นายกฯประชุมศบค.ใหญ่ ฟื้นศก.คลายล็อกมาตรการเข้าประเทศ ดีเดย์ 1 พ.ค.ยกเลิกเทสแอนด์โก เป็นตรวจ ATK ขอความร่วมมือเด็กฉีดวัคซีน รับเปิดเรียนแบบออนไซต์ ขอบคุณทุกฝ่ายทำประเทศปลอดภัย อาการรุนแรงลดลง
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 22 เมษายน 2565 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ศบค.ครั้งที่ 7/2565
ต่อมาเวลา 11.50 น. นายกฯแถลงภายหลังการประชุมว่า เป็นการประชุมเพื่อติดตามและประเมินผลช่วงที่ผ่านมา และช่วงหลังสงกรานต์ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้สิ่งที่ทุกคนคาดหวังคือการผ่อนคลายมาตรการในการเข้าประเทศ ซึ่งเราก็ปรับแล้ว โดยเราได้มีการยกเลิกเทสแอนด์โก เปลี่ยนเป็นการตรวจ ATK ซึ่งทำให้สะดวกรวดเร็วขึ้นในเรื่องของการท่องเที่ยวของเรา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็ดีขึ้นหลายประเทศเขาก็มีการผ่อนคลาย มีการปรับมาตรการมากพอสมควร วันนี้ในฐานะที่เราเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้
นายกฯ กล่าวว่า มาตรการที่เราปลดล็อกในวันนี้ เราพูดในหลายประเด็นด้วยกัน ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ มาตรการในการตรวจ มาตรการในการดูแล มาตรการในการรองรับผู้โดยสาร รวมถึงประเด็นในการเปิดโรงเรียนที่ใกล้จะถึงในวันที่ 17 พ.ค. ก็ต้องเตรียมมาตรการเปิดโรงเรียนในรูปแบบออนไซด์ ซึ่งก็ต้องมีข้อกำหนดสิ่งสำคัญคือการขอความร่วมมือด้วยความเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม และวัคซีนที่ฉีดให้กับเด็กก็กำลังเร่งจัดหา และเร่งดำเนินการฉีดอยู่ ซึ่งวัคซีนที่ฉีดให้กับเด็ก โดยต้องอายุ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งยังไม่มีวัคซีนที่ให้เด็กต่ำกว่าอายุ 5 ปี ก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองต้องระมัดระวัง เพราะส่วนใหญ่เด็กจะติดเชื้อโควิด-19 จากผู้ปกครอง ก็จำเป็นต้องขอความร่วมมือ เพราะเป็นเรื่องของคนส่วนใหญ่ รัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่
นายกฯกล่าวว่า เท่าที่ตนฟังมาจากต่างประเทศเขาก็ชื่นชมมาตรการของเรามาโดยตลอด ถึงแม้จะมีการติดเชื้อ แต่ก็มีมาตรการรองรับ และการรักษาที่หายทำให้ผู้ที่มีอาการรุนแรงลดลงเรื่อยๆ ด้วยความพร้อมของการรักษาพยาบาลก็ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานส่วนราชการ ประชาชน และอสม.ช่วยกันทำให้ประเทศไทยมีความปลอดภัยได้ถึงขนาดนี้ ถือว่าดีกว่าหลายประเทศที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ทุกประเทศก็ชื่นชมและอยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านสาธารณสุขกับเรา อันนี้ก็เป็นโอกาสของเรา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับเรื่องการท่องเที่ยวเราก็จะไปดูว่าจะทำอย่างไรจะเพิ่มการท่องเที่ยวในลักษณะ Two Countries One Destination ในพื้นที่ปลอดภัยในแต่ละประเทศ ได้หรือเปล่า จะสามารถบินตรงมาได้หรือไม่ ปลอดภัยหรือเปล่า ซึ่งขณะนี้เราได้ปรับพื้นที่เหลือแค่สีส้ม สีเหลือง สีเขียว และสีฟ้า ก็ต้องขอขอบคุณฝ่ายสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มาหารือร่วมกัน และยกปัญหาที่เกิดขึ้นเวลานี้ประชุมจัดแจ้งร่วมกัน โดยความเห็นชอบฝ่ายสาธารณสุข และแพทย์ยอมรับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าในวันที่ 1 ก.ค. พร้อมที่จะประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ พูดแค่ว่าเราจะมีมาตรการในการปลดล็อกทั่วประเทศอย่างไร สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาอยู่เป็นเวลานานจะต้องทำอย่างไรบ้าง หรืออยู่แค่ 1-2 วัน จะทำอย่างไร แต่เราก็ไปในทิศทางดังกล่าวอยู่แล้ว การจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นอย่างไรเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที ซึ่งวันนี้เราก็ฟังความคิดเห็นจากต่างประเทศเขาด้วย
เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์หรือไม่การเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร ทั้งที่แนวโน้มการป้องกันของเราดีขึ้น นายกฯ กล่าวว่า ต้องไปหาสาเหตุว่าเพิ่มขึ้นจากอะไร ซึ่งวันนี้ก็มีสาเหตุที่เขาสรุปแยกประเภทมาแล้วว่าเป็นผู้สูงอายุหรือไม่ กลุ่ม 608 หรือไม่ ฉีดวัคซีนครบโดสหรือไม่ เสียชีวิตจากโควิดหรือโรคอื่น ซึ่งมีสถิติทั้งหมดค่อนข้างละเอียด ตนคิดว่าเราทำละเอียดมากกว่าหลายๆประเทศด้วยซ้ำไป ขอให้เข้าใจด้วยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โอเคนะจ๊ะ เรื่องอะไรไม่เป็นเรื่องก็เบาๆลงมั่ง
เมื่อถามอีกว่า วันที่ 1 พ.ค.จะเต็มรูปแบบของการเปิดประเทศใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า “ก็ใช่สิ วันที่ 1 พ.ค.นี้ ก็เราปรับมาจากเดิมเดือนมิ.ย.” เมื่อถามย้ำว่าจะเริ่มวันที่ 1 พ.ค.ใช่เลยหรือไม่ นายกฯ ใช่ครับๆ
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี