วันนี้ (7 ธันวาคม 2564) เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1.เรื่อง ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรการเพื่อประโยชน์ในการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและมาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการใช้สุดท้ายหรือผู้ใช้สุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรการเพื่อประโยชน์ในการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงและมาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่มีเหตุอันควรสงสัย ว่ามีการใช้สุดท้ายหรือผู้ใช้สุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2564 ประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2564 โดยจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564) [เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 มาตรา 12 ซึ่งบัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง มีหน้าที่และอำนาจประกาศกำหนดมาตรการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction: WMD) รวมถึงมาตรการเกี่ยวกับสินค้าที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการใช้สุดท้ายหรือผู้ใช้สุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยาย WMD และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กำหนดมาตรการเพื่อประโยชน์ในการควบคุม เช่น มาตรการห้ามส่งออก ส่งกลับ ถ่ายลำ ผ่านแดน และถ่ายโอนเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์
2. กำหนดการบังคับใช้มาตรการ เมื่ออธิบดีกรมการค้าต่างประเทศมีหรือได้รับข้อมูลความเสี่ยงจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และพิจารณาว่ามีความเสี่ยงต่อการแพร่ขยาย WMD จะมีหนังสือแจ้งการบังคับใช้มาตรการเพื่อประโยชน์ในการควบคุม พร้อมทั้งข้อมูลความเสี่ยงไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
3. กำหนดการทบทวนการบังคับใช้มาตรการ โดยผู้ที่ถูกบังคับใช้มาตรการดังกล่าวสามารถยื่นคำขอให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศทบทวนการบังคับใช้มาตรการเพื่อยกเลิกการบังคับใช้มาตรการที่กำหนดได้
2.เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน จำนวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ชิงช้า ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ กระดานลื่น ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ม้าหมุน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ อุปกรณ์โยก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง จำนวน 4 ฉบับ ที่ อก. เสนอ เป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน และอุปกรณ์โยก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน โดยสอดคล้องกับการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 เพื่อให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะดังกล่าวอย่างชัดเจนและเป็นระบบ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตของเด็กในสนามเด็กเล่น ซึ่ง อก. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงจำนวน 4 ฉบับดังกล่าวแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ชิงช้า ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3000 เล่ม 1 – 2562 ตามประกาศ อก. ฉบับที่ 5643 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ เล่ม 1 ชิงช้า ข้อกำหนดเฉพาะเพิ่มเติมด้านความปลอดภัยและวิธีทดสอบ ลงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2562
2. กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ กระดานลื่น ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3000 เล่ม 1 – 2562 ตามประกาศ อก. ฉบับที่ 5644 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ เล่ม 2 กระดานลื่น ข้อกำหนดเฉพาะเพิ่มเติมด้านความปลอดภัยและวิธีทดสอบ ลงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2562
3. กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ ม้าหมุน ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3000 เล่ม 3 – 2563 ตามประกาศ อก. ฉบับที่ 5830 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ เล่ม 3 ม้าหมุน ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
4. กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเล่นสนามสาธารณะ อุปกรณ์โยก ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 3000 เล่ม 4 – 2563 ตามประกาศ อก. ฉบับที่ 5831 (พ.ศ. 2563) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เครื่องเล่นสนามสาธารณะ เล่ม 4 อุปกรณ์โยก ลงวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563
5. กำหนดให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสองร้อยเจ็ดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
3.เรื่อง ร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ. เสนอว่า
1. โดยที่ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศกำหนดให้การบริหารจัดการภาครัฐต้องมีความยืดหยุ่น คล่องตัว เหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลง ทำให้สำนักงาน ก.พ. ในฐานะองค์กรกลางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือนสามัญจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคลรูปแบบใหม่ที่สามารถช่วยขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูประบบราชการ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ อีกทั้งระบบราชการมีขนาดใหญ่และซับซ้อน ประกอบกับกฎเกณฑ์ทางการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้ถูกออกแบบและบังคับใช้มานานกว่าสิบปี ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงทางการบริหารจัดการภาครัฐในปัจจุบันซึ่งเผชิญความท้าทายรอบด้าน สำนักงาน ก.พ. จึงเล็งเห็นความสำคัญของการสร้างนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล อันได้แก่ หลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคลในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เพื่อช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่น คล่องตัว และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
2. แต่อย่างไรก็ตามเพื่อควบคุมความเสี่ยงหรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้นวัตกรรมดังกล่าวในการปฏิบัติราชการ จึงได้นำเรื่องการผ่อนคลายกฎ ระเบียบในพื้นที่เฉพาะ เพื่อการพัฒนานวัตกรรมทางการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ (HR Regulatory Sandbox) เสนอต่อ ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 และในการประชุมครั้งที่ 6/2564 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ซึ่ง ก.พ. ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบกับแนวทางการผ่อนคลายกฎ ระเบียบ เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ (HR Regulatory Sandbox) และต่อมาในการประชุมครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ก.พ. ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบในหลักการของร่างกฎ ก.พ. ในเรื่องนี้
3. ร่างกฎ ก.พ. ในเรื่องนี้ได้วางกรอบแนวทางการดำเนินการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรม ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือนสามัญ (HR Regulatory Sandbox) ภายใต้หลักการของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2551 เพื่อให้มีการพัฒนาและทดสอบหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางในการบริหารทรัพยากรบุคคลรูปแบบใหม่ในสภาพแวดล้อมจริงของการปฏิบัติราชการที่จำกัดขอบเขตและระยะเวลาการทดสอบ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.พ. ซึ่งจะทำหน้าที่ติดตามประเมินผลการทดสอบและนำผลการทดสอบดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบเดิมที่มีอยู่ หรือออกกฎ ระเบียบใหม่ เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมีประสิทธิภาพประสิทธิผลยิ่งขึ้น สำหรับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข เงื่อนเวลา รวมทั้งกระบวนการต่าง ๆ ในการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลตามร่างกฎ ก.พ. ในเรื่องนี้ จะมีการออกเป็นประกาศ ก.พ.เพื่อกำหนดการดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎ ก.พ.
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “นวัตกรรมต้นแบบ” และ “ทดสอบ”
2. กำหนดให้การพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมต้นแบบ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลของส่วนราชการต่างๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ โดยเหมาะสมกับภารกิจของส่วนราชการแต่ละแห่งที่แตกต่างกันตามหลักการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ตามมาตรา 258 ข. (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
3. กำหนดให้เมื่อสำนักงาน ก.พ. เห็นสมควรพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในเรื่องใด ให้เสนอ ก.พ. พิจารณาให้ความเห็นชอบให้เป็นนวัตกรรมต้นแบบ แล้วให้ส่วนราชการดำเนินการทดสอบตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่ ก.พ. ประกาศกำหนด โดยให้สำนักงาน ก.พ. มีหน้าที่กำกับ ติดตาม และประเมินผลการทดสอบ และรายงานผลให้ ก.พ. ทราบเป็นระยะ
4. กำหนดให้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ หรือวิธีปฏิบัติที่ออกโดย ก.พ.ที่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ก.พ.จะยกเว้นหรือผ่อนปรนในเรื่องนั้น หรือกำหนดให้แตกต่างไปเป็นการเฉพาะรายตลอดระยะเวลาการทดสอบก็ได้ และกำหนดให้ในกรณีที่มีเรื่องดังกล่าวของหน่วยงานอื่นที่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ให้ ก.พ.เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการตามสมควรต่อไป
5. กำหนดให้ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎ ก.พ. ฉบับนี้ ให้ ก.พ. พิจารณาวินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยของ ก.พ. เป็นที่สุด
4.เรื่อง การเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการคงอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 สำหรับการจัดเก็บภาษีตั้งแต่ปี 2565 ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
สาระสำคัญ
1. กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เห็นควรคงอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราเดิมตามบทเฉพาะกาล มาตรา 94 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่ปี 2565 ด้วยเหตุผล ดังนี้
1.1 กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้เปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เสียภาษีต่อการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปัจจุบัน ผ่านทางเว็บไซต์และเฟซบุ๊กของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในระหว่างวันที่ 6 - 22 กันยายน 2564 โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 1,013 ราย โดยมีสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นที่สำคัญ ได้แก่ ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 49.4 เห็นด้วยกับการนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้แทนภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ และร้อยละ 48.5 เห็นด้วยกับการนำราคาประเมินทุนทรัพย์มาใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี อีกทั้ง ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 45.6 ยังเห็นว่าการกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่แตกต่างกันตามประเภทการใช้ประโยชน์และตามมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปัจจุบันมีความเหมาะสมแล้ว นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2563 ร้อยละ 51.6 มีภาระภาษีลดลงหรือเท่าเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับภาระภาษีโรงเรือนและที่ดินหรือภาษีบำรุงท้องที่ในปี 2562 โดยผู้เสียภาษีทุกรายได้รับการยกเว้นภาษี การลดภาษีหรือการบรรเทาภาระภาษี
1.2 ณ สถานการณ์ปัจจุบัน อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้จัดเก็บภาษีมีความเป็นธรรมและเหมาะสมแล้ว กล่าวคือ เป็นโครงสร้างอัตราภาษีที่มีความก้าวหน้า ซึ่งทำให้ผู้ที่มีมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างสูงมีภาระภาษีมากกว่าผู้ที่มีมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างต่ำ มีอัตราภาษีใกล้เคียงกับต่างประเทศและสอดคล้องกับความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามที่ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปัจจุบัน อีกทั้งไม่เป็นการสร้างภาระภาษีที่เกินสมควรให้แก่ผู้เสียภาษี เนื่องจาก พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ได้กำหนดให้มีการยกเว้นมูลค่าฐานภาษี ยกเว้นการจัดเก็บภาษี และการบรรเทาภาระภาษี ตามมาตรา 40 41 96 และมาตรา 97 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ แล้วแต่กรณี
1.3 ในปี 2563 และ 2564 เป็นปีที่มีการตราพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท พ.ศ. 2563 และพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 โดยลดจำนวนภาษีในอัตราร้อยละ 90 ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้กับผู้เสียภาษี ทำให้ผู้เสียภาษีมีภาระภาษีเพียงร้อยละ 10 และอาจยังไม่ตระหนักถึงภาระภาษีที่แท้จริงเต็มอัตราที่ต้องชำระให้แก่ อปท. ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนได้มีระยะเวลาปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงควรคงอัตราภาษีแบบเดิมไปอีกระยะหนึ่ง
1.4 ปี 2563 และ 2564 เป็นช่วงแรกที่มีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ และเริ่มจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการและการบริหารการจัดเก็บภาษี (Tax Administration and Procedure) เช่น การสำรวจและจัดทำบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การคำนวณภาษี การแจ้งประเมินภาษี การรับชำระภาษี การเร่งรัดภาษีค้างชำระ เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ อปท. ดำเนินการจัดเก็บภาษีได้ไม่ครบถ้วนเท่าที่ควร และยังไม่มีฐานข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของผู้เสียภาษีแต่ละรายที่สามารถใช้ประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ ส่งผลให้ขาดฐานข้อมูลสำคัญที่จะใช้ประกอบการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอัตราหรือโครงสร้างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาฐานข้อมูลและประเมินผลการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อใช้พิจารณากำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในระยะต่อไป ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นร่วมกับกรมที่ดิน และกรมธนารักษ์ ได้จัดทำโครงการบูรณาการทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลการจัดเก็บภาษีและรายได้อื่นของ อปท. ซึ่งจะช่วยให้มีฐานข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สามารถนำไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้เพิ่มขึ้นต่อไป
2. กระทรวงการคลังได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาฯ สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นอัตราตามบทเฉพาะกาล มาตรา 94 แห่ง พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยให้ใช้สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
2.2 การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ให้ใช้อัตราภาษีตามมูลค่าของฐานภาษี ดังต่อไปนี้
1) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม อัตราภาษี ร้อยละ 0.01 - 0.1 ตามมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
2) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย อัตราภาษีร้อยละ 0.02 – 0.1 ตามมูลค่าที่ดินและ/หรือสิ่งปลูกสร้าง
3) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่น นอกจาก 1) และ 2) อัตราภาษีร้อยละ 0.3 – 0.7 ตามมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
4) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ อัตราภาษีร้อยละ 0.3 - 0.7 ตามมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
3. ภายหลังการใช้อัตราภาษีตามร่างพระราชกฤษฎีกาฯ นี้ ไปแล้ว 2 ปี โดยในปี 2567 กระทรวงการคลังจะพิจารณาทบทวนอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป
เศรษฐกิจ-สังคม
5.เรื่อง ร่างคู่มือการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ (Gender Responsive Budgeting – GRB : A Practical Handbook)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างคู่มือการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ (Gender Responsive Budgeting – GRB : A Practical Handbook) (ร่างคู่มือฯ) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ทั้งนี้ ให้ พม. รับข้อเสนอแนะของกระทรวงมหาดไทยและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการ รวมถึงปรับปรุงร่างคู่มือฯ และแบบรายการตรวจสอบการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะให้เรียบร้อยก่อนดำเนินการต่อไป
2. ให้ พม. ประสานแจ้งให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องนำคู่มือการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ พร้อมแบบรายการตรวจสอบการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศสภาวะไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณต่อไป รวมทั้งเผยแพร่คู่มือการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศสภาวะให้เป็นที่รับรู้ทั่วไปและแจ้งต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า
1. ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เป็นประธานกรรมการ ได้มีมติเห็นชอบร่างคู่มือฯ และแผนงานในการขับเคลื่อนการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ (ตามข้อ 2.) และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องนำคู่มือฯ พร้อมแบบรายการฯ ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณเพื่อจัดสรรงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และเหมาะสมตามความจำเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของเพศ วัย และสภาพของบุคคล โดยร่างคู่มือฯ ฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ ซึ่งมีอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นประธาน คณะทำงานประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาสถานภาพสตรี และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงบประมาณ (สงป.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมจำนวน 12 คน ทำหน้าที่กำหนดรูปแบบ วิธีการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและขับเคลื่อนให้ทุกหน่วยงานมีการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของเพศ วัย และสภาพของบุคคล เพื่อเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาสถานภาพสตรี (กสส.) ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่เสนอแนะแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาสตรีต่อ กยส.
2. ร่างคู่มือฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
แนวคิดในการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ |
- เพื่อเป็นเครื่องมือในการบูรณาการมุมมองเพศภาวะเข้าสู่กระบวนการจัดการงบประมาณทั้งรายรับและรายจ่าย เพื่อให้การตัดสินใจในการจัดสรรและการใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างสูงสุด โดยมีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมใน ทุกมิติ รวมทั้งสอดคล้องกับหลักการสำคัญในพันธกรณีและข้อตกลงระหว่างประเทศของประเทศไทย ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ปฏิญญาปักกิ่ง และแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี - จัดทำขึ้นจากการศึกษาแนวทางการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Entity for Gender Equality and the Empowerment of Women : UN WOMEN) และองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) องค์กรระดับภูมิภาค คือ สหภาพยุโรป และองค์กรในประเทศไทย คือ สถาบันพระปกเกล้า รวมทั้งเอกสารวิชาการและตัวอย่างจากประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวได้นำข้อมูลดังกล่าวมาประมวล เรียบเรียง และจัดทำเนื้อหาให้มี ความสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะให้กับผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ และนำไปสู่การจัดทำงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะของหน่วยงาน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรม และเหมาะสมตามความ จำเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของประชากรที่มีความแตกต่างของเพศ วัย และสภาพของบุคคล |
หลักการสำคัญของงบประมาณที่คำนึงมิติเพศภาวะ |
การวิเคราะห์ความต้องการ โอกาส ข้อจำกัด และการเข้าถึงทรัพยากรที่แตกต่างกันของหญิงและชายที่จะต้องคำนึงถึงในกระบวนการงบประมาณ โดยนำปัจจัยต่าง ๆ มาวิเคราะห์ เช่น อายุ อัตลักษณ์ทางเพศ ระดับการศึกษา ชาติพันธุ์ ความพิการ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น โดยมี 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ (1) การวิเคราะห์งบประมาณแบบมิติเพศภาวะ โดยพิจารณาว่า มาตรการทางงบประมาณและนโยบายที่เกี่ยวข้องมีผลกระทบอย่างไรต่อความเสมอภาค หรือสามารถลดความไม่เสมอภาคระหว่างเพศได้หรือไม่อย่างไร (2) การเปลี่ยนแปลงนโยบายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อบรรลุเป้าหมายการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยนำผลวิเคราะห์และข้อเสนอแนะจากการวิเคราะห์ไปพัฒนาเป็นโครงการ นโยบาย แผนงาน กิจกรรม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดสรรงบประมาณ และ (3) การบูรณาการแนวคิดระบบงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะในกระบวนการงบประมาณอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงความแตกต่าง ความหลากหลาย ประโยชน์ และผลกระทบที่มีต่อเพศหญิง เพศชาย และกลุ่มอัตลักษณ์ที่หลากหลาย เข้าสู่กระบวนการและวงจรงบประมาณทั้งระบบ โดยทั้ง 3 องค์ประกอบนั้น ประกอบไปด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ : ระบุประเด็นความเสมอภาคระหว่างเพศ ขั้นตอนที่ 2 ข้อมูลพื้นฐาน : เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่ต้องการวิเคราะห์ (วัตถุประสงค์ภาพรวมของโครงการ วัตถุประสงค์เฉพาะที่เกี่ยวกับการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ กิจกรรมหลักในโครงการ และงบประมาณ) ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์มิติเพศสภาวะของกิจกรรมต่าง ๆ (ผู้ได้รับประโยชน์หรือผู้ใช้บริการสาธารณะ ความพึงพอใจของผู้หญิงและผู้ชายในการใช้บริการสาธารณะ กระบวนการตัดสินใจ และผลกระทบ) ขั้นตอนที่ 4 การวิเคราะห์มิติเพศภาวะในการจัดสรรงบประมาณและที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ 5 พัฒนาวัตถุประสงค์และข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงความเสมอภาคระหว่างเพศ ขั้นตอนที่ 6 การเปลี่ยนแปลงนโยบายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อบรรลุเป้าหมายการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ ขั้นตอนที่ 7 การนำมิติเพศภาวะเข้าสู่กระบวนการจัดทำงบประมาณทุกขั้นตอน |
ตัวอย่างการจัดทำงบประมาณที่คำนึงมิติเพศภาวะของประเทศไทยและต่างประเทศ |
- ประเทศไทยกับการปรับเปลี่ยนบริการสาธารณะอย่างมีมิติเพศภาวะ จากประเด็นปัญหาที่มีเด็กผู้หญิงถูกข่มขืนบนรถไฟ ทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดทำตู้ขบวนรถไฟสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการเดินทางของผู้หญิงบนรถไฟ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นการเฉพาะและมุ่งแก้ไขปัญหาที่สาเหตุนั้น ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวจัดอยู่ในประเภทงบประมาณที่จัดสรรให้กับกลุ่มเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะ - ประเทศอินโดนีเซีย ส่งเสริมทักษะอาชีพแก่สตรีเพื่อค่าแรงที่เท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียมีผู้หญิง ร้อยละ 75 ในภาคเกษตร ปลูกข้าวและมีส่วนร่วมในการทำประมง โดยทำหน้าที่คัดแยกปลาและการตลาด ส่วนผู้ชายมีหน้าที่ออกไปจับปลา รัฐบาลจึงจัดการอบรมเพื่อฝึกทักษะการเกษตรการประมง และป่าไม้ พร้อมทั้งสนับสนุนเครื่องมือในการอบรมผู้หญิงด้วย เพื่อเพิ่มทักษะให้ผู้หญิงสามารถทำงานในภาคการเกษตรได้ และได้รับค่าจ้างที่เท่าเทียมกับผู้ชาย เป็นต้น |
ประโยชน์ |
- ทำให้ทราบว่านโยบายของรัฐมีผลกระทบอย่างไรกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายแตกต่างกันทั้งในฐานะผู้บริโภค ผู้ใช้สาธารณูปโภค และผู้เสียภาษี ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชายในด้านต่าง ๆ และทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ประชาคมโลกได้ร่วมกำหนดไว้ ที่จะบรรลุในปี พ.ศ. 2573 - ส่งผลให้เกิดการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ทำให้ใช้ทรัพยากรได้ อย่างมีประโยชน์สูงสุดและสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย |
6.เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง บางส่วน เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองพร้าว จังหวัดตราด
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 81 ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองพร้าว จังหวัดตราด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ โดยให้ กษ. แจ้งให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ในการตราพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง บางส่วน เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองพร้าว จังหวัดตราด ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. (กรมชลประทาน) ขอความเห็นชอบในหลักการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 81 ไร่ เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองพร้าว จังหวัดตราด โดยโครงการฯ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
วัตถุประสงค์ |
- เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำใช้ในฤดูแล้งในพื้นที่เกาะช้าง - เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำหรับการเกษตรและอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว - เพื่อเพิ่มพูนผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมจากการมีแหล่งน้ำ |
วงเงินงบประมาณ |
452.03 ล้านบาท ทั้งนี้ กษ. ได้ขอรับจัดสรรงบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แล้ว |
ระยะเวลา |
ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2566) |
พื้นที่ของโครงการ |
พื้นที่ก่อสร้างโครงการ 270 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง บางส่วน เนื้อที่ประมาณ 81 ไร่ และพื้นที่ในเขตพื้นที่ป่า1 189 ไร่ มีความคืบหน้า ดังนี้ - ขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 - คณะอนุกรรมการแห่งชาติมีมติเห็นชอบให้เพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง บางส่วน เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 |
ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ |
- ประชาชนในพื้นที่มีน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคอย่างเพียงพอแม้ในฤดูแล้ง - มีปริมาณน้ำที่เพียงพอสำหรับทำการเกษตร - สามารถรองรับการขยายตัวของการท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่และสร้างรายได้สู่ชุมชน |
1 ในการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ที่ประชุมมีมติรับทราบความคืบหน้าการขอใช้พื้นที่ป่าของกรมชลประทาน เพื่อดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำคลองพร้าว จังหวัดตราด ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีวงเงินงบประมาณไม่เกิน 1,000 ล้านบาท จึงไม่ต้องเสนอโครงการให้ กนช. เห็นชอบก่อนดำเนินโครงการ ตามหลักเกณฑ์และแนวทางจัดทำเรื่องเสนอ กนช.
7.เรื่อง รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2564 (เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2564) ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (5 พฤษภาคม 2563) ที่ให้ กนง. ประเมินภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของประเทศและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายไตรมาส] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ที่ประชุม กนง. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี โดยเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทย (ไทย) จะได้รับผลบวกจากการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้นและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และในปี 2564 และ 2565 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 0.7 และ 3.9 ตามลำดับ แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนี้ กนง. เห็นว่า โจทย์สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทย คือ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เอื้อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและรายได้ฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินมาตรการทางการเงินจะมีประสิทธิผลในการกระจายสภาพคล่องได้ตรงจุดและลดภาระหนี้ได้มากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ
2. การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินเพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงิน
2.1 เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่ขยายวงกว้าง รวมถึงข้อจำกัดด้านอุปทานที่ยืดเยื้อ เช่น การปิดท่าเรือในสาธารณรัฐประชาชนจีนและการขาดแคลนวัตถุดิบโดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนในปี 2565 คาดว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากสถานการณ์ที่เริ่มคลี่คลายและแนวโน้มการกระจายวัคซีนที่เป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักและส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามธนาคารกลางในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา บางประเทศอาจจะต้องเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งขึ้นอย่างมาก
2.2 ภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงินไทย
2.2.1 ภาวะการเงินไทยโดยรวมยังผ่อนคลาย เอื้อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการดำเนินมาตรการทางการเงินต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนต้นทุนการระดมทุนโดยรวมของภาคเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำทั้งในตลาดสินเชื่อและตลาดตราสารหนี้และอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อปล่อยใหม่ปรับตัวลดลงจากสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูที่คืบหน้ามากขึ้น
2.2.2 อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐและดัชนีค่าเงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกสามในไทย การออกพันธบัตรรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีจำนวนมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ โดยในระยะต่อไปค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนสูงตามการลดอัตราการอัดฉีดเงินเข้าระบบของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา จึงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด
2.2.3 เสถียรภาพระบบการเงินไทยยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะฐานะทางการเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงเพื่อให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น
3. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย
3.1 ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0.7 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 3.9 โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวและสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้น
3.2 มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปี 2564 และ 2565 มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 16.5 และ 3.7 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับประมาณการเดิมเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ส่วนการส่งออกบริการยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้จึงได้ปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2564 และ 2565 เป็น 1.5 แสนคน และ 6 ล้านคน ตามลำดับ
3.3 ประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2564 มีแนวโน้มขาดดุล 15.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากต้นทุนค่าขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับดุลการค้าที่เกินดุลลดลงจากทั้งการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและการส่งออกที่มีแนวโน้มต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่วนในปี 2565 คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลประมาณ 1.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
3.4 การบริโภคภาคเอกชนในปี 2564 ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะไม่ขยายตัวจากปีก่อน (ร้อยละ 2.5) และประเมินว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวลดลงจากการประเมินเดิมเหลือร้อยละ 4.2
3.5 ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2564 และ 2565 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 และ 1.4 ตามลำดับ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบเป้าหมายตลอดช่วงประมาณการ ขณะที่ประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2564 และ 2565 ยังคงประมาณการไว้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.2 และ 0.3 ตามลำดับ ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
8.เรื่อง รายงานผลการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2563/2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2563/2564 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิต 2563/2564 เป็นโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยคุณภาพดีส่งโรงงานในอัตรา 120 บาทต่อตัน โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ได้จ่ายเงินช่วยเหลือเสร็จสิ้นแล้ว มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับการช่วยเหลือรวมจำนวน 122,613 ราย จ่ายเงินช่วยเหลือรวม 5,933.83 ล้านบาท และมีวงเงินคงเหลือ จำนวน 168,995.31 บาท สรุปการช่วยเหลือได้ ดังนี้
ประเภท |
จำนวนเกษตรกร (ราย) |
ปริมาณอ้อยสด (ตัน) |
วงเงินช่วยเหลือ (ล้านบาท) |
เกษตรกรที่ตัดอ้อยส่ง โรงงานผลิตน้ำตาล |
120,974 |
48,918,517.32 |
5,870.22 |
เกษตรกรที่ตัดอ้อยส่ง โรงงานผลิตน้ำตาลทรายแดง |
158 |
78,674.43 |
9.44 |
เกษตรกรที่ตัดอ้อยส่ง โรงงานผลิตเอทานอล |
1,481 |
451,399.97 |
54.17 |
รวม |
122,613 |
49,448,591.72 |
5,933.83 |
2. การช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดในฤดูการผลิตปี 2563/2564 ส่งผลให้มีปริมาณอ้อยไฟไหม้และพื้นที่การเก็บเกี่ยวอ้อยไฟไหม้ลดลงจากฤดูการผลิตปี 2562/2563 คิดเป็นร้อยละ 23.23 รายละเอียด ดังนี้
ข้อมูลเปรียบเทียบ |
ฤดูการผลิต ปี 2562/2563 |
ฤดูการผลิต ปี 2563/2564 |
|
พื้นที่ไร่อ้อย (ล้านไร่) |
พื้นที่ทั้งหมด |
11.50* |
10.86 |
-อ้อยสด |
5.79* |
7.99 |
|
-อ้อยไฟไหม้ |
5.71* |
2.87 |
|
พื้นที่อ้อยไฟไหม้คิดเป็นร้อยละ |
49.65* |
26.42* (ลดลงร้อยละ 23.23) |
|
ปริมาณอ้อย (ล้านตัน) |
ปริมาณทั้งหมด |
74.89* |
66.66* |
-อ้อยสด |
37.71 |
49.05 |
|
-อ้อยไฟไหม้ |
37.18 |
17.61 |
|
ปริมาณอ้อยไฟไหม้คิดเป็นร้อยละ |
49.65 |
26.42 (ลดลงร้อยละ 23.23) |
*ข้อมูลเพิ่มเติมจากการประสาน อก. เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564
นอกจากนี้ โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิต 2563/2564 ยังช่วยลดต้นทุนในการตัดอ้อยสดของชาวไร่อ้อยและสนับสนุนให้ชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดส่งโรงงานมากขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหามลพิษที่เกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5 ) ด้วย
9.เรื่อง งบการเงินและรายงานประจำปี 2563 ขององค์การสะพานปลา
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินองค์การสะพานปลา (อสป.) และรายงานประจำปี 2563 ของ อสป.
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินสรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
รายการ |
ปี 2563 |
ปี 2562 |
เพิ่ม/(ลด) |
งบแสดงฐานะการเงิน |
|||
รวมสินทรัพย์ |
1,334.49 |
1,225.60 |
108.89 |
รวมหนี้สิน |
1,177.47 |
1,084.15 |
93.32 |
รวมส่วนของทุน |
157.02 |
141.45 |
15.57 |
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ |
|||
รวมรายได้ |
240.74 |
201.51 |
39.23 |
รวมค่าใช้จ่าย |
216.45 |
227.76 |
(11.31) |
กำไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่น |
0.07 |
(0.27) |
0.34 |
กำไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จรวมสำหรับปี |
24.36 |
(26.52) |
50.88 |
2. ผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2563 ที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้
2.1 ด้านการให้บริการ อสป. ให้บริการสถานที่ขนถ่ายสัตว์น้ำและจำหน่ายสินค้าสัตว์น้ำให้แก่ชาวประมงและผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประมง โดยมีเรือประมงและรถบรรทุกเข้ามาขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำรวม 33,378 เที่ยว และ 21,030 เที่ยว ตามลำดับและมีปริมาณสินค้าสัตว์น้ำรวม 280,896 ตัน มูลค่า 12,221 ล้านบาท
2.2 ด้านการลงทุน อสป. ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อซ่อมบำรุงสิ่งปลูกสร้างของหน่วยงานต่าง ๆ (เช่น สะพานปลาและท่าเทียบเรือ) รวม 14.18 ล้านบาท นอกจากนี้มีการปล่อยสินเชื่อการประมงเพื่อซ่อมแซมปรับปรุงเรือประมงให้แก่ชาวประมง จำนวน 39 ราย มูลค่า 11.25 ล้านบาท รวมทั้งส่งเสริมการประมง โดย อสป. ได้จัดสรรเงินทุนส่งเสริมการประมง จำนวน 98,567 บาท เพื่อดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น งานส่งเสริมฐานะและสวัสดิการด้านการประมงและงานส่งเสริมอาชีพประมง
2.3 ด้านการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประมง โดยเป็นกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือชาวประมงและเพิ่มรายได้ให้แก่ อสป. เพื่อพัฒนาปรับปรุงงานให้ดีขึ้น ประกอบด้วย 2 โครงการ ดังนี้ (1) โครงการตลาดสินค้าสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูป และ (2) โครงการพัฒนาและสนับสนุนการประมง โดยมีรายได้รวม 5.36 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 6.56 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 1.20 ล้านบาท
3. แผนปฏิบัติการประจำปี 2564 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 17 โครงการ สรุปได้ ดังนี้
3.1 ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาปรับปรุงการบริหารจัดการสู่องค์กรที่ทันสมัยอย่างมีธรรมาภิบาล ประกอบด้วย 8 โครงการ เช่น โครงการอบรมให้ความรู้การบริหารจัดการด้านนวัตกรรม โครงการส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้ความสามารถของคณะกรรมการ อสป. และโครงการให้ความรู้เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนและการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในหน่วยงาน
3.2 ยุทธศาสตร์ที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสะพานปลาและท่าเทียบเรือประมงให้ถูกสุขอนามัยได้รับมาตรฐานสากล ประกอบด้วย 4 โครงการ เช่น โครงการพัฒนาสะพานปลากรุงเทพและโครงการปรับปรุงท่าเทียบเรือและตลาดประมงอ่างศิลา
3.3 ยุทธศาสตร์ที่ 3 สร้างศักยภาพการจัดหารายได้และพัฒนาสะพานปลาท่าเทียบเรือปลาให้ทันสมัย ประกอบด้วย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการหารายได้จากการบริหารสินทรัพย์สะพานปลาและท่าเทียบเรือประมงและโครงการหารายได้จากการดำเนินกิจกรรมตลาดผลิตภัณฑ์และบริการ
3.4 ยุทธศาสตร์ที่ 4 ขยายเครือข่ายและส่งเสริมธุรกิจชาวประมงและผู้ประกอบการให้มีความเติบโตและยั่งยืนในอาชีพประมง ประกอบด้วย 3 โครงการ เช่น โครงการส่งเสริมความรู้กฎหมาย สุขอนามัย และวิชาชีพผู้ประกอบธุรกิจประมงและโครงการพัฒนาอาชีพการแปรรูปสินค้าและธุรกิจประมงพื้นบ้าน
10.เรื่อง รายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2562 และ 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2562 และ 2563 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 71/10 (10) บัญญัติให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ก.พ.ร. จึงได้ดำเนินการจัดทำรายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2562 และ 2563 เพื่อประมวลผลการปฏิบัติงานของ ก.พ.ร.โดยรวบรวมผลงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการที่สำคัญและการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ.ร. ในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และ 2563
2. ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ได้มีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2562 และ 2563 และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. รายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2562 สรุปได้ดังนี้
1.1 ส่วนที่ 1 ข้อมูลภาพรวมของสำนักงาน ก.พ.ร.
1.2 ส่วนที่ 2 ผลการดำเนินงานที่สำคัญ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1.2.1 ด้านพัฒนาการให้บริการประชาชน
(1) ไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ราชการออกให้จากประชาชนโดยมีหน่วยงานที่ดำเนินการยกเลิกการเรียกสำเนาเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านครบถ้วน ทุกกระบวนงาน จำนวน 60 หน่วยงาน เช่น กรมการขนส่งทางบก กรมบังคับคดี เป็นต้น
(2) พัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ครอบคลุมการให้บริการออกหนังสือรับรอง ใบอนุญาตและเอกสารแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนหรือผู้ประกอบการ สามารถทำธุรกรรมผ่าน bizportal.go.th โดยยื่นที่เดียว แบบฟอร์มเดียว เอกสารชุดเดียว และติดตามได้ทุกใบอนุญาต
(3) เพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) โดยธนาคารโลกแถลงผลการจัดอันดับความยาก – ง่าย ในการประกอบธุรกิจ Doing Business 2020 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 21 จาก 190 ประเทศทั่วโลกสูงขึ้น 6 อันดับ
1.2.2 ด้านปรับบทบาทภารกิจโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ
(1) กำหนดแนวทางการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม (rearrange) ให้ส่วนราชการพิจารณาจัดโครงสร้างส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรมได้เองโดยไม่เพิ่มจำนวนกองในภาพรวมของส่วนราชการ
(2) ยับยั้งการเพิ่มหน่วยงานใหม่ตามแผนการปฏิรูปประเทศ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่มีเป้าหมายให้ภาครัฐมีขนาดที่เล็กลงสำนักงาน ก.พ.ร. จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ให้มีมติเห็นชอบให้ส่วนราชการต้องพิจารณาปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงาน แต่ปรากฏว่ามีการเสนอร่างกฎหมายที่มีการจัดตั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และกองทุน เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต อีกทั้งยังทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ สำนักงาน ก.พ.ร. จึงเสนอคณะรัฐมนตรีมื่อวันที่ 2 มกราคม 2562 ให้มีมติถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 และในกรณีที่ขอจัดตั้งหน่วยงานเพิ่มใหม่ต้องเสนอยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม (One-in, X-Out) เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจและงบประมาณ
(3) จัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเตรียมความพร้อมประเทศสู่ศตวรรษที่ 21 ตามแนวนโยบาย Thailand 4.0
1.2.3 ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
(1) ผลักดันการพัฒนาระบบราชการ 4.0 โดยการขับเคลื่อนภาครัฐไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) เช่น การบูรณาการในการเชื่อมโยงข้อมูลและการดำเนินงานโดยใช้เทคโนโลยีร่วมกัน การนำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ดิจิทัลมาสนับสนุนการจัดเก็บข้อมูลและจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เป็นต้น
(2) ประเมินส่วนราชการ จังหวัด และองค์การมหาชนตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ โดยมีเป้าหมายให้ส่วนราชการ จังหวัดและองค์การมหาชนดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพในภารกิจที่มีความสำคัญต่อประเทศและประชาชน
1.2.4 ด้านนโยบายการพัฒนาระบบราชการ
(1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนบริการภาครัฐที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยให้ประชาชนร่วมออกแบบและนำเสนอแนวทางการพัฒนางานภาครัฐ ผ่านกิจกรรม MY BETTER COUNTRY HACKATHON ซึ่งจากกิจกรรมดังกล่าวทำให้ได้ 24 ข้อเสนอที่สามารถนำไปพัฒนางานบริการภาครัฐ เช่น การพัฒนา Chat bot ให้ข้อมูลข่าวสารติดต่อราชการกับสถานีตำรวจ การพัฒนาระบบเพื่อลดเวลาในการรอคอยยาในโรงพยาบาล เป็นต้น
(2) พัฒนาต้นแบบนวัตกรรมงานบริการภาครัฐ (GovLab) ซึ่งครอบคลุมงานบริการสาธารณะที่หลากหลาย และเป็นงานบริการพื้นฐานที่มีผลกระทบกับประชาชนสูงใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการท่องเที่ยว ด้านการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ด้านการตรวจคนเข้าเมือง ด้านการศึกษา และด้าน SMEs เพื่อการส่งออก
(3) เสริมสร้างความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐของประเทศไทย สร้างความเข้มแข็งและยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินการด้านความซื่อตรงในการบริหารงานภาครัฐ
2. รายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปี 2563 สรุปได้ดังนี้
2.1 ส่วนที่ 1 ข้อมูลภาพรวมของสำนักงาน ก.พ.ร.
2.2 ส่วนที่ 2 ผลการดำเนินงานที่สำคัญ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
2.2.1 ด้านพัฒนาการให้บริการประชาชน
(1) พัฒนาระบบศูนย์กลางการบริการประชาชนในการติดต่อราชการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (Citizen Portal) ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) เพื่อให้บริการบน Mobile Application โดยประชาชนสามารถติดต่อรับบริการจากภาครัฐได้ทุกที่ ทุกเวลาด้วยความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย
(2) พัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) โดยได้ศึกษาและพัฒนาระบบต้นแบบเพื่อยกระดับการให้บริการของระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) ให้เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางครบวงจรเต็มรูปแบบ (Fully Digital Services)
(3) ขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ส่งเสริมให้ส่วนราชการมีการพัฒนาระบบการให้บริการแบบ e-Service ได้แบบเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงช่องทางการบริการภาครัฐที่เป็น e-Service รวม 325 งานบริการ เผยแพร่บนเว็บไซต์สำนักงาน ก.พ.ร. ประกอบด้วย (1) งานบริการเพื่อประชาชน 87 งานบริการ (2) งานบริการสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ/SMEs 192 งานบริการ และ (3) งานบริการด้านแรงงานหรือส่งเสริมการมีงานทำ 46 งานบริการ
(4) กำหนดแนวทางการทบทวนกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการ e-Service ของหน่วยงานนำร่องในการพัฒนาการออกเอกสารหลักฐานด้วยระบบดิจิทัล 84 ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563) โดยผลการดำเนินการพบว่าหน่วยงานได้ทบทวนหรือแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบแล้วเสร็จ 44 ฉบับ อยู่ระหว่างการดำเนินการ 40 ฉบับ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564)
2.2.2 ด้านปรับบทบาทภารกิจโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ
(1) ปรับบทบาทภารกิจของส่วนราชการเพื่อให้ส่วนราชการสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เช่น การปรับปรุงบทบาทภารกิจของกรมทรัพยากรทางชายทะเลและชายฝั่ง เพื่อบูรณาการภารกิจในการบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์และเชิงพื้นที่ การอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งและการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งการปฏิบัติภารกิจตามนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความมั่งคงทางทะเล การปรับปรุงบทบาทภารกิจของสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อรองรับภารกิจในการพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทางสังคม คิดค้นนวัตกรรม เป็นต้น
(2) การปรับปรุงบทบาทภารกิจ และโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตามหลักการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมเพื่อรองรับภารกิจในการพัฒนาผู้ประกอบการไทย ได้แก่ การพัฒนาความร่วมมือและเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการและเครือข่ายองค์ความรู้ในเทคโนโลยีเป้าหมายและนวัตกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อขยายตลาดไปยังนานาประเทศ
(3) สร้างความเข้มแข็งในการบริหารเชิงพื้นที่และพัฒนาระบบบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ โดยนำข้อเสนอรูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการในจังหวัดที่มีผลสัมฤทธิ์สูงไปทดลองนำร่องใน 6 จังหวัด ประกอบด้วย สมุทรสาคร ชัยนาท ขอนแก่น ราชบุรี นครพนม และสระบุรี ซึ่งมุ่งเน้นประเด็นการยกระดับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอให้เป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ โดยนำงานบริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ไปทดลองให้บริการ
2.2.3 ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
(1) ปรับแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นการติดตามผลการดำเนินงาน (Monitoring) แต่ไม่นำมาประเมินผล และให้ถอดบทเรียนการบริหารจัดการและแก้ปัญหาในสถานการณ์ Covid - 19 เนื่องจากหน่วยงานต้องเผชิญกับวิกฤตดังกล่าวและมุ่งแก้ไขปัญหา จึงอาจไม่สามารถประเมินผลตามกรอบการประเมินที่กำหนดไว้เดิมได้
(2) กำหนดแนวทางการประเมินส่วนราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ให้สอดคล้องกับการทำงานในรูปแบบ New Normal โดยประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน มุ่งเน้นการขับเคลื่อนภารกิจของภาครัฐให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับเป้าหมายของแผนสำคัญระดับชาติในมิติ Function, Area, Agenda, Joint และประเมินศักยภาพในการดำเนินงานสู่การเป็นระบบราชการ 4.0 ซึ่งวัดจากการพัฒนาองค์การรวมทั้งวัดผลการประเมินสถานะการเป็นระบบราชการ 4.0
2.2.4 ด้านนโยบายการพัฒนาระบบราชการ
(1) กำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐในการบริหารราชการและให้บริการประชาชนในสภาวะวิกฤต เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เช่น การให้ทุกหน่วยงานของรัฐทบทวนและปรับปรุงแผนบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต (Business Continuity Plan : BCP) ให้เป็นปัจจุบันและรองรับกรณีเกิดโรคระบาดต่อเนื่องและเหตุวิกฤตอื่น ผลการดำเนินการ ณ วันที่ 31 กันยายน 2563 มีหน่วยงานของรัฐจัดทำแผน BCP แล้ว 3,616 แห่ง โดยร้อยละ 96.97 เป็นแผนที่รองรับ Covid - 19
(2) พัฒนาระบบการค้าดิจิทัลแพลตฟอร์มแห่งชาติ (National Digital Trade Platform : NDTP) เพื่อพัฒนาระบบบริการดิจิทัลสำหรับการค้าระหว่างประเทศในการอำนวยความสะดวกสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าให้แก่ภาคเอกชน เป็นการพัฒนาตามแนวนโยบายการยกระดับด้านดิจิทัลของภาครัฐ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Thailand 4.0
(3) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนบริการภาครัฐที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยจัดกิจกรรมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนางานบริการภาครัฐ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากภาคเอกชน นักศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ โดยมีข้อเสนอในการพัฒนางานภาครัฐ 9 ประเด็น ได้แก่ กรแก้ปัญหาน้ำแล้งในชุมชน การลดปริมาณฝุ่นที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ป่าไม้ยั่งยืน การจัดการขยะริมคลอง การจัดการอาหารที่ถูกทิ้ง การบริหารจัดการขยะ การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ การลดมลพิษทางอากาศ นโยบายรัฐที่ตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชนได้อย่างตรงจุด ซึ่งจะได้นำข้อเสนอดังกล่าวขยายผลไปสู่การปฏิบัติต่อไป
11.เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2564
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 [เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 (6) ที่บัญญัติให้ กพต. มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อคณะรัฐมนตรี] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
เรื่อง |
การดำเนินการ/ข้อสั่งการประธาน กพต./มติ กพต. |
เรื่องเพื่อทราบ (6 เรื่อง) |
|
1. รายงานความคืบหน้าและผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการช่วยเหลือและพัฒนาแรงงานไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) |
- การดำเนินการ ช่วยเหลือมุ่งสร้างงาน สร้างอาชีพและรายได้ โดยมีกรอบการดำเนินการ 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) ผู้ที่พร้อมไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมนอกพื้นที่ 2) ผู้ที่ประสงค์จะประกอบอาชีพในภูมิลำเนาเดิม และ 3) การเตรียมความพร้อมเข้าสู่การทำงานภาคเกษตรประเภทสวนปาล์มในประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ ผลการดำเนินการภายในเดือนกันยายน 2564 เป็นไปตามเป้าหมาย 10,000 คน และจะครบ 17,000 คน ตามแผนปฏิบัติการฯ ในระยะที่ 3 ต่อไป - ข้อสั่งการของประธาน กพต. มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงการต่างประเทศ และ ศอ.บต. เร่งประสานเครือข่ายทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานของประชาชนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เตรียมความพร้อมสำหรับกลุ่มแรงงานที่เดินทางไปต่างประเทศภายหลังวิกฤตโรคโควิด-19 คลี่คลายโดยวางแผนปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นปัจจุบัน - มติ กพต. รับทราบ |
2. รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
- การดำเนินการ เช่น 1) กำหนดมาตรการในการเฝ้าระวัง ทดลองเพื่อหาแนวทางในการกำจัด ป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้คำแนะนำในการปฏิบัติแก่เกษตรกรให้ใช้ปุ๋ยบำรุงต้นยางอย่างถูกวิธี รวมพื้นที่ดำเนินการทั้งสิ้น 3,765.22 ไร่ และ 2) ประเมินผลและติดตามสถานการณ์ปัญหาการระบาดฯ มีพื้นที่ระบาดของโรคลดลงกว่า 893,272.18 ไร่ (ร้อยละ 98.73) คงเหลือพื้นที่ระบาดของโรคเพียง 11,447.56 ไร่ - ข้อสั่งการของประธาน กพต. ให้ ศอ.บต. ประสาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ร่วมกันวางแผนป้องกันการเกิดโรคไม่ให้เป็นปัญหาในฤดูกาลหน้า โดยพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมของพื้นที่ เช่น การปลูกพืชผสมผสาน การสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาดของสวนยางและการเฝ้าระวังติดตามป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง - มติ กพต. รับทราบ |
3. รายงานความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความยั่งยืน |
- การดำเนินการ เช่น 1) แต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มน้ำจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 2) ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนงานบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น 2.1) เห็นชอบแผนปฏิบัติการของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำและ 2.2) เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาพื้นที่โครงการด้านน้ำอยู่ในเขตป่าประเภทต่าง ๆ - ข้อสั่งการของประธาน กพต. มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และ ศอ.บต. ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อวางระบบและกลไกการทำงานให้ประสานสอดคล้องกัน และให้เร่งรัดแก้ไขปัญหาระบบชลประทานขนาดเล็กที่มีความเสียหายโดยเร็ว รวมทั้งเร่งปรับปรุงระบบการอนุญาต/อนุมัติในการขอใช้พื้นที่ก่อสร้าง และพัฒนาแหล่งน้ำของหน่วยงานภาครัฐให้มีความรวดเร็ว ตลอดจนร่วมกันวางแผนพัฒนาระบบชลประทานที่เข้าถึงพื้นที่เกษตรกรรมของเกษตรกรให้ได้มากที่สุด - มติ กพต. รับทราบ |
4. รายงานความคืบหน้าและผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน |
- การดำเนินการ ขับเคลื่อนโครงการตามแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ได้แก่ 1) โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐสำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 120 เมกะวัตต์ และ 2) โครงการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จำนวน 256.9 เมกะวัตต์ - ข้อสั่งการของประธาน กพต. ให้กระทรวงพลังงาน ศอ.บต. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยนำแนวทางการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะการวางแผนพัฒนาเกษตรฐานราก ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น มีอาชีพ มีการจ้างงานที่หลากหลายเชื่อมโยงไปยังโครงการพัฒนาอื่น ๆ ของส่วนราชการได้ - มติ กพต. รับทราบ |
5. รายงานความคืบหน้าโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกรณีเร่งด่วนและการจัดทำปะการังเทียมพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
- การดำเนินการ ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2564 ศอ.บต. ร่วมกับผู้ประสานงานหลักของสมาคมการประมงจังหวัดปัตตานี ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเรือที่เป็นเป้าหมายดำเนินงานของโครงการฯ เป็นกรณีเร่งด่วน ประกอบด้วยชุดข้อมูลเรือประมงจังหวัดปัตตานี จำนวน 304 ลำ และเรือประมงจากข้อเสนอสมาคมฯ จำนวน 220 ลำ เพื่อเตรียมการให้พร้อมดำเนินงานได้ทันที - ข้อสั่งการของประธาน กพต. มอบหมายให้ ศอ.บต. เร่งจัดกลไกขับเคลื่อนโครงการฯ เป็นกรณีเร่งด่วนฯ โดยเร็ว และให้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กษ. (การประมง) กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกับ ศอ.บต. เร่งรัดดำเนินโครงการฯ พร้อมทั้งเร่งสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนเพื่อร่วมมือกันคลี่คลายปัญหาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม - มติ กพต. รับทราบ |
6. รายงานความก้าวหน้าการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเชิงพื้นที่ สำหรับดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง |
- การดำเนินการ เช่น 1) จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาเชิงพื้นที่ สำหรับดำเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบฯ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำร่างข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) 2) ปรับปรุงการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรองรับเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา 3) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา และ 4) ศึกษาความเชื่อมโยงเส้นทางการคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา - ข้อสั่งการของประธาน กพต. ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบฯ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด - มติ กพร. รับทราบ |
เรื่องเพื่อพิจารณา (4 เรื่อง) |
|
1. การขยายผลโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2570 |
- มติ กพต. 1) เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการฯ เพื่อขยายผลโครงการฯ โดยกำหนดเป้าหมายออกโฉนดที่ดินให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ [จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ เทพา นาทวี สะบ้าย้อย)] จำนวน 90,000 แปลง เป้าหมายปีละ 15,000 แปลง 2) อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 442.30 ล้านบาท เพื่อให้กรมที่ดินได้ใช้เป็นกรอบในการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประจำปีหรืองบประมาณแหล่งอื่น ๆ และ 3) ให้นำความเห็นของ กพต. ไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ 3.1) ให้ ศอ.บต. หารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีที่ดินที่มีปัญหาทับซ้อนกับพื้นที่เขตห้ามล่า หรือกรณีอื่นใดที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐแล้วทำให้เกิดการรอนสิทธิในที่ดินของประชาชน และ 3.2) ในกรณีที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ไม่เพียงพอสำหรับการดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ใช้วิธีการบริหารงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. 2562 - ข้อสั่งการของประธาน กพต. มอบหมาย ศอ.บต. ประสานการทำงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้ประชาชนได้รับเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลเพื่อสร้างมูลค่าของทรัพย์สินและเป็นหลักประกันการเข้าถึงแหล่งทุนสนับสนุนการทำมาหากิน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาในด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
2. ขออนุมัติหลักการโครงการแก้ไขปัญหาสุขภาวะและภาวะโภชนาการต่ำของเด็กเล็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2568 |
- มติ กพต. 1) อนุมัติหลักการโครงการฯ พื้นที่เป้าหมาย 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับจังหวัดสงขลาเฉพาะ 4 อำเภอ และ 2) อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการฯ รวมทั้งหมด 46,819 คน รวมวงเงิน 1,112.55 ล้านบาท ทั้งนี้ ไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือเด็กเล็ก 47.90 ล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ให้หน่วยงานรับผิดชอบปรับแผนการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี หากงบประมาณไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากงบกลางต่อไป 3) ให้ มท. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบร่วมกันดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดการเด็กเล็กในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้ ศอ.บต. เป็นหน่วยงานบูรณาการในภาพรวม และ 4) เห็นชอบในหลักการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กพต. เพื่อทำหน้าที่กำกับ เร่งรัด และติดตามการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ - ข้อสั่งการของประธาน กพต. มอบหมายให้ มท. สธ. ศธ. และ ศอ.บต. บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด และให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน |
3. ขออนุมัติหลักการและกรอบวงเงินโครงการเมืองปศุสัตว์ภายใต้กรอบระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลจังหวัดชายแดนภาคใต้ |
- มติ กพต. 1) อนุมัติหลักการโครงการฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 - 2569 มุ่งส่งเสริมการเลี้ยงโคเป็นกิจการนำร่อง และขยายผลไปสู่การปศุสัตว์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้ ศอ.บต. กษ. (กรมปศุสัตว์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ และ 2) อนุมัติกรอบวงเงิน จำนวน 700 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยงานรับผิดชอบได้ใช้เป็นกรอบในการขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี หรืองบประมาณแหล่งอื่น ๆ เพื่อขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป - ข้อสั่งการของประธาน กพต. การพัฒนาเมืองปศุสัตว์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยความร่วมมือของหลายกระทรวง กรม เพื่อมุ่งให้เกิดประโยชน์สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และอัตลักษณ์ของพื้นที่ จึงขอให้ทุกส่วนราชการร่วมกับ ศอ.บต. ขับเคลื่อนโครงการตามหน้าที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่องให้เกิดผลเชื่อมโยงภายใต้กรอบการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจฮาลาลต่อไป |
4. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองร่างยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 |
- มติ กพต. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ โดยมีเลขาธิการ ศอ.บต. เป็นประธาน - ข้อสั่งการของประธาน กพต. ให้ ศอ.บต. และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ไปเป็นแนวทางสำคัญของการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความจำเป็นต่อประชาชนและพื้นที่ และโครงการที่มีการบูรณาการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน |
12.เรื่อง ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 142 กำหนดให้ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต้องแสดงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาต่าง ๆ ประกอบกับพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 5 วรรคสาม กำหนดให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และมาตรา 10 วรรคสาม กำหนดให้แผนแม่บทที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้มีผลผูกพันหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น รวมทั้งการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต้องสอดคล้องกับแผนแม่บทด้วย ตลอดจนพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 19 (1) กำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีหน้าที่และอำนาจกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้เป็นแนวทางในการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 มอบหมายสำนักงบประมาณจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด นั้น
เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนัยกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น สำนักงบประมาณได้ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง พิจารณาจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีข้อสรุป ดังนี้
1. หลักการและกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้จัดทำขึ้นให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566 - 2570) แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) และนโยบายรัฐบาล โดยมุ่งให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับประเด็นการพัฒนาที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้บรรลุ 13 หมุดหมายการพัฒนาตาม (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ประกอบด้วย
หมุดหมายที่ 1 ไทยเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง
หมุดหมายที่ 2 ไทยเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน
หมุดหมายที่ 3 ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก
หมุดหมายที่ 4 ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง
หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
หมุดหมายที่ 6 ไทยเป็นฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่สำคัญของโลก
หมุดหมายที่ 7 ไทยมีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถ
แข่งขันได้
หมุดหมายที่ 8 ไทยมีพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่ ปลอดภัย เติบโตได้อย่างยั่งยืน
หมุดหมายที่ 9 ไทยมีความยากจนข้ามรุ่นลดลง และคนไทยทุกคนมีความคุ้มครองทางสังคมที่
เพียงพอ เหมาะสม
หมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ
หมุดหมายที่ 11 ไทยสามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศ
หมุดหมายที่ 12 ไทยมีกำลังคนสมรรถนะสูง มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์การพัฒนาแห่ง
อนาคต
หมุดหมายที่ 13 ไทยมีภาครัฐที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบที่รุนแรง ควบคู่กับการให้ความสำคัญประเด็นการพัฒนาตามแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (23 ประเด็น) จำนวน 85 ประเด็น ประเด็นการพัฒนาภายใต้ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และกิจกรรมปฏิรูปตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) 13 ด้าน รวมทั้งนโยบายรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามแนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ชาติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดโครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ประกอบด้วย รายจ่ายเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ
2. นำเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์ชาติ และเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ มากำหนดไว้ภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดสรรฯ ในแต่ละด้าน เพื่อแสดงให้เห็นเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของแผนในแต่ละระดับที่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างเป็นรูปธรรม
3. นำแผนย่อยทั้ง 85 ประเด็น ภายใต้แผนแม่บทฯ 23 ประเด็น และแผนการปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน มากำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ภายใต้ยุทธศาสตร์แต่ละด้าน พร้อมทั้งนำเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของแผนดังกล่าวมากำหนดไว้ภายใต้แต่ละประเด็นยุทธศาสตร์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายที่ต้องการบรรลุในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และตัวชี้วัดที่สามารถติดตามผลได้
4. นำประเด็นสำคัญของ 13 หมุดหมาย ภายใต้ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ที่ต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมาย/ตัวชี้วัดที่ต้องการบรรลุ มากำหนดเป็นจุดเน้นการพัฒนาที่ต้องให้ความสำคัญลำดับสูง ควบคู่กับนำแนวทางการพัฒนาภายใต้แผนย่อยของแผนแม่บทฯ ประเด็นการพัฒนาภายใต้ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และกิจกรรมปฏิรูปที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มากำหนดเป็นนโยบายการจัดสรรงบประมาณ เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้หน่วยรับงบประมาณจัดทำโครงการรองรับประเด็นดังกล่าว ซึ่งรวมถึงโครงการสำคัญประจำปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ จำนวน 406 โครงการ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่อไป
2. โครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ดังนี้
1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง
2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
3) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
รายการค่าดำเนินการภาครัฐ ประกอบด้วย รายจ่ายเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ
ต่างประเทศ
13.เรื่อง การจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ (Peacebuilding Fund) ของสหประชาชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ [Peacebuilding Fund (PBF)] (ข้อตกลงฯ) และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เป็นผู้ลงนามข้อตกลงฯ ของฝ่ายไทย ทั้งนี้หากมีความจำเป็นจะต้องแก้ไขปรับปรุงร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สหประชาชาติได้จัดตั้ง PBF เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2549 โดยเป็นกองทุนที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อส่งเสริมให้เกิดกระบวนการต่อเนื่องในการรักษาสันติภาพและระดมความร่วมมือจากทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างสันติภาพแก่ประเทศที่เพิ่งผ่านพันสภาพความขัดแย้ง โดยระดมเงินสนับสนุนด้วยการขอรับบริจาคจากรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศ และภาคเอกชน ซึ่งเป็นการบริจาคโดยสมัครใจและเป็นครั้ง ๆ ไป ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้เคยบริจาคเงินเข้า PBF มาแล้ว 2 ครั้ง (ปี พ.ศ.2550 และ พ.ศ. 2552)
2. คณะรัฐมนตรีมีมติ (19 มกราคม 2564) เห็นชอบในหลักการการบริจาคเงินสมทบ PBF ประจำปี 2565 เพื่อสนับสนุนบทบาทของไทยในฐานะสมาชิกคณะกรรมาธิการเสริมสร้างสันติภาพ [Peacebuilding Commission (PBC)] ของสหประชาชาติ (วาระปี 2564 - 2565) และเพื่อเสริมสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ สำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 3,037,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 30.37 บาท) ให้ กต. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.)
3. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (19 มกราคม 2564) รองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ประกาศให้คำมั่นการบริจาคเงินสมทบ PBF ประจำปี 2564 ในการประชุมระดับสูงเพื่อระดมทรัพยากรสำหรับกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ (High - level Replenishment Conference for the Peacebuilding Fund) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ซึ่งต่อมา กต. ได้รับแจ้งจากสำนักงานกองทุนแบบพหุภาคี [Multi - Partner Trust Fund (MPTF) Office] เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารจัดการ PBF ว่า ในการสนับสนุนงบประมาณให้กับ PBF ไทยในฐานะผู้บริจาคจะต้องจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการ PBF กับ MPTF Office ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ด้วยวิธีการบริหารกองทุนแบบทางผ่าน [รูปแบบการจัดการกองทุนของสหประชาชาติที่ใช้เพื่อสนับสนุนกองทุนรวมระหว่างหน่วยงานในสหประชาชาติโดยเงินช่วยเหลือจากกองทุนแบบทางผ่านจะมีหน่วยงานหรือประเทศตัวกลางดำเนินการรับเงินบริจาคเพื่อโอนหรือใช้จ่ายในนามของผู้รับเงินบริจาค]
4.ร่างข้อตกลงฯ จัดทำขึ้นระหว่างไทยกับ UNDP ซึ่งระบุสาระสำคัญเกี่ยวกับรายละเอียดการบริจาคเงินให้แก่ PBF และการบริหาร PBF ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขซึ่งใช้บังคับกับองค์การที่เป็นผู้รับ (Recipient Organization) และตัวแทนบริหารจัดการกองทุน (Administrative Agent ให้ดำเนินการตามแนวทางที่สหประชาชาติกำหนดอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยไม่มีการกำหนดพันธกรณีสำหรับผู้บริจาค (Donor)
14.เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 39 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 39 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 13 -16 กันยายน 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุม [คณะรัฐมนตรีมีมติ (14 กันยายน 2564) เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 39 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง จำนวน 6 ฉบับ] ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 39 ที่ประชุมได้รับรองร่างปฏิญญาร่วมบันดาร์เสรีเบกาวันของรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานในด้านความมั่นคงและการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 39 และได้รับทราบแผนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน ระยะที่ 2 พ.ศ. 2561 - 2565 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
สาขาความร่วมมือ |
สาระสำคัญของผลการประชุม
|
ด้านการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid:APG) |
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้สาขาความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน ปี 2564 ได้แก่ (1) การซื้อ-ขายไฟฟ้าพหุภาคีภายใต้ APG การกำหนดกลไกเพื่ออำนวยความสะดวก และการศึกษาแผนแม่บทการเชื่อมต่อโครงข่ายอาเชียนระยะที่ ๓ ซึ่งดำเนินการเสร็จแล้ว และ (2) โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว)-ประเทศไทย (ไทย)-มาเลเชีย ระยะที่ 2 โดย ณ เดือนสิงหาคม 2564 มีการซื้อขายไฟฟ้ารวม 1.72 กิโลวัตต์ชั่วโมง และปัจจุบันได้ดำเนินโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้า สปป. ลาว-ไทย-มาเลเซีย-สาธารณรัฐสิงคโปร์ (สิงคโปร์) โดยกำหนดปริมาณการซื้อ-ขายไฟฟ้าสูงสุดที่ 100 เมกะวัตต์และจะเริ่มซื้อ-ขายในปี 2565 - 2566
|
ด้านการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน |
รับทราบการดำเนินงานภายใต้โครงการเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซธรรมชาติอาเซียน โดยมุ่งพัฒนาตลาดก๊าซร่วมสำหรับภูมิภาคและเพิ่มจุดเชื่อมต่อเพื่อรองรับ การเข้าถึงก๊าซธรรมชาติ รวมถึงส่งเสริมบทบาทการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นพลังงานสะอาด
|
ด้านถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด |
รับทราบและเห็นชอบการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศแห่งอาเชียนด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดและการลงนามบันทึกความตกลงร่วมระหว่างศูนย์พลังงานอาเซียนกับสถาบันวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) โดยจะศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในโรงไฟฟ้าถ่านหินและเสริมสร้างขีดความสามารถด้านเทคนโลยีถ่านหินสะอาดมาใช้ในอาเซียน
|
ด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน |
รับทราบ (1) ความคืบหน้าการพัฒนาแนวทางการประหยัดพลังงานในอาคาร และระบบทำความเย็น โดยมีการเปิดตัวระบบฐานข้อมูลการลงทะเบียน ผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศของภูมิภาคอาเซียนเมื่อเดือนเมษายน 2564 (2) ความก้าวหน้าของการลดความเข้มการใช้พลังงานในภูมิภาคในปี 2562 ซึ่งอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายคิดเป็นร้อยละ 21.8 จากเป้าหมายที่ทั้งภูมิภาคจะต้องลดความเข้มการใช้พลังงานให้ได้ร้อยละ 32 ในปี 2568
|
ด้านพลังงานหมุนเวียน
|
รับทราบ (1) ความคืบหน้าของความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและประเทศ คู่เจรจา เช่น ความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ ของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันในการพัฒนาก๊าซชีวภาพในภาคไฟฟ้าของอาเซียนและการบูรณาการกลยุทธ์การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ากับแนวทางการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพของอาเซียน (2) สถานะการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของอาเซียน โดยในปี 2562 มีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนของอาเซียน ร้อยละ 13.5 ของพลังงานทั้งหมด ที่ผลิตได้ ซึ่งอาเซียนตั้งเป้าไว้ที่ ร้อยละ 23 ในปี 2568 และมีสัดส่วน โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ร้อยละ 28.7 ของปริมาณกำลังการผลิตติดตั้ง ของโรงไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งอาเซียนตั้งเป้าหมายไว้ที่ ร้อยละ 35 ในปี 2568
|
ด้านนโยบายและแผนพลังงานของภูมิภาค
|
รับทราบผลการดำเนินงานของแต่ละสาขาความร่วมมือและเห็นพ้องร่วมกันในการขับเคลื่อนนโยบายและแผนด้านพลังงานเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านและสร้างความยืดหยุ่นด้านพลังงานของภูมิภาค โดยเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลการผลักดันนโยบาย การวางแผนด้านพลังงานของอาเชียน และการเสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศและประเทศคู่เจรจา
|
ด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อประชาชน |
รับทราบการดำเนินงานภายใต้เครือข่ายความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ โดยมุ่งเน้นความร่วมมือระดับภูมิภาคและนานาชาติ |
ด้านเครือข่ายความร่วมมือการกำกับกิจการพลังงานอาเซียน
|
รับทราบการดำเนินงานของเครือข่ายความร่วมมือการกำกับกิจการ พลังงานอาเซียนซึ่งจะช่วยสนับสนุนความร่วมมือ APG และท่อก๊าซอาเซียน
|
2. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานบวกสาม [จีน สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และญี่ปุ่น] ครั้งที่ 18 มุ่งเน้นความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน ตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ พลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานสะอาดเพื่อผลักดันอาเซียนไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน ระยะที่ 2 และได้รับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานบวกสาม ครั้งที่ 18 โดยมีความมุ่งมั่นร่วมกันกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในภาคพลังงานอย่างยั่งยืน
3. การประชุมรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก [จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สาธารณรัฐอินเดีย (อินเดีย) นิวซีแลนด์ เครือรัฐออสเตรเลีย (ออสเตรเลีย) สหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) และสหพันธรัฐรัสเซีย (รัสเขีย)] ครั้งที่ 15 ที่ประชุมได้รับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 15 และรัฐมนตรีและผู้แทนระดับสูงจาก 17 ประเทศ ได้แสดงวิสัยทัศน์และแนวนโยบายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและการลดการปล่อยก๊ซคาร์บอนไดออกไซด์ของแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าของกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก เช่น การดำเนินงานด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ ด้านพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนของภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น การใช้พลังงานไฮโดรเจน และการเปลี่ยนผ่านจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
4. การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ ครั้งที่ 7 มีการนำเสนอทิศทางพลังงานของโลกและแนวทางในการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050 และมีการคาดการณ์ว่าสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีปริมาณมากขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังจากที่หลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารแถลงการณ์ความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียนกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศโดยให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน การเข้าถึงพลังงานอย่างทั่วถึงในราคาที่เหมาะสม และการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน
5. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ครั้งที่ 5 มีการนำเสนอทิศทางการเปลี่ยนผ่านพลังงานโลกซึ่งมุ่งเน้นการสร้างเสถียรภาพของพลังงานโลกและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบพลังงานรวมทั้งมีการรับทราบรายงานความคืบหน้าของกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดทำเอกสารทิศทางของพลังงานหมุนเวียนในอาเซียน ฉบับที่ 2 และการจัดทำกลยุทธ์การผลิตพลังงานชีวมวลที่ยั่งยืนภายในอาเซียน นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของไทยได้กล่าวขอบคุณทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศที่สนับสนุนการดำเนินงานของอาเซียนอย่างต่อเนื่องและเชื่อว่าการส่งเสริมพลังงานชีวภาพและพลังงานชีวมวลจะช่วยให้การพัฒนาพลังงานสะอาดในอาเชียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6.การประชุมรัฐมนตรีอาเชียนด้านพลังงานกับสหรัฐฯ สหรัฐฯ ได้นำเสนอกรอบแนวทางความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน-สหรัฐฯ ผ่านการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานของประเทศสมาชิกกับสหรัฐฯ เป็นประจำทุกปีเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีด้านพลังงาน ทั้งนี้ รัฐนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของไทยแสดงความเห็นว่าการร่วมมือกับสหรัฐฯ จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนทางพลังงานรวมทั้งจะช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานของภูมิภาค และการบรรลุเป้าหมาย
การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านพลังงานต่าง ๆ เช่น ไฮโดรเจนและเทคโนโลยีดักจับ กักเก็บและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน
7. การประชุมรัฐมนตรีโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป. ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ รัฐมนตรีทั้ง 4 ประเทศ ได้ให้การรับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป. ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยประเทศสมาชิกยืนยันความมุ่งมั่นในการเริ่มต้นการค้าไฟฟ้าข้ามพรมแดน จำนวน 100 เมกะวัตต์และแสดงความมุ่งมั่นว่าจะร่วมลงนามตามข้อตกลงสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
8. การประชุมภาคธุรกิจพลังงานอาเซียน ประจำปี 2564 โดยมีหน่วยงานด้านพลังงานทั้งภาครัฐและเอกชนจากประเทศและองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมทั้งวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านและการค้าการลงทุนด้านพลังงานในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการประกาศรางวัลพลังงานอาเซียน โดยในปี 2564 ไทยมีผู้รับรางวัลทั้งสิ้น 36 รางวัล
9. บทบาทของไทยในการประชุม ไทยได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบันว่า อาเซียนต้องร่วมมือกันโดยคำนึงถึงความสำคัญในด้านการจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการ มีเสถียรภาพ รวมทั้งมุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น โดยพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลด้านพลังงานสะอาดเพื่อนำพาอาเซียนไปสู่ระบบพลังงานคาร์บอนต่ำในอนาคต
15.เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 53 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 53 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 8 – 15 กันยายน 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีเนการาบรูไนดารุสซาลา (บรูไน) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายสรรเสริญ สมะลาภา) เข้าร่วมการประชุมตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
ประเด็นการประชุม
|
ผลการประชุม
|
(1) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
|
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้กรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุม ของอาเซียน จำนวน 185 กิจกรรม โดยอยู่ภายใต้ AEM จำนวน 60 กิจกรรม ดำเนินการแล้วเสร็จ 14 กิจกรรม (ณ เดือนสิงหาคม 2564) เช่น บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเชียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เห็นชอบ ดังนี้ 1) กรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมอบหมายสำนักเลขาธิการอาเขียนจัดทำเอกสารแนวคิดว่าด้วยความเป็นกลางทางคาร์บอนและการกำหนดขั้นตอนในการนำกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนฯ ไปปฏิบัติ 2) แผนงานบันดาร์เสรีเบกาวันซึ่งเป็นแผนการปรับเปลี่ยนอาเซียนไปสู่ความเป็นดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งกระบวนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเชียน
|
(2) ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจที่บรูไนในฐานะประธานอาเซียนผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปี 2564
|
- มีประเด็นภายใต้แนวคิดหลัก "We care, we prepare, we prosper" รวม 13 ประเด็น ดำเนินการแล้วเสร็จ 4 ประเด็น
- เห็นชอบเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ 1) เอกสารเครื่องมือในการประเมินต้นทุนและประสิทธิภาพของมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับอาเซียน 2) แผนการดำเนินการในการปฏิบัติตามความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ของอาเชียน ปี 2564 - 2568 และ 3) กรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนฯ เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้การรับรองต่อไป - รับทราบกรณีที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตการลงทุนอาเชียน ครั้งที่ 24 รับรองการจัดทำกรอบการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของอาเซียน
|
(3) การค้าบริการของอาเซียน |
- เร่งรัดให้สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (ฟิลิปปินส์) จัดทำข้อผูกพันการเปิดตลาดบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียน - เร่งรัดให้ราชอาณาจักรกัมพูชา (กัมพูชา) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) มาเลเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (เมียนมา) ฟิลิปปินส์ และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (เวียดนาม) ให้สัตยาบันความตกลงการค้าบริการอาเซียน - รับทราบกรณีที่สาธารณรัฐอินโดนีเชียได้ให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วและได้เร่งรัดให้ยื่นสัตยาบันสารภายในเดือนตุลาคม 2564 (จากการประสานข้อมูลเพิ่มเติม ได้รับแจ้งว่า มีการปรับการยื่นสัตยาบันสารเป็นภายในปี 2564)
|
(4) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP)
|
เร่งรัดประเทศสมาชิกให้สัตยาบันความตกลง RCEP ภายในเดือนตุลาคม 2564 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในต้นเดือนมกราคม 2565 โดยประเทศไทย (ไทย) แจ้งว่าจะสามารถยื่นสัตยาบันสารได้ภายในเดือนตุลาคม 2564 (จากการประสานข้อมูลเพิ่มเติม ได้รับแจ้งว่า ไทยได้ยื่นสัตยาบันสารแล้ว เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564)
|
2. การประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ 35 มีผลการประชุมที่สำคัญ ดังนี้
ประเด็นการประชุม
|
ผลการประชุม
|
(1) การขยายรายการสินค้าจำเป็นในบัญชีแนบท้ายบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการมาตรการที่มิใช่ภาษีสำหรับสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยฯ
|
- เห็นชอบการขยายรายการสินค้าจำเป็นในกลุ่มสินค้าเกษตรพื้นฐานและอาหาร จำนวน 107 รายการ - รับทราบข้อเสนอของ สปป. ลาว กัมพูชา และฟิลิปปีนส์ ในการขยายบัญชีรายการสินค้าให้ครอบคลุมข้าว ข้าวโพด และน้ำตาล รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุตสาหกรรม และวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
|
(2) การจัดตั้งคณะผู้พิจารณาอิสระ
|
รับทราบความคืบหน้าของการจัดตั้งคณะผู้พิจารณาอิสระของประเทศสมาชิกอาเซียน
|
(3) ประเด็นคงค้างภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน
|
กัมพูชา สปป. ลาว และเมียนมา เรียกร้องให้ไทยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้นำเข้าทั่วไปสามารถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งไทยแจ้งว่าได้แก้ไขปัญหาประเด็นดังกล่าวแล้วและได้ปรับปรุงกฎระเบียบให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
|
(4) การแก้ไขระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า
|
เห็นชอบการแก้ไขภาคผนวกของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและระเบียบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเชียนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการค้าปัจจุบัน
|
3. การหารือของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศนอกภูมิภาค มีผลการประชุมที่สำคัญ เช่น
ประเด็นการประชุม |
ผลการประชุม |
(1) อาเซียน-จีน |
รับรองแถลงการณ์ร่วม เรื่อง การเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจในโอกาสครบรอบ 30 ปี ความสัมพันธ์อาเชียน-จีน ทั้งนี้สาธารณรัฐประชาชนจีนขอให้อาเชียนสนับสนุนการเข้าร่วมความตกลง RCEP ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน(ฮ่องกง) ด้วย
|
(2) อาเซียน-เกาหลีใต้ |
สนับสนุนให้อาเชียนและสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) หาแนวทางร่วมกันในการเดินหน้าเจรจาเปิดตลาดสินค้าอ่อนไหวเพิ่มเติมโดยเฉพาะแนวทาง ASEAN minus X (ASEAN-X) (ยกเว้นเวียดนาม)
|
(3) อาเซียน-ญี่ปุ่น |
- รับทราบกรณีอินโดนีเซียอยู่ระหว่างดำเนินการขั้นตอนสุดท้ายในการให้สัตยาบันพิธีสารฉบับที่หนึ่งเพื่อแก้ไขความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเชียน-ญี่ปุ่น - ยินดีกับข้อเสนอแนวคิดว่าด้วยนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืนระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม 3 ด้าน ได้แก่ ด้านอุตสาหกรรม ด้านการพัฒนาเขตเมือง และด้านการพัฒนาชนบท
|
(4) อาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) |
เห็นชอบแผนงานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอาเชียนบวกสาม ปี 2564 - 2565
|
(5) อาเซียน-ฮ่องกง |
รับทราบ ดังนี้ - ความตกลงการค้าเสรีอาเชียน-ฮ่องกงและความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 - กรณีที่ฮ่องกงให้ความสนใจในการเป็นสมาชิกความตกลง RCEP
|
(6) อาเซียน-อินเดีย |
รับทราบความคืบหน้าการจัดทำขอบเขตการเจรจาทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย
|
(7) อาเซียน-สหรัฐอเมริกา |
เห็นชอบแผนการดำเนินงานภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับสหรัฐอเมริกา และการขยายการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ ปี 2564 – 2565
|
(8) อาเซียน-สหภาพยุโรป |
เห็นชอบแผนงานด้านการค้าและการลงทุนอาเซียน-สหภาพยุโรป ปี 2563 - 2564
|
(9) อาเซียน-รัสเซีย |
เห็นชอบแผนดำเนินงานด้านการค้าและการลงทุนอาเซียน-รัสเซีย ปี 2564 - 2568 และการปรับปรุงแผนงานความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนอาเซียน-รัสเชีย
|
(10) อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ |
- รับทราบความคืบหน้าการเจรจาเพื่อยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งมีผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ จะใช้ความตกลง RCEP เป็นพื้นฐานในการเจรจาจัดทำข้อบทเรื่องโทรคมนาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เป็นต้น - ยินดีที่สาธารณรัฐชิลีต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์
|
(11) อาเซียน-สหราชอาณาจักร |
- ยินดีที่สหราชอาณาจักรได้รับสถานะประเทศคู่เจรจาและได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยจะร่วมมือกันในการผลิตและจำหน่ายยา เครื่องมือแพทย์และวัคซีนในราคาที่เหมาะสมและมีคุณภาพ - เห็นชอบปฏิญญาร่วมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนาคตระหว่างอาเชียนและสหราชอาณาจักร
|
4. การหารือระหว่าง AEM กับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญและได้ดำเนินการในปี 2564 โดยเฉพาะการสร้างสภาพแวดล้อมและการเสริมสร้างความสามารถของแรงงานในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล รวมทั้งการพัฒนาความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับภาคเอกชนเพื่อรับมือผลกระทบจากโควิด-19
5. การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์เกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างกัน โดยสิงคโปร์มีความสนใจในสาขาการเงิน การท่องเที่ยว การซื้อขายคาร์บอน และด้านดิจิทัล ส่วนไทยจะให้การสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเรื่องนี้ต่อไป นอกจากนี้ ไทยได้ขอให้สิงคโปร์สนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวและผลไม้
16.เรื่อง สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชียเรื่องความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเติบโตสีเขียว (Asia Green Growth Partnership Ministerial Meeting)
คณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชียเรื่องความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเติบโตสีเขียว ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งมีญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ และมีผู้แทนในระดับรัฐมนตรี ผู้แทนระดับสูงจากทั้งภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่น ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ และผู้แทนสำนักงานเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วมการประชุม [คณะรัฐมนตรีมีมติ (28 กันยายน 2564) เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชียเรื่องความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเติบโตสีเขียวและอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าว] ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การนำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายด้านพลังงานและการแสดงทรรศนะเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในอนาคต สรปได้ ดังนี้
1.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า ทุกประเทศจะต้องร่วมกันกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่มีความหลากหลายและอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เช่น การใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลาย การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการสร้างกลไกการลงทุนและการเงิน รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางพลังงานที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะต้องคำนึงถึงสถานการณ์ของแต่ละประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและมุ่งไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นได้จัดตั้ง Asia Transition Finance Study Group เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนทางด้านการเงินที่จะช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในเอเชีย
1.2 ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEAI ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในอนาคตว่าการผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานมีความหลากหลายและแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ดังนั้น ทวีปเอเชียซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจึงควรมีแนวทางในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่แตกต่างจากภูมิภาคอื่น นอกจากนี้ IEA เห็นว่า เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาภาคพลังงานในทวีปเอเชีย ได้แก่ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอนในภาคการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดในอนาคต
2. การกล่าวสุนทรพจน์ของรัฐมนตรีประเทศต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของประเทศไทย (ไทย) ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของไทยในการปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดยได้นำเสนอเป้าหมายการจัดทำแผนพลังงานชาติเพื่อสนับสนุนขับเคลื่อนภาคพลังงานของประเทศไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำด้วยพลังงานสะอาด นโยบาย 30@30 ซึ่งเป็นนโยบายที่ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 หรือ พ.ศ. 2573 เพื่อเพิมสัดส่วนการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ รวมทั้งการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 – 2 องศาเซลเชียส ตามข้อตกลงปารีส และเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์สุทธิเป็นศูนย์ของไทยในปี ค.ศ. 2065 - 2070 นอกจากนี้ ไทยยังเห็นพ้องกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับการเลือกแนวทางการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ของแต่ละประเทศ การสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนและภาคการศึกษา รวมถึงการได้รับเงินทุนสนับสนุน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนโครงการด้านพลังงานสะอาดให้เกิดขึ้นได้จริงในอนาคต
2.2 รัฐมนตรีด้านพลังงานและผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศได้ให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมถึงการสนับสนุนข้อริเริ่มความร่วมมือด้านการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานแห่งเอเชียเพื่อมุ่งสู่การเติบโตสีเขียว โดยได้เห็นพ้องกับญี่ปุ่นว่าทุกประเทศต้องร่วมกันกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่มีความหลากหลายและอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ หลายประเทศยังคงมีการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดดั้งเดิมในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด แต่ก็มีความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต รวมถึงการพัฒนาโครงการด้านพลังงานทดแทนในประเทศและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ข้อสรุปจากที่ประชุมและการดำเนินการในขั้นต่อไป
ที่ประชุมเห็นว่าประเทศต่าง ๆ ควรหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางและมาตรการเพื่อมุ่งไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในเอเชียอย่างเป็นรูปธรรมและจะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และภาคการศึกษา รวมถึงแนวทางการใช้เชื้อเพลิงและเทคโนโลยีทางพลังงานที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการเติบโตสีเขียวในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ ญี่ปุ่นได้เน้นย้ำว่าจะส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ภายใต้นโยบายในการเติบโตสีเขียวต่อไปและกำหนดจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชียเรื่องความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเติบโตสีเขียว ครั้งที่ 2 ในปี 2565 อีกด้วย
17.เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการขนส่งเอสแคป ครั้งที่ 4
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีด้านการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ค.ศ. 2022 - 2026) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้แทนไทยโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีด้านการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ค.ศ. 2022 - 2026) ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯและร่างแผนปฏิบัติการฯ
1. ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีด้านการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิก เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีด้านคมนาคมขนส่งของประเทศสมาชิกเอสแคปเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี ค.ศ. 2030 แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่
ส่วนที่1 : อารัมบท (preamble) ประกอบด้วย การอ้างถึงความตกลงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาขนส่งที่ยั่งยืน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อมติที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ของเอสแคปข้อกฎหมายของสหประชาชาติ ข้อมติที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติด้านการขนส่งและความปลอดภัยทางถนน รวมถึงประเด็นและผลลัพธ์แผนงานที่สำคัญต่าง ๆ ในปัจจุบัน
ส่วนที่ 1: วรรคปฏิบัติการ (operative paragraph) ประกอบด้วย 2 ส่วนย่อย ได้แก่
ส่วนย่อยที่ 1 เป็นถ้อยคำที่แสดงถึงการรับรองแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคฯ ค.ศ. 2022 – 2026 ผ่านการเห็นชอบและสนับสนุนเครือข่ายการวิจัยและการศึกษาด้านการขนส่ง กรอบงานกฎหมายสำหรับท่าเรือบกและการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ การเชื่อมโยงและพัฒนาด้านการขนส่งในบริบทของ COVID-19 และกำหนดการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการขนส่ง ครั้งที่ 5 ในปี ค.ศ. 2026
ส่วนย่อยที่ 2 เป็นการเรียกร้องให้ฝ่ายเลขานุการเอสแคปดำเนินการสนับสนุนประเทศสมาชิกในการดำเนินการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืน
2. ร่างแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาค
เอเชียและแปซิฟิก (ค.ศ. 2022 – 2026) เป็นภาคผนวกของร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีด้านการพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยเป็นการกำหนดแผนงานระดับภูมิภาคเพื่อมุ่งสู่การขนส่งที่ยั่งยืน ระหว่างปี ค.ศ. 2022 – 2026 ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1) มุ่งสู่เครือข่ายการขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นและการเคลื่อนย้ายเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ 2) มุ่งสู่ระบบขนส่งและบริการที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม และ 3) มุ่งสู่การขนส่งและการเคลื่อนย้ายที่ปลอดภัยและครอบคลุมโดยจะดำเนินการภายใต้ 7 ประเด็นสำคัญด้านการขนส่ง ได้แก่ 1) การเชื่อมโยงด้านการขนส่งทางบกและโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค 2) การเชื่อมโยงด้านการขนส่งทางทะเลและระหว่างภูมิภาค 3) ระบบดิจิทัลด้านการขนส่ง 4) การสัญจรและโลจิสติกส์แบบคาร์บอนต่ำ 5) การขนส่งภายในเมือง 6) ความปลอดภัยทางถนน และ 7) การขนส่งและการสัญจรที่ครอบคลุม
ทั้งนี้ การประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการขนส่งเอสแคป ครั้งที่ 4 (Fourth Ministerial. Conference on Transport) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 17 ธันวาคม 2564 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งการประชุมดังกล่าว ประกอบด้วยการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูง (senior officials segment) ระหว่างวันที่ 14 - 15 ธันวาคม 2564 และการประชุมระดับรัฐมนตรี (ministerial segment) ระหว่างวันที่ 16 - 17 ธันวาคม 2564
แต่งตั้ง
18.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายอุทิศศักดิ์ หริรัตนกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) ระดับสูง] สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลสงขลา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2564
2. นางจินตนา พัฒนพงศ์ธร นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2564
3. นายสุพจน์ ภูเก้าล้วน ผู้อำนวยการโรงพยาบาล [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) ระดับสูง] โรงพยาบาลกระบี่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่ สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลกระบี่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่ สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2564
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
19.เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอแต่งตั้ง ร้อยตำรวจโทหญิง สุทธิมา พิพัฒน์พิบูลย์ ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลเชี่ยวชาญ) สำนักงาน ก.พ. ให้ดำรงตำแหน่ง ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20.เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้งผู้แทนส่วนราชการเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 2 คนดังนี้
1. นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์
2. นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี