สภาฯอับอายล่มซ้ำซาก! ‘ยุทธพงศ์’ ผุดฉายากางบัญชีส.ส. ‘เรือเหล็กบิ๊กตู่’ เจอวิกฤตสนิมจับเสียงเกินกึ่งมาแค่ 4 เสียง เชื่อชิงยุบสภาหนีซักฟอกก่อน22พ.ค.
23 มกราคม 2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า วิกฤติเรือเหล็กของ พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขับ ส.ส.กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหรมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ 21 คน เป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางการเมือง เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนที่ส.ส.ซีกพรรครัฐบาลขอนับองค์ประชุม จนองค์ประชุมล่ม เพื่อให้ส.ส.ไปประชุมพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ควรจะต้องรักษาองค์ประชุมสภาฯ ไม่ให้ล่ม แต่กลับมาเป็นฝ่ายทำให้ล่มเสียเอง
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในทางการเมืองที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯรัฐมนตรี เข้าไปดูแลถึง2 พรรคอย่างไม่เคยมีมาก่อน คือในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เมื่อขับส.ส.ออก 21 เสียง ทำให้พรรคพลังประชารัฐเหลือส.ส.อยู่ 94 เสียง อีกพรรคหนึ่งที่พล.อ.ประวิตร จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ คือพรรคเศรษฐกิจไทย 21 เสียง ซึ่งพรรคนี้อย่างไรก็ตรงข้ามกับรัฐบาลอยู่แล้ว แต่พล.อ.ประวิตรดูแลอยู่ โดยมีพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับพล.อ.ประวิตร
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า การมีมติขับส.ส. 21 คนออกจากพรรคพลังประชารัฐ ผลการขับส.ส.กลุ่มนี้ออก ทำให้สภาอับอายล่มซ้ำซาก เพราะพรรคฯจะประชุมเวลาไหนก็ได้ ทำไมต้องมาประชุมตอนที่สภากำลังประชุมอยู่ และเมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ประชุมสภาฯมีกฎหมายสำคัญคือ กฎหมายกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) กำลังพิจารณาอยู่ แต่กลับมาทำให้สภาฯล่ม น่าอับอายหรือไม่คนที่ทำให้สภาฯล่มคือพรรคแกนนำรัฐบาล และเมื่อการประชุมสภาฯวันที่ 21ม.ค. มีการอภิปรายเรื่องคลองไทยตั้งแต่ 11.00 น.ถึง 16.00 สุดท้ายอยู่ก็ปิดประชุมไม่กล้าให้โหวต เพราะสภาฯจะล่มซ้ำซากอีก อย่างนี้น่าอับอาย และสภาฯไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครจะออกจากพรรคหรือเป็นกบฏ สภาฯก็ต้องทำหน้าที่ของสภาฯ ตนจึงตั้งฉายาสภาฯว่า “สภาอับอายล่มซ้ำซาก”
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า เมื่อดูสถานการณ์ในปัจจุบันหลังจาก ส.ส.กลุ่มร.อ.ธรรมนัสออก 21 เสียง ทำให้เรือเหล็กของ พล.อ.ประยุทธ์ มีเสียงทั้งหมด 244 เสียง จากพรรคพลังประชารัฐ 94 เสียง พรรคภูมิใจไทย 59 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 49 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 12 เสียง พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 เสียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย 5 เสียง พรรคพลังท้องถิ่นไท 5 เสียง พรรคชาติพัฒนา 4 เสียง ที่เหลือเป็นกลุ่มพรรคเล็ก อีก 10เสียง ส่วนฝ่ายค้านมี 208 เสียง พรรคเพื่อไทย 131 เสียง พรรคก้าวไกล 52 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 10 เสียง พรรคประชาชาติ 7 เสียง พรรคเพื่อชาติ 6 เสียง พรรคพลังปวงชนไทย 1 เสียง พรรคไทยศรีวิไลย์ 1 เสียง และกลุ่มร.อ.ธรรมนัส 21 เสียง ขณะนี้มีส.ส.ปฏิบัติหน้าที่ในสภาฯ 437 เสียง กึ่งหนึ่ง 237 เสียง และเมื่อตัดเสียงประธานและรองประธานสภาฯ 3 เสียงออก รัฐบาลจะมีเสียงเกินกึ่งอยู่ 4 เสียง
นายยุทธพงศ์ ระบุว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ มีเสียงเกิน 4 เสียง จะทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองเพราะถ้าในสมัยประชุมนี้ ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นการอภิปรายโดยไม่มีการลงมติ ดังนั้นสมัยประชุมนี้รัฐบาลก็คงผ่านไปได้ แต่สภาฯจะอับอายล้มซ้ำซาก ขณะเดียวกันวันที่ 22พ.ค.65 จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาฯ ในช่วงนี้ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้ตามมาตรา 151 ก็ต้องคาสภาฯไว้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยุบสภาไม่ได้ ต้องให้อภิปรายและลงมติเสร็จสิ้นก่อนถึงจะยุบสภาได้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะเจอเหตุการณ์เหมือนเดือนกันยายน 64 ที่ พล.อ.ประยุทธ์เกือบเอาตัวไม่รอด จนเกิดเหตุการณ์ที่เขานินทากันว่าต้องยกมือไหว้ขอเสียงส.ส.กว่าจะผ่านได้ก็แทบเท่าตัวไม่รอด
“ถ้าไปไม่รอดพล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องยุบสภาฯก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 65 เพราะที่เกินอยู่ 4 เสียง พรรคเล็กพรรคน้อยประมาณ30 เสียง ขอถามว่า 4 เสียงถ้าโดนเบี้ยวพล.อ.ประยุทธ์ต้องน็อกกลางสภาฯ เพราะยุบสภาไม่ได้ และต้องออกอย่าเดียว เพราะได้เสียงไม่ไว้วางใจมากกว่ากึ่งหนึ่ง และรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มพรรคเล็กสนิทสนมกับร.อ.ธรรมนัสอยู่แล้ว สุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องยุบสภาก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 65 เพื่อไม่ให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายยุทธพงศ์ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี