ไทยติดเชื้อ 2.1 หมื่นราย ดับ 128 ราย ศบค.ปรับสีพื้นที่ใหม่ เหลือแค่เหลือง-ฟ้า ดื่มในร้านได้ถึงเที่ยงคืนแล้ว เร่งฉีดวัคซีนในเด็กรับเปิดเทอม หลังยอดต่ำกว่าเป้า ไฟเขียวเข้าประเทศไม่ต้องเทสต์แอนด์โก โชว์หลักฐานฉีดวัคซีนครบ เที่ยวได้เลย
เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 22 เมษายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,808 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 21,672 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 21,561 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุก 111 ราย มาจากเรือนจำ 45 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 91 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 19,826 ราย อยู่ระหว่างรักษา 190,780 ราย อาการหนัก 1,985 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 913 ราย
เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 128 ราย เป็นชาย 79 ราย หญิง 49 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 100 ราย มีโรคเรื้อรัง 26 ราย โดยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 4,128,038 ราย มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 3,909,738 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 27,520ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 507,804,429 ราย เสียชีวิตสะสม 6,236,397 ราย
“การที่เราจะประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นได้ สถานการณ์ของประเทศต้องสอดคล้องกัน แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีสถานการณ์ที่หลากหลาย แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม โดยจังหวัดที่สถานการณ์ยังเป็นขาขึ้นอยู่มี 21 จังหวัด สถานการณ์ทรงตัว 44 จังหวัด และสถานการณ์ที่เป็นขาลงแล้ว 12 จังหวัด และหากจะประกาศเป็นโรคประจำถิ่นได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วประเทศต้องต่ำกว่า 0.1% เป็นรายสัปดาห์และ 2 สัปดาห์ติดกัน แต่ขณะนี้ยังอยู่ที่ 0.31% ถือว่ายังสูงกว่า 0.1% อยู่” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบปรับพื้นที่สถานการณ์ โดยไม่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) และพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) พร้อมกับปรับพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จาก 47 จังหวัด เป็น 65 จังหวัด ปรับพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 10 จังหวัด เป็น 12 จังหวัด โดยเพิ่ม จ.ระยอง และสงขลา ทั้งนี้ สำหรับพื้นที่สีเหลืองและสีฟ้า ปรับมาตรการการบริโภคเครื่องแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร หรือสถานที่ลักษณะเดียวกัน โดยจำกัดเวลาบริโภคในร้านจากไม่เกิน 23.00 น. มาเป็น 24.00 น. และยังคงจำกัดประเภทร้านอาหารที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ จะต้องเป็นร้านที่ผ่าน SHA+
ขณะที่สถานบริการผับ บาร์ คาราโอเกะ ยังคงให้เปิดบริการในรูปแบบร้านอาหารตามมาตรการที่กำหนดอยู่ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบปรับแนวทางการจัดการในส่วนของผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากเดิมให้กักตัวอยู่ที่บ้าน 7 วัน และสามารถเดินทางออกนอกบ้านโดยสังเกตอาการอีก 3 วัน ปรับเป็นให้กักตัว 5 วัน และสังเกตอาการ 5 วัน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขสำหรับการเปิดภาคเรียนเดือน พ.ค.65 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. เน้นย้ำอยากให้มีการเปิดเรียนออนไซต์แบบปลอดภัย โดยให้ขอให้สร้างรอบรู้ให้กับผู้ปกครอง นักเรียน และบุคลากร เพิ่มมาตรการในการเข้ารับวัคซีน ทั้งผู้ปกครอง นักเรียน และบุคลากร ทั้งนี้ ข้อมูลการฉีดวัคซีนปัจจุบัน เด็กที่มีอายุ 12-17 ปี มีจำนวนเป้าหมาย 4.7 ล้านคน ขณะนี้ฉีดเข็มที่หนึ่งไปแล้ว 4.3 ล้านคน เข็มที่สอง 3.9 ล้านคน เข็มที่สาม 7.7 หมื่นคน ขณะที่เด็กอายุ 5-11 ปี มีเป้าหมายการฉีดวัคซีน 5.1 ล้าน ฉีดเข็มที่หนึ่งไปเพียง 2.5 ล้านคน เข็มที่สองเพียง 2.6 แสนคน และยังไม่มีผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่สามเลย จึงต้องมีการเร่งรัดให้มีการฉีดเข็มกระตุ้นให้กับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา และฉีดวัคซีนให้เด็กประถมศึกษา
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 ถึงปัจจุบัน มีถึง 6.4 แสนคน อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศถือว่าน้อยกว่าการติดเชื้อในประเทศไทย จึงมีการหารือว่าจะทำอย่างไรให้มีปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดรายได้เข้าประเทศ ที่ประชุมจึงเห็นชอบปรับมาตรการการเดินทางเข้าประเทศ โดยไม่ต้องมีการเทสต์แอนด์โก แต่จะปรับวิธีการเข้าประเทศเป็น 2 รูปแบบ คือ สำหรับผู้ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์จะต้องลงทะเบียนผ่านระบบไทยแลนด์พาสเพื่อแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน ต้องมีวงเงินประกันจำนวน 1 หมื่นดอลลาร์ เมื่อเดินทางมาถึงไทยไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพียงแต่แนะนำให้ตรวจเอทีเคด้วยตัวเองระหว่างพำนัก ถ้าติดเชื้อให้เข้ารักษาตามที่มีประกัน ส่วนกรณีไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับไม่ครบเกณฑ์ สามารถยื่นหลักฐานตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางถึงประเทศไทย และลงทะเบียนผ่านระบบไทยแลนด์พาสก็สามารถเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยได้ มีวงเงินประกัน 1 หมื่นดอลลาร์เช่นเดียวกับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบเกณฑ์ แต่กรณีไม่ได้ตรวจ RT-PCR มาก่อน ต้องกักตัวในสถานกักตัวใน AQ โดยตรวจ RT-PCR วันที่ 4-5 และแนะนำให้ตรวจเอทีเคด้วยตัวเองระหว่างพำนัก
ขณะที่ผู้ที่เดินทางมาทางบก อนุญาตเดินทางเข้าประเทศเฉพาะจุดผ่านแดนถาวรเท่านั้น โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนครบเกณฑ์แล้ว สามารถแสดงหลักฐานและเข้าประเทศได้ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือได้วัคซีนไม่ครบ ให้กักตัวที่ SQ จำนวน 5 วัน ทั้งนี้ จะเริ่มใช้มาตรการดังกล่าวในวันที่ 1 พ.ค.65
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี