เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศกิจกรรมคาร์ม็อบ "ขับรถยนต์ชนรถถัง" เริ่มต้นตั้งแต่ที่แยกอโศกมนตรี เมื่อเวลา 15.00 น.โดยมีจุดมุ่งหมายที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 17.20 น.ขบวนเคลื่อนถึงแยกอรุณอมรินทร์ ก่อนข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า พร้อมเร่งเครื่อง บีบแตร จากนั้นมุ่งหน้าไปยังจุดสิ้นสุด คือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ต่อมาเวลา 17.25 น.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการนำผ้าดำขนาดใหญ่ คลุมมิดพานแว่นฟ้า พร้อมติดภาพใบหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข้อความประกาศจับ "wanted รัฐประหารคือกบฎ" และ "เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ" โดยผู้ชุมนุมบางส่วนพักผ่อน ดื่มน้ำ มีผู้นำขนมมาแจก มีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดสีแดง พร้อมสวมหน้ากาก
จากนั้นเวลา 17.30 น.นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช.ขึ้นกล่าวปราศรัยว่า 15 ปี แห่งความเจ็บปวด ล้าหลัง ประเทศพัง แต่เผด็จการยังไม่พอใจ การต่อสู้ก็จะยังอยู่ ด้านหลังของเรา กลุ่มทะลุฟ้ากำลังจะสร้างงานประติมากรรม (คลุมผ้าดำ) จากนั้น นายณัฐวุฒิ ทำการขับขาน 1 บทเพลง เนื้อหากล่าวถึงความเหน็ดเหนื่อยในการต่อสู้
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ทำไมประชาชนจะเต้นเยาะเย้ยเผด็จการไม่ได้ จากนั้นนายณัฐวุฒิโยกย้ายส่ายสะโพก โดยผู้ชุมนุมต่างปรบมือ ส่งเสียงเฮ และบันทึกภาพ
"เพลงเมื่อสักครู่ ชื่อเพลง "กันและกัน" แต่งเมื่อคราวติดคุกปี 53 แต่หลังจากนี้ ทุกเพลงที่จะแต่ง ไม่จำเป็นต้องแต่งในเรือนจำอีกแล้ว เพราะชัยชนะจะเป็นของประชาชน เราออกมาเพื่อพิสูจน์ให้เผด็จการได้เห็นว่า เขายังไม่ชนะ และเรายังไม่ยอมแพ้ มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน" นายณัฐวุฒิ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในตอนหนึ่ง นายณัฐวุฒิ ตะโกนว่า "ได้ยินไหมลุงนวมทอง ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไหม?" จากนั้นชวนให้ผู้ชุมนุมร่วมกันโห่ร้องส่งเสียงถึงดวงวิญญาณ นายนวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่ต้านรัฐประหาร
เวลา 17.38 น.นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ขึ้นกล่าวปราศรัยว่า เมื่อปี 49 ตนยืนอยู่ตรงนี้ มาจาก ม.ธรรมศาสตร์ แช่มชื่นที่อย่างน้อยยังมีประชาชนร่วมต่อสู้ ไม่เอาเผด็จการในเวลานั้น หลายคนมองว่า การยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ เป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น ซึ่งก็มีการโต้เถียงว่า ถูกต้องหรือไม่
"ผมขอทบทวน การขอให้ทหารมายึดอำนาจ ขอให้ประชาชนทบทวนว่า 15 ปีมานี้ ทักษิณยังอยู่หรือไม่ แต่การต่อต้านรัฐประหารยังคงอยู่ ประชาธิปไตยยังคงเรียกร้องพร้อมความตื่นตัวของประชาชน การรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งสำคัญมาก เพราะคือการเปิดประตู ให้ทหารเข้าสู่ระบบการเมืองไทย จนวันนี้ นายกฯ สืบทอดอำนาจมาจนปัจจุบัน นี่คือความล้มเหลวของสังคม" นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ถ้ารัฐประหารดี ต้องจับต้องได้ แต่ 15 ปี ที่เราใช้วิธีการนี้แก้ไขความขัดแย้ง กลับเป็นวิธีให้ประเทศไทยถอยหลัง และวิบัติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าเราไม่ตาบอด หูหนวก ที่สำคัญ ปัญญาไม่ดับ เราย่อมต้องถอดบทเรียนได้ว่า การกระทำเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ได้สืบเนื่องมาจนวันนี้ ใครที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร คาดหวังว่า จะได้บทเรียน และไม่ออกมาสนับสนุนอีก หากเกิดวิกฤตในประเทศ ขอให้มีความอดทน แก้ปัญหาด้วยวิถีประชาธิปไตย คือบทเรียนที่อยากฝาก ถึงทุกคนในสังคมไทย" นายสมบัติ กล่าว
จากนั้นเวลา 17.42 น.นายณัฐวุฒิ ขึ้นกล่าวปราศรัยอีกรอบว่า 15 ปีที่ผ่านมา ต้องแลกอะไรมาบ้าง ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะขึ้นนั่งเก้าอี้นายกฯ 15 ปี มีการยึดอำนาจ 2 ครั้ง บอยคอตการเลือกตั้ง 2 หน ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ใส่ร้ายประชาชน สนับสนุนขบวนยึดสนามบิน ขัดขวางการเลือกตั้ง กระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐาน มีการจับกุม ไล่ล่า อุ้มหาย ลี้ภัย ทั้งหลายเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ ในวันนี้ นี่คือความอัปยศที่สุดในแผ่นดิน
ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ มีความรู้สึกเดียวกันคือ "ประยุทธ์ออกไป" เราไม่มีอะไร จะประกาศศักดานุภาพ เท่ากับเสียงของประชาชน เสียงตะโกนก้องด้วยความเจ็บปวด ทุกถ้อยประกาศ ทุกตัวบทกฎหมาย และคำสั่งของเผด็จการ หาใช่บทบัญญัติที้ชอบด้วยหลักนิติธรรม ที่จะทำให้ประชาชนเคารพได้ เอะอะบอกให้ประชาชนเคารพกฎหมาย พวกคุณฉีกกฎหมายสุงสุด และนิรโทษกรรมตัวเอง ในประเทศไทย ไม่มีใครกลุ่มไหน ปฏิเสธ และย่ำยีการมีอยู่ของกฎหมาย เท่าประยุทธ์อีกแล้ว" นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า แก้โควิดผิดพลาด ถ้าเราจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ชาวบ้านยังตายไม่เสร็จ ก็คิดนิรโทษกรรมตัวเองแล้ว ดังนั้น ในวาระอันสำคัญ ครบรอบรัฐประหาร 15 ปี ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลายเป็น "ศาลาคนเศร้า" ของคนรักประชาธิปไตย เจ็บปวด ถูกฆ่าตาย ก็ตรงนี้ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอาจไม่มีคนจำนวนมากอยู่ทุกวัน แต่จิตวิญญาณประชาชนอยู่ที่นี่ทุกวัน ชั่วนาตาปี
"ผมอยากจะบอกไปยังฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าจนถึงวันนี้พวกคุณยังไม่สำนึก ไม่รู้ว่าได้นำพาประเทศถอยหลัง พินาศ วอดวายเพียงใด เพราะบรรดากองเชียร์ รัฐประหารและอุ้มสม เราไม่ติดใจในทางส่วนตัว แต่ในทางการเมือง ฉิบหายมา 15 ปี ประชาชนคนไหนยังเชียร์ประยุทธ์ ถือว่าเราขาดกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทางใคร ทางมัน ประเทศเดียวกัน สองความคิด และชัยชนะจะต้องเป็นของฝ่ายประชาธิปไตย ที่มั่นใจเช่นนี้ เพราะถ้าแพ้ แพ้ไปนานแล้ว ตั้งแต่ 14 - 16 ตุลา , พฤษภาคม 35 , ปี 53 หรือครั้งคนหนุ่มสาวถูกจับกุมคุมขัง แต่แท้จริง เราต่างหากที่สะสมชัยชนะ และเขา สั่งสมความพ่ายแพ้อยู่ทุกวันประชาธิปไตย ที่ถูกคลุมถุงดำโดยเผด็จการมาเป็นเวลา 15 ปี เรามีกิจกรรมมากมาย เสียดายฝนตก แต่เห็นไหม ฝนไม่ตกตลอดกาล เผด็จการก็ย่อมไม่อยู่ตลอดไป เมื่อฝนซา ท้องฟ้าก็ใส เผด็จการมาได้ ก็ไปได้ ที่อยู่อมตะนิรันดร์กาล คือประชาชน ไม่ว่าฤดูกาลใด ก็ยังมีประชาชน ไม่ว่าเผด็จการไหนเข้ามา ก็ย่อมต้องเจอภัยประชาชน เพราะประเทศเป็นของประชาชน" นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า โปรดติดตามการเคลื่อนไหวต่อไป พูดตรงๆ เราพยายามทดสอบแนวทางเคลื่อนไหว ได้ข้อสรุปว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด "คาร์ม็อบ" ตอบโจทยที่สุด การต่อสู้ทางการเมือง ต้องยืนบนความจริงด้านสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นรังแต่จะอ่อนแอ เสียหาย จึงขอให้ได้หารือถอดบทเรียนครั้งนี้ เพื่อหาทางต่อสู้ครั้งต่อไปในไม่ช้านี้ ธงที่แจกวันนี้ จอให้เก็บไว้ เป็นสัญญาใจ เพื่อร่วมกันชูธงประชาธิปไตย เผด็จการเลวร้ายกว่าขยะเปียกทุกกอง วันนี้เราตั้งชื่องานว่า คารม็อบ "ขับรถยนต์ชนรถถัง" ผมใส่เครื่องแบบแท็กซี่ รำลึกความอาจหาญของ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ที่ไม่ได้ใหญ่โต และอาจไม่มีคนในสังคมไทย สังคมโลกได้รู้จัก แต่ชายผู้นี้ตัวเล็ก หัวใจยิ่งใหญ่กว่าผู้กุมอำนาจในรัฐบาล รถถังที่ใช้ยึดอำนาจ เป็นเพียงเศษเหล็กเท่านั้น เมื่อเทียบกับแท็กซี่ ลุงนวมทอง ผู้ประกาศตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ยังไม่กล้าขับรถถังออกมาเอง หวังใจว่าหากดวงวิญาณลุงนวมทองได้ยิน คงรับรู้" นายณัฐวุฒิกล่าว
จากนั้นผู้ชุมนุมส่งเสียงแสดงพลังของประชาชน ก่อนร่วมชู 3 นิ้ว โบกสะบัดธง ร้องเพลง "เราคือเพื่อนกัน" ของวงสามัญชน และยุติกิจกรรมการชุมนุมในเวลา 18.05 น.
นายณัฐวุฒิ กล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งว่า ยุติการชุมนุมคาร์ม็อบ "ขับรถยนต์ ชนรถถัง" แล้ว
เวลา 18.15 น.ได้เกิดเสียงดังคล้ายระเบิดขึ้น ผู้สื่อข่าวเข้าตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันบริเวณหน้าร้านเมธาวลัย-ศรแดง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี