ในที่สุดผ่านพ้น “ด่านแรก” ไปแบบเรียบร้อย “โรงเรียนลุงตู่”  ผลการลงมติในร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในมาตรา 23 แก้ไขมาตรา 128  เกี่ยวกับวิธีการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อหรือ “ปาร์ตี้ลิสต์” ที่เถียงกันมาตลอดสัปดาห์จะใช้ 100 หาร หรือ 500 หาร 

เมื่อที่ประชุมรัฐสภา  6 กรกฎาคม เคาะลงมติไม่เห็นด้วยกับมาตรา 23 เรื่องการใช้สูตร 100 หาร  ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตามเนื้อหาที่ กมธ. เสียงข้างมากเสนอมา ฉลุยไปด้วยคะแนน 392 ต่อ160 งดออกเสียง 23 ไม่ลงคะแนน 2

คีย์แมนรวมพลัง “เป็นปี่เป็นขลุ่ย” เหมือนขานรับเสียงจาก “ครม.วงเล็ก” ก่อนหน้าหนึ่งวัน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปิดห้องระหว่างพักเบรกประชุม ครม. คุยกับ “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” ในส่วนพรรคพลังประชารัฐมีพี่ใหญ่3ป. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นำทีมหนีบชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ,สุชาติ ชมกลิ่น และอิทธพล คุณปลื้ม จูงมือพรรคภูมิใจไทยมี “หัวหน้าหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล ,ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ขณะที่ค่ายเก่าแก่พรรคประชาธิปัตย์ มีเฉลิมชัย ศรีอ่อน และสาธิต ปิตุเตชะ รวมถึงพรรคขนาดกลางอย่าง ชาติไทยพัฒนามี วราวุฒิ ศิลปอาชา เข้าร่วมวงถกแบบ “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย” เพื่อกำหนดทิศทางในการโหวตตามรูปแบบประชาธิปไตยไทย 

ก่อนเคาะสูตรคำนวณ “ปาร์ตี้ลิสต์” เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะ “หนุนสูตรหาร 500” เว้นก็แต่ “บิ๊กป้อม” ที่อ้ำอึ้งเสียงเบ๊าเบาอยู่คนเดียวจะเอา “สูตรหาร 100”  ด้วยเหตุผลแบบแอบหวังลึกๆว่า “พลังประชารัฐ” จะพุ่งทะยานเป็นพรรคขนาดใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าฟาดฟันกับ “พรรคเพื่อไทย” ที่ประกาศกร้าว “แลนด์สไลด์” ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

 ผสมโรงนายใหญ่ “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร “ผู้คิดเกมใหม่คือผู้ชนะ” ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ขยับอุ้ม “อุ๊งอิ๊ง” แพรทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็ก เข้าแทรกซึมนั่ง “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” พรรคในรีโมท

คลี่เงื่อนไข “กติกาการเมือง” ข้อแตกต่างของสูตรหาร 100 และหาร 500 แบบฉบับรวบรัด สรุปการ “หาร 100”  คิดเฉพาะส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่มี 100 คน จาก ส.ส. ทั้งสองระบบคือ “บัญชีรายชื่อและแบ่งเขต” ที่มี 400 คน รวมทั้งหมด 500 คน โดยเอาคะแนนเลือกตั้งทั้งประเทศมาหารด้วย 100 ซึ่งจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดจะเป็นคะแนนประมาณ 3.7 แสนคะแนนต่อ1ส.ส.บัญชีรายชื่อ

สูตร “หาร 500” จะคิด “ส.ส.พึงมี” บวกกับส.ส.บัญชีรายชื่อ และนำคะแนนพรรคการเมืองทั่วประเทศ มาหารด้วยจำนวน ส.ส. ทั้งสภาฯคือ 500 ออกมาเป็นตัวเลขประมาณ 7หมื่นกว่าเสียง ต่อ 1 ส.ส.พึงมี

แม้สูตรนี้จะทำให้ “บิ๊กตู่” ปวดหัวตลอดรายทางกับบรรดา “พรรคเล็ก” ที่ได้อานิสงค์หลุดรอดเข้ามานับสิบๆพรรค เมื่อได้แปะป้ายเข้าสภาเป็น “ท่านผู้ทรงเกียรติ” ก็เล่นแง่อัพราคา ดึงหน้า เล่นตัว  ย่อมดีกว่าไปแพ้ “แลนด์สไลด์” จนหมดรูป

แผนเหมือนเกมปฏิบัติการ “ซื้อใจแลกมือเธอ”  ยึดตามปฏิทินรัฐสภาคิวพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ต้องจัดการให้เข้าที่ก่อน เพื่อกำจัดขวากหนามอุปสรรคใหญ่ คือ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่จ่อคิวรออยู่ในช่วงวันที่19-22 กรกฎาคมนี้แล้วโหวตลงมติในวันที่ 23 ปิดฉากศึกซักฟอก

ไม่แปลกอะไรการประเคน “สูตรหาร 500”  จึงคลอดออกมาในห้วงเวลาทั้ง “บิ๊กตู่ และรัฐมนตรี” รวม 11คน  ก็พอจะวางใจได้ระดับหนึ่งในศึกซักฟอก  เสียงใครจะมากน้อยค่อยไปว่ากัน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะโดนคว่ำกลางสภา แต่หากหวยไปออกที่ “สูตรหาร100” ทางข้างหน้าคงมืดมนแน่ เหล่าบรรดาพรรคเล็ก น่าจะตัดเยื่อใยจนขาดสะบั้นอยากประสานเป็นเนื้อเดียวกันดั้งเดิม   

เมื่อเงื่อนไขเวลาถูกกำหนดเอาไว้ในการพิจารณา “ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ”  ที่ยังไม่เสร็จสิ้น ยังคงค้างอยู่ในวาระที่ 2 นัดหมายพิจารณาต่อในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงหลังปิดฉากจบศึกซักฟอก ต้องพิจารณากันอีกครั้งเข้าทำนอง “หมูไปไก่มา” ดีลจึงต้องเกิดขึ้นอีกรอบ

“ตัวแปร”  เจ้าปัญหาอย่าง “พรรคเศรษฐกิจไทย” ที่มี “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” กุมบังเหียน เล่นบทการเมืองตีสองหน้า ไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าจะเป็น “เทวาหรือซาตาน” เอ่ยปากหนุนพี่ป้อมฝั่งรัฐบาล สลับหน้าแอบสมานเยื่อใย “เพื่อไทย” ในฐานะ “ลูกหม้อเก่า” เกมนี้ดูไม่ยาก รอบทสรุปตอนจบย่อมเคียงข้าง “ผู้ชนะ”

“เจ้ากรรมนายเวร” อย่างพรรค “เพื่อไทย” ออกมาโวยวายสูตรหาร 500 หวั่นจะซ้ำรอยเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ไร้ส.ส.บัญชีรายชื่อ ภาพหลอกหลอนดับฝันแลนด์สไลด์ ต้องดิ้นสู้เฮือกสุดท้ายยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความตามช่องทางระบอบประชาธิปไตย

กลยุทธ์การศึกกฎกติกาเลือกตั้งย่อมไม่มี “ใครยอมใคร” ต้องงัดออกมาสู้ยิบตา ขยับเกมพลาดพ่ายศึกเลือกตั้งใหญ่แลนด์สไลด์อาจเป็นแลนด์ไถล ก่อนลงสนามแข่งย่อมเกิดขึ้นได้นับจากนี้ไป...!!!

ทีมข่าวการเมือง   รายงาน