“ เสี่ยไก่-วัฒนา” แถลงปิดคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร สู้ถึงที่สุดแล้ว ยันไม่หนีศาลนัดฟังคำพิพากษา 4 มี.ค.บ่ายสองเจอกัน
4 ก.พ.65 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ นัดแถลงปิดคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.อธ. 1/2565 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11
วันนี้ นายวัฒนา พร้อมด้วยทนายเดินทางมาศาล มีบรรดานักการเมือง อาทิ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายโภคิน พลกุล น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย มาร่วมให้กำลังใจ
โดยนายวัฒนาใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการแถลงปิดคดี โดยสรุปว่า คดีนี้เป็นการฟ้องเกินกว่าข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ขอตั้งข้อสังเกตการวินิจฉัยของศาลที่ลงโทษขัดข้อเท็จจริงในเอกสาร 20,000 แผ่นหลายเรื่อง ศาลไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดอย่างไร ข้อเท็จจริงหลายเรื่องไม่เป็นความจริง เช่น การสั่งจ่ายเช็ค โดยอ้างว่านำไปให้ผู้ใหญ่ เพื่อตอบแทนการอนุมัติให้เซ็นสัญญาไม่ได้เกิดขึ้นสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรี และนางชดช้อย พงศ์ไพโรจน์ ผู้ประกอบการบริษัทเอกชน ยืนยันการจ่ายเช็คให้นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ พงษ์เรืองรอง เป็นการจ่ายค่านายหน้าที่ดิน ไม่ใช่ค่าอนุมัติโครงการ ประกอบกับ ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินของตนไม่พบความผิดปกติ
นอกจากนี้ มีพยานบุคคลที่ให้การในชั้นคตส. เป็นบุคคลที่ถูกกันไว้เป็นพยาน ถือเป็นพยานที่ถูกจูงใจ ซึ่งกฎหมายห้ามอ้างพยานเหล่านี้ และต่อมาพยานเหล่านี้ก็กลับคำให้การในชั้นศาล และไม่เกี่ยวข้องกับนายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่ ที่อ้างเป็นที่ปรึกษาของตน ทั้งนี้ ความผิดคดีนี้เป็นความผิดตามมาตรา 5 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ซึ่งผู้เป็นตัวการกระทำผิดตามมาตรา 5 ต้องเป็นพนักงาน การอนุมัติเป็นคู่สัญญากับบริษัทจึงไม่ใช่อำนาจของรัฐมนตรี แต่เป็นอำนาจของกรรมการ เมื่อกรรมการอนุมัติแลัว เป็นหน้าที่ผู้ว่าการเคหะฯ จะต้องปฏิบัติตาม ยืนยันว่าตนไม่เคยเข้าไปแทรกแซงการทำหน้าที่ของการเคหะแห่งชาติ
“ผมรู้สึกอัดอั้น ไม่เคยได้รับความเป็นธรรม ชีวิตเหมือนมีศัตรูเพราะความคิดต่างทางการเมือง คดีนี้เป็นคดีที่ 12 ที่สู้กับผู้มีอำนาจมาตลอด ข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหาก็ไม่ใช่เรื่องจริง ข้อกฎหมายก็เป็นไปไม่ได้ คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ โทษสูงถึงประหารชีวิต การไต่สวนของศาลฎีกาฯ มีเวลาทำคำวินิจฉัยคดีนี้แค่ 13 วัน แต่เอกสารมี 20,000 หน้า อาจมีข้อเท็จจริงที่มองไม่เห็น วันนี้ตนได้โอกาสสู้และชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาล” นายวัฒนา กล่าว
ภายหลังนายวัฒนาแถลงปิดคดีเสร็จ องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ กำชับคู่ความไม่ให้เผยแพร่ข้อความในสำนวนกับสื่อทุกประเภท ยกเว้นได้รับอนุญาตจากศาล พร้อมนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 4 มี.ค. เวลา 14.00 น.
ต่อมา นายวัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตนได้นำความจริงมาแถลงต่อศาล และก็นำพยานหลักฐานในสำนวนที่ศาลอาจจะยังไม่ได้วิเคราะห์ เนื่องจากเอกสารที่นำมามีจำนวนกว่า 20,000 แผ่น ศาลอาจจะยังอ่านไม่ละเอียด เช่น เอกสารที่อ้างว่า นำเช็คมาให้ตน ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นค่านายหน้าที่ดินที่ให้กับจำเลยที่ 10 ตนชี้ต่อศาลให้เห็นว่าหลักฐานนี้ฟังไม่ขึ้น และที่กล่าวหาว่าตนนัดประชุมผู้ประกอบการ แล้วเรียกรับเงินกลางที่ประชุมนั้น คงไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้น ยืนยันว่าสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่ได้ทำอะไรที่เกิดความเสียหายกับโครงการ และไม่เคยเรียกรับเงินจากใคร ในการแถลงตนได้ชี้แจงต่อศาล กระบวนการไต่สวนนั้นไม่ถูกต้อง พยานหลักฐานที่เกิดจากความจูงใจ กฎหมายห้ามรับฟัง
"เป็นครั้งแรกที่ได้รับโอกาส ให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และรู้สึกสบายใจขึ้น หมดความกังวล ผมทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว นอกจากนี้ยังได้แถลงข้อเท็จจริงไปจนครบถ้วนแล้ว ซึ่งผมได้ใช้เวลาแถลงคดีประมาณ 1 ชั่วโมง เอกสารทั้งหมดก็นำส่งศาลทั้งหมดแล้ว เชื่อว่าดุลพินิจของศาลจะเปลี่ยนไป ส่วนที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เดินทางมาให้กำลังใจ เพราะผมเป็นกรรมการในกมธ.ชุดเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีเพื่อน ๆ จากพรรคเพื่อไทย และพรรคไทยสร้างไทย มาให้กำลังใจเช่นเดียวกัน "นายวัฒนากล่าว
นายวัฒนา ย้ำอีกว่า ตนถูกดำเนินคดี 12 คดี ยกฟ้องไปแล้ว 11 คดี เหลือคดีนี้เป็นคดีสุดท้าย และในวันฟังคำพิพากษาวันที่ 4 มี.ค. เวลา 14.00 น. ตนยืนยันจะมาเป็นคนแรกแน่นอน ไม่หลบหนี
อย่างไรก็ตาม นายวัฒนาระบุว่า ภายหลังแถลงเสร็จ ศาลได้กำชับตนไม่ให้นำเอกสารในสำนวน และคำแถลงในวันนี้ไปเผยแพร่กับสื่อมวลชน เพราะอาจมองว่าเป็นการกดดันการใช้ดุลพินิจของศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีทุจริตเมื่อวันที่ 24 ก.ย.63 ศาลฎีกา ฯ พิพากษาสั่งจำคุก นายวัฒนา รวม 99 ปี แต่ตามกฎหมายคงให้จำคุกได้ 50 ปี และร่วมกับจำเลยอื่นชดใช้เงินคืนกว่า 1,300 ล้านบาท โดยนายวัฒนาได้รับการประกันตัวในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ จำนวน 10 ล้านบาท
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี