รัฐสภาถกร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มีมติเสียงข้างมากโหวตประเด็นสำคัญไม่เอาด้วยตัดคำว่า "กฎหมายอื่น" ในมาตรา 6 ทิ้ง ด้าน ‘คำนูณ-วิชา’ กังวลปิดช่องกม.สอบสวนคดีอาญา แจ้งเกิดในอนาคต หวั่นเหมือนเคสคดีบอส ขณะที่ ‘พล.ต.อ.ชัชวาลย์’ อ้างตร.ใช้อำนาจตามป.วิอาญาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเขียนให้รก ปล่อยไว้ก็เป็นหัวเชื้อทำลายองค์กรสีกาดี ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ล่าสุดผ่านแล้ว 11 มาตรา นัดประชุมต่อพรุ่งนี้
9 มิ.ย.2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ... วาระสอง หลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาแล้วเสร็จ โดยมีการพิจารณาเรียงรายมาตรา มีสมาชิกที่ขอสงวนคำแปรญัตติอภิปราย แต่เสียงส่วนใหญ่เป็นไปตามการแก้ไขเพิ่มเติมของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจคือมาตรา 6 บัญญัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่ต่างๆ โดยใน (2) มีการหน้าที่ดูแลควบคุมและกำกับการปฎิบัติงานของข้าราชการตำรวจซึ่งปฎิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น โดยกรรมาธิการเสียงข้างมากได้ตัดคำว่า "กฏหมายอื่น" ออกไป
ทั้งนี้ ได้มีกรรมาธิการเสียงข้างน้อยและสมาชิกขอสงวนคำแปรญัตติ และอภิปรายไม่เห็นด้วย และมองว่าจะเป็นการสร้างปัญหาในอนาคต อาทิ นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) เสนอให้คงไว้ตามร่างเดิม เพราะในอนาคตจะมีการเสนอร่างพ.ร.บ. การสอบสวนคดีความอาญา หรือกฎหมายพวงกับร่างพรบ.ตำรวจแห่งชาติฉบับนี้เข้ามา เพื่อให้ตอบโจทย์ต่อการปฏิรูปตำรวจ และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญกำหนด โดยมีสาระคือการออกกฎหมายเฉพาะเพื่อบังคับการทำงานสอบสวนของพนักงาน โดยกำหนดกฎเกณฑ์การสอบสวน และเปิดโอกาสให้พนักงานอัยการเข้ามาร่วมในการสอบสวนในคดีสำคัญ
"ที่ผ่านมาสังคมได้เรียกร้องให้มีการทำร่างนี้ออกมา ยกตัวอย่างปัญหาจากคดี บอส อยู่วิทยา แม้จะบอกว่าการตัดออกจะไม่กระทบ หากรัฐบาลจะเสนอร่างพรบ.สอบสวนคดีอาญาเข้ามาในอนาคต จะมีช่องทางใน(5) (ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกําหนดให้เป็นหน้าที่และอํานาจของข้าราชการตํารวจ หรือสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ) รองรับอยู่ก็ตาม แต่เกรงว่าหากตัดออกไปอาจจะมีการตีความว่า รัฐสภาไม่ต้องการร่างพ.ร.บ. พิจารณาคดีอาญาที่รัฐบาลจะส่งเข้ามาตามหลังอีกแล้ว เพราะเข้าข่ายเป็น"กฎหมายอื่น " จึงไม่รับร่างนี้เข้ามาเพื่อให้สอดคล้องมติรัฐสภา แต่หากจะคงไว้ตามร่างเดิมก็ไม่ได้ผูกมัดรัฐบาลแต่อย่างใด ผมจึงเห็นว่าควรเขียนเปิดกว้างไว้ดีกว่าไม่เสียหาย เพราะยังมีกฎหมายอื่นอีกที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของรัฐสภา เช่น ร่างพ.ร.บ.ป้องกันการกระทำความผิดซ้ำคดีทางเพศ ที่วุฒิสภากำลังพิจารณาอยู่” นายคำนูณ กล่าว
ด้านนายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป.ป.ช. ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายสนับสนุนให้คงคำว่า "กฎหมายอื่น" ไว้ในมาตรานี้ เป็นเจตนารมณ์ของผู้ร่างและถือว่าเข้าสู่รัฐสภาด้วยถ้อยคำชัดเจนว่านอกเหนือจากการดูแลควบคุม และกำกับปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาและกฎหมายอื่น การตีความตามเจตนารมณ์หมายถึงสิ่งที่ตามมาที่อาจจะมีในอนาคต เป็นสิ่งที่ศาลฏีกายึดถือหลักมาตลอด หากตัดทิ้งไปเท่ากับทำลายเจตนารมณ์ของผู้ร่างที่ต้องการให้ร่างพ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา ที่มาคู่เคียงกับร่างพ.ร.บ.ตำรวจ ที่ต้องไปด้วยกัน แต่รัฐบาลมีการเสนอร่างนี้เข้ามาก่อน
"ในฐานะที่ผมเคยเป็นประธานกรรมการสอบคดีบอส อยู่วิทยา เราได้เสนอนายกฯว่าเราเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และร่างพ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความสำคัญ และมีผลถึงประชาชน นอกเหนือจากองค์กรตำรวจ ผลดีกับประชาชนคือจะเกิดความเชื่อมั่น เชื่อถือไว้วางใจในองค์กรตำรวจ และการทำงานในระบบการสอบสวน "นายวิชา กล่าว
ขณะที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หนึ่งในสมาชิกที่สงวนคำแปรญัตติ อภิปรายว่า การจะให้นายกฯมาบังคับบัญชาตำรวจเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง หลักสำคัญของตำรวจต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง มีการกระจายอำนาจ โปร่งใส และลดความเป็นทหาร แต่กฎหมายนี้ระบุให้นายกฯซึ่งเป็นฝ่ายบริหารฝักฝ่ายการเมืองมาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตำรวจ หากนายกฯ หรือคนใกล้ชิดนายกฯกระทำผิด ถามว่าตำรวจจะกล้าดำเนินคดีหรือไม่ จึงเห็นว่าไม่มีความเป็นกลางอย่างชัดเจน
"ในมาตรา 6 นี้ บ่งบอกว่าไม่ได้มีการปฏิรูปอะไรเลย เป็นการรวบอำนาจส่วนกลางใหญ่โตไปสู่นายกฯ หากเป็นช้างก็เป็นช้างที่เป็นมะเร็ง ไม่สามารถรักษาใครได้ ตำรวจไม่สามารถยืนข้างประชาชนได้เพราะไม่ได้ยึดโยงอะไรกับประชาชน การแต่งตั้งโยกย้ายต้องไปที่คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(กตช.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(กตร.) ก็มีนายกฯเป็นประธานเหมือนกัน เอาทุกเรื่อง กินรวบทุกอย่าง ผมมองว่าไม่ใช่การปฏิรูปประเทศ แต่เป็นการปฏิรวบประเทศ คือรวบทุกอย่างไปสู่นายกฯ แล้วตำรวจจะเป็นอิสระได้อย่างไร ไม่เคยนึกถึง หรืออิงประชาชนแล้วจะรับใช้ประชาชนได้อย่างไร ถือว่าผิดพลาดมากที่โอนให้นายกฯเช่นนี้"
ด้านพล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร ส.ว. รองประธานกมธ.วิสามัญ ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงว่า สมาชิกหลายคนพยายามอภิปรายโน้มน้าวว่า หากตัดคำว่า"กฎหมายอื่น" แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ทำงาน ตนชี้แจงว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบัญญัติไว้เพิ่มเติมว่า ต้องมีอำนาจตามกฎหมายอื่นอีก เหตุที่ต้องตัดออกเพราะกฎหมายนี้ไม่ได้บอกว่าเอาไว้แล้วมีประโยชน์อย่างไร หรือตัดแล้วเสียอย่างไร หรือบัญญัติแล้วเป็นการปฏิรูปตำรวจ ตนได้ถามในที่ประชุมแล้วว่าคำนี้หมายถึงอะไร มีการตอบชัดว่าหมายถึงร่างพ.ร.บ.สอบสวนคดีอาญา และมาตรา6 นี้นำมาจากพ.ร.บ.ตำรวจปี 47 ตำรวจทำงานได้มาโดยตลอดว่า ตามป.วิอาญา ไม่ได้มีการเขียนกฎหมายอื่นเพิ่มเติมเลย ก็ไม่เคยมีปัญหา แต่ ร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติมีการเติม "และกฎหมายอื่น" เข้าไป วัตถุประสงค์เดียวคือเพื่อสื่อไปสู่ร่างพ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญา ซึ่งตนคัดค้านร่างนี้มาโดยตลอด เพราะไม่ใช่การปฏิรูปตำรวจ แต่เป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นเชื้อ หรือหัวไฟ คือการเอากฎหมายเล็กๆมาใส่ไว้ในร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ เพื่อโยงกับเนื้อในอีกหลายมาตราที่เกี่ยวข้อง
"ที่ถามว่า หากใส่ไว้จะเสียหายอะไร ผมตอบเลยว่าเสียแน่นอน เพราะมันเป็นหัวเชื้อที่จะนำไปสู่การทำลายองค์กรตำรวจ จึงจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายมากมาย มีแต่เสียไม่มีได้ ขอย้ำว่าไม่ต้องหาวงเรามีป.วิอาญาให้ตำรวจทำงานได้ครอบคลุมอยู่แล้ว ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้ ไม่ได้ใช้กฎหมายอื่นเลย" พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าว
พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าวว่า การที่ตนบอกว่าร่างพ.ร.บ.สืบสวนคดีอาญา ไม่ใช่การปฏิรูปตำรวจ เพราะในตัวร่างมีการอ้างว่าเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่เรามีมติตัดออกในหลักการและเหตุผลไปแล้ว ตนไม่ได้ค้านกับการมีกฎหมายฉบับนี้ แต่ต้องมีความเป็นกลางและใช้กับพนักงานสอบสวนทั้งระบบในกระบวนการยุติธรรม ต้นทางกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่ตำรวจอย่างเดียว แต่เริ่มจากหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นหากจะออกกฎหมายพิเศษขึ้นมาต้องหมายถึงพนักงานสอบสวนทั้งหมดที่มีอยู่ ทั้งฝ่ายปกครอง อัยการและ ฝ่ายอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในร่างพ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญา กลับนิยามว่า "พนักงานสอบสวน"หมายถึงพนักงานสอบสวนตามป.วิอาญา เฉพาะที่เป็นข้าราชการตำรวจ จึงไม่ใช่กฎหมายใช้ทั้งระบบ หากจะเสนอเข้ามาตนไม่ขัดข้องแต่ควรร่างกฎหมายใหม่ ให้มีความเป็นกลาง และยังให้อำนาจการสอบสวนอยู่กับรองสารวัตรขึ้นไป เท่ากับตัดอำนาจการสอบสวนของตำรวจสายงานอื่นที่มีออยู่ตามป.วิอาญา
ขณะที่นายคำนูณ ลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งว่า ตนเห็นด้วยว่าร่างพ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญาออกแบบมาพิเศษเพื่อใช้บังคับกับการสอบสวนของตำรวจเท่านั้น โดยผู้ร่างต้องการแก้ปัญหาการสอบสวนของตำรวจในบางคดีที่เป็นปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน และเป็นการเปิดประเด็นเอาไว้หากองค์กรไหนเห็นมีประโยชน์ก็นำไปใช้ได้ และยังให้มีการประเมินผลหลังมีการใช้ไปแล้ว ซึ่งเหมือนเป็นกับใช้ตำรวจเป็นหนูลองยา แต่เป็นการเริ่มแก้ไขและปรับปรุงจากงานสอบสวนที่เป็นส่วนใหญ่เสียก่อน ตนจึงไม่สบายใจและไม่อยากได้ยินคำว่า ทำลายองค์กรตำรวจ หรือ ตัดไฟแต่ต้นลม ซ่อนเร้น แต่เป็นการมุมมองที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มีมติเห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก 42 เสียง ไม่เห็นด้วย 430 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง ไม่ลงคะแนน1 เสียง ซึ่งหมายความว่าเสียงส่วนใหญ่ต้องการให้คงไว้คำว่า "และกฎหมายอื่น" ในร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติเหมือนเดิม
จนกระทั่ง 19.14 น. หลังได้ใช้เวลาพิจารณา เกือบ 8 ชั่วโมง สามารถผ่านการพิจารณาไปได้ทั้งสิ้น 11 มาตรา จากทั้งหมด 172 มาตรา โดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับบททั่วไป อาทิ การแบ่งส่วนราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) การกำหนดเป้าหมายการจัดระเบียบสตช. ให้สัมฤทธิ์ผลต่อภารกิจ ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า การกำหนดวัน เวลา ทำงาน วันหยุดตามประเพณี วันหยุดราชการประจำปี การจัดระบบบริหาร การปฏิบัติงานด้านต่างๆ รวมถึงคำนิยาม ทั้งนี้นายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้สั่งปิดประชุม และนัดพิจารณา ต่อวันที่ 10 มิ.ย. เวลา 09.00 น.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี