสส.บัญชีรายชื่อ 150คน โดยนายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า หากกำหนดสัดส่วนส.ส.ไม่ห่างกัน จะทำให้พรรคการเมืองได้เน้นนโยบายหาเสียง เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพรวมว่าเมื่อพรรคได้เป็นรัฐบาลจะทำอย่างไร ไม่ใช่เน้นส.ส.แบ่งเขตแบบตัวบุคคล ซึ่งการเข้ามาส.ส.ก็จะใช้อิทธิพลหรือการอุปถัมภ์ ซึ่งแบบนั้นไม่ได้สะท้อนประชาธิปไตยในบ้านเรา

เสรีรวมไทยหวั่นทุ่มเงินคืนหมาหอน

ขณะที่นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า การให้สัดส่วนส.ส.เป็นแบบที่กมธ.แก้ไข จะทำให้มีการซื้อเสียงทวีคูณและแข่งขันมากขึ้น เราจะยอมรับหรือไม่ว่า มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงจนเป็นธรรมเนียมว่า เงินไม่มา กาไม่เป็น เป็นแบบนี้ทั่วประเทศ ฟังปราศรัยได้ 200บาท คืนหมาหอนได้อีก 500บาท จึงอยากถามว่าสัดส่วนส.ส.แบบที่กมธ.แก้ไข ยังเหมาะสมจริงกับประเทศเราจริงหรือ ระบบนี้ใช้ในรัฐธรรมนูญปี40 เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นระบบกินรวบรัฐสภา เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่สะท้อนเจรจาของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อยากถามผู้มีอำนาจว่าหากใช้ระบบนี้ ไม่กลัวผีแล้วหรือ หรือว่าเพียงเพื่อให้ได้ประโยชน์เท่านั้น ก็เลิกกลัวผี

‘เสธ.อู้’หนุนใช้บัตรเลือกตั้ง2ใบ

ด้านพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) อภิปรายสนับสนุนให้มีส.ส.แบ่งเขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และให้ใช้ใบเลือกตั้ง 2 ใบ เพราะในการเลือกตั้งส.ส. ปี 62 ใช้แบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวมีปัญหามาก ตั้งแต่เกิดการร้องเรียนต่อกกต.ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการคำนวณส.ส.ใหม่ ได้เป็นสส.อยู่ดีๆ แต่เมื่อมีการเลือกตั้งซ่อมและคำนวณคะแนนใหม่ ทำให้สส.ต้องกลับบ้าน รู้สึกสงสาร ฉะนั้น ตนจึงเห็นด้วยที่จะใช้บัตรเลือกตั้ง 2ใบ

‘เสรี’เย้ยแก้ไขแล้วปชช.ไม่ได้อะไร

ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.อภิปรายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับประชาชน แต่การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ดูเหมือนประชาชนจะไม่ได้อะไร เพราะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้บัตร 2ใบ ตามที่ฝ่ายการเมืองต้องการ ที่ผ่านมาการเลือกตั้งมีปัญหาสร้างความแตกแยก ถ้าเราจะแก้รัฐธรรมนูญและให้ประชาชนได้ประโยชน์ ต้องใช้เขตเลือกตั้งใหญ่มีสส.หลายคน ไม่ใช่เขตเดียวคนเดียวแบบที่ทำกัน ซึ่งเขตใหญ่ซื้อเสียงยาก ทำให้ได้ตัวแทนของประชาชนอย่างทั่วถึงกว้างขวาง

‘โรม’แนะคำนวณคะแนนสส.ใหม่

เวลา 12.40น.นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนเสนอให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราฎร500คน เป็นแบบแบ่งเขต 350คนและแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งพรรคการเมือง 150คน โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2ใบ คือ บัตรแบบแบ่งเขต 1ใบและบัตรพรรคการเมือง 1ใบ พรรคก้าวไกลยืนยันว่า เราสนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2ใบ ไม่เคยมีความเห็นสนับสนุนบัตรใบเดียว อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งด้วยบัตร 2ใบ ไม่จำเป็นว่าต้องใช้วิธีคำนวณแบบวิธีโบราณแบบที่เคยทำกันมา แต่สามารถเรียนรู้วิธีใหม่ๆได้ ตัวเลขสมาชิกสภาฯที่ควรจะเป็น คือ สส.เขต 350คนและสส.บัญชีรายชื่อ 150คน เพราะมีความเหมาะสมมากกว่าตัวเลข 400ต่อ100คน การทำหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรควรจะมีกลุ่มคนที่หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้มีตัวแทนเข้ามามากขึ้น เช่น กลุ่ม LGBTQ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ ที่อยู่กระจัดกระจายหลายจังหวัด หากมุ่งเน้นระบบเขตเท่านั้น จะทำให้คนกลุ่มนี้แทบจะไม่มีโอกาสเข้ามา

นายรังสิมันต์ กล่าวว่าการที่อ้างว่า ประชากรที่ลดลงไปต่อเขตจะทำให้ สส.กับประชาชนใกล้ชิดกันมากขึ้นนั้น เมื่อคิดเป็นอัตราส่วนแล้วลดลงไม่มากเลย เช่น หากมีคนมีสิทธิเลือกตั้ง 51ล้านคน และแบ่งออกเป็น 400เขต สัดส่วนประชากรต่อเขต คือ 127,000คน แต่หากแบ่งเป็น350เขต สัดส่วนประชากรต่อเขตคือ 145,714คน สรุปแล้วสัดส่วนแตกต่างไม่ถึง 2หมื่นคน จึงเห็นว่าการออกแบบเลือกตั้งที่ก้าวหน้า ต้องไม่อาศัยความเคยชินในแบบที่เคยทำกันมา เพราะสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ระบบเลือกไม่ใช่วัตถุโบราณที่ต้องเก็บและกอดเอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลงหากทำต่อไป อาจนำสังคมไทยไปสู่ปัญหาที่เคยเป็นมา

‘ชลน่าน’ชี้สส.2แบบศักดิ์ศรีเท่ากัน

ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะกมธ.เสียงข้างมาก ชี้แจงว่า ระบบเลือกตั้งสส.บัญชีรายชื่อกับสส.แบบเขต เราคำนึงตลอดว่าแม้จะ100คนต่อ400คน หรือที่มาต่างกัน เราคำนึงว่าเป็นส.ส.ที่มีศักดิ์ศรีเท่ากัน ไม่มีส.ส.ซีกใดที่มีศักดิ์ศรีเหนือกว่ากัน ทั้งนี้เราเป็นระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ซึ่งการเลือกตัวแทนที่ดีที่สุดต้องเป็นการทั่วไป โดยเสมอภาค เสรี ตรงและลับ ดังนั้น การที่เขาจะให้เรามาเป็นตัวแทน เขาต้องมอบอำนาจจากเขาให้เราอย่างตรงโดยเป็นการลับและทั่วไป\

ลงมติ476ต่อ70หนุนบัตรลต.2ใบ

จากนั้นที่ ประชุมลงมติเห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมากในการแก้ไข มาตรา3 ให้ยกเลิกความในมาตรา83 ด้วยคะแนนเห็นด้วย476เสียง ไม่เห็นด้วย 70เสียง งดออกเสียง 91เสียง ไม่ลงคะแนน 1เสียง การพิจารณามาตราดังกล่าวเกือบ 5 ชั่วโมง

‘พท.’ชวนโหวตไล่รัฐบาลประยุทธ์

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมส.ส.และสมาชิกพรรคแถลงข่าวเชิญชวนประชาชนลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาล ผ่าน https://www.change.org/prayutgetout ในหัวข้อ“ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์”เพื่อร่วมแสดงพลังและเจตจำนงไม่ยอมรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อีกต่อไป เพราะเป็นผู้นำไร้ความสามารถ บริหารประเทศล้มเหลวซ้ำซาก ปล่อยปละละเลยทำให้ประชาชนประสบภาวะทุกข์ยากแสนสาหัส ซึ่งการเข้าร่วมลงชื่อในครั้งนี้จะเป็นการแสดงพลังของพี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่งตามวิถีประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านในสภาที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 31ส.ค.ถึง 2ก.ย.นี้ การลงมติไม่ไว้วางใจครั้งนี้นายกฯและพรรคร่วมรัฐบาลจะได้ตระหนักว่าเสียงข้างมากของสส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสว.ไม่อาจค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกฯได้ ในทางตรงข้ามหากประชาชนทั้งประเทศขาดความเชื่อมั่น ขาดความไว้วางใจ ขาดศรัทธาที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯบริหารประเทศต่อไป ปัญหาวิกฤตที่เผชิญอยู่ไม่อาจจะแก้ไขได้และประเทศจะจมดิ่งลึกลงจนกอบกู้แก้ไขลำบากทุกที