นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุเนื้อหาว่า วันนี้ ผมขอเขียนถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่ช่วงโมงนี้ว่า แดดประเทศไทยแรงแล้ว การเมืองในประเทศไทยยิ่งร้อนแรงกว่าเป็นพันเท่า ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลก็ดีเพราะ ถ้านับปีรัฐบาลในช่วง 4 ปีตามวาระ ปีนี้ก็คือปีสุดท้ายแล้ว ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 จะมีพระราชกฤษฎีกาเปิดสมัยประชุม ดังนั้น สภาก็จะมีกฎหมายสำคัญเข้า ถ้าไม่ผ่านรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือ ยุบสภา ไหนจะยังมีเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจตามญัตติมาตรา 151 ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดไว้สอยคางรัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรี ผมจึงบอกเลยว่าปกติเงื่อนไขการบริหารการเมือง คือ นายกรัฐมนตรี จะมีอำนาจในการปรับ ครม เพื่อเรียกประสิทธิภาพและประสิทธิผลกู้ศรัทธาจากประชาชน จะเห็นได้ว่า ทำไมในอดีตบางรัฐบาลจะปรับ ครม ทุก 5 เดือน และพรรคการเมืองดังกล่าวถึงแม้โดนยุบพรรคไปแล้วปัจจุบันก็ยังได้คะแนนความนิยมสูงอยู่มาถึงปัจจุบัน นั้นคือ สิ่งที่ประชาชนเห็น
วันนี้ข่าว บิ๊กตู่ กับ บิ๊กป้อม สื่อมวลชนพยายามทำข่าวนำเสนอให้เห็นถึงรอยร้าวร้อยแยกว่า 2 ป จะแยกจากกัน บางคนว่า จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่... ผมมั่นใจว่า 2 ป ไม่ว่า จะเป็นพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะไม่เดินหนีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพราะในประวัติศาสตร์อดีตมีให้เห็นแล้ว ผมมั่นใจว่าทั้ง 2 บิ๊กจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างในอดีตแน่นอน
ผมขอพาเพื่อนๆพี่ย้อนไปสมัย พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอกชาติชายขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 2 สามารถนำพรรคชาติไทย ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งในปี พ.ศ. 2531 ในชั้นต้นมีการทาบทาม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเป็นสมัยที่ 4 แต่พลเอกเปรมปฏิเสธ และประกาศวางมือทางการเมือง พลเอกชาติชายจึงได้รับการสนับสนุน ให้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 17 ของประเทศไทย พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง มีการปรับคณะรัฐมนตรี 1 ครั้งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ได้ดำรงตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นระยะเวลารวมประมาณ 2 ปีครึ่ง โดยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ บริหารประเทศจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ก็ถูกยึดอำนาจการปกครองโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ภายใต้การนำของ พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ. สุจินดา คราประยูร พล.อ.อ. เกษตร โรจนนิล และพล.อ. อิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่ต่อมานำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. 2535 ภายหลังถูกรัฐประหารโดยคณะ รสช. พลเอกชาติชายได้เดินทางไปพำนักอยู่ในอังกฤษระยะหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย และก่อตั้ง พรรคชาติพัฒนา ขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนแรก เพราะเชื่อคนใกล้ชิด ซึ่งต่อมาได้นำพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 โดย พลเอกชาติชายชนะเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นการเริ่มต้นบทบาททางการเมืองใหม่อีกครั้ง แต่ถือว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะ ทำให้พรรคชาติไทย ในขณะนั้นไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ เพราะมีเสียงแพ้พรรคประชาธิปัตย์ เพราะผลการเลือกตั้งในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2535 ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน ส.ส. 79 คน เฉือนชนะพรรคชาติไทยไป ที่ได้ ส.ส. 77 คน ไป 2 เสียง พรรคชาติพัฒนา ซึ่งแยกตัวจากพรรคชาติไทย และมี พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้า ได้ ส.ส. 60 คน พรรคความหวังใหม่ของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ ส.ส. 51 คน และพรรคพลังธรรมได้ ส.ส. 47 คน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้า พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ไม่เชื่อคนใกล้ชิดไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ พรรคชาติไทยอาจจะได้เสียง ( พรรคชาติไทย+ ชาติพัฒนา) 77 + 60 = 137 คน ก็ตั้งรัฐบาลได้สบายอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ น่าจะรู้ดี และ มีข้อมูลแม่นยำอย่างแน่นอน
ดังนั้น ผมจึงหยิบยกข้อมูลประวัติศาสตร์ในอดีตมาให้เพื่อนๆได้เข้าใจที่ถูกต้อง ผมมั่นใจว่า ถ้าย้อนอดีตได้ พลเอกชาติชาย คงไม่เชื่อคนใกล้ชิดตั้งพรรคการเมืองอย่างแน่นอน เพราะ โดยธรรมชาติทางการเมือง ทำการเมืองต้องใหญ่ขึ้นหาใช่ว่าเล็กลงเรื่อยๆ
ผมเลยมั่นใจว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้อง ใช้และเคารพพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เหมือนน้องรักพี่ เฉกเช่น กวนอู รักและเคารพเล่าปี่ ไม่แยกทางกัน แม้จะเสียเมือง ก็ไม่คิดจะไปอยู่กับโจโฉ หรือ ซุนกวน มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะแยก กวนอู กับ เล่าปี่ออกจากกัน
ผมจึงมั่นใจว่า ถ้า 2 ป รักกัน ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ถ้าแยกจากกัน อนาคตไม่ต้องทำนาย เพราะ ประวัติศาสตร์มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี