การลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งพรรคฝ่ายค้านเสนอ ได้สิ้นสุดลงเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
เรื่องของการแจกกล้วย จึงดังขึ้นมาอย่างชัดเจนมากขึ้นเพราะมีการเอาสมุดเงินฝากของธนาคารมาออกโทรทัศน์และลงหนังสือพิมพ์ให้เห็นกันชัดๆ ว่า มีการจ่ายเงินกันอย่างไร จ่ายเป็นรายเดือนก็มี จ่ายกันเป็นครั้งคราวเพื่อให้ลงคะแนนสนับสนุนรัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) ก็มี
ตามตำราการสอนระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก (ที่มีสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเป็นโต้โผใหญ่) บอกว่าประชาธิปไตยมี 3 แบบ คือ
1.ประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy) เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์
โดยประธานาธิบดีครองตำแหน่งควบ 2 อย่าง ทั้งประมุขของรัฐและนายกรัฐมนตรี (หัวหน้าอำนาจบริหาร)
2.ประชาธิปไตยแบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential Democracy) เช่น ฝรั่งเศส รัสเซีย
โดยประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศและเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารบางส่วน และเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและครม. มาช่วยใช้อำนาจบริหาร
3.ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น มาเลเซีย โดยมีกษัตริย์ จักรพรรดิ พระราชาธิบดีแห่งรัฐ เป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของฝ่ายนิติบัญญัติ (สส.,สว.)
แต่ก่อนร่อนชะไรมา ประเทศไทยของเราก็ใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (แบบที่ 3) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ในปัจจุบัน ได้สร้างระบอบประชาธิปไตยแบบที่ 4 ขึ้นมา คือ
4.ประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย (Banana Distribution Democracy) ซึ่งมีองค์พระประมุขที่อยู่เหนือการเมือง มีฝ่ายบริหารที่แยกได้เป็น 4.1 ฝ่ายจัดหากล้วยไว้แจก 4.2 ฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน
ระบอบประชาธิปไตยแบบแจกกล้วยนี้ มีมาช้านานแล้วในประเทศสารขัณฑ์ บางทีก็แจกกันเป็นฟ่อนๆ ในห้องน้ำ ก่อนการลงมติบ้าง มีการโอนเข้าธนาคารเป็นครั้งๆ บ้าง และโอนเป็นประจำรายเดือนบ้าง ดังที่ถูกเอามาแฉทั้งในโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และ Social Media หลังการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2565 นี้
แนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ก็คือ
1.ใครอยากกุมอำนาจบริหาร (คือ เป็นรัฐบาลผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย) ก็ต้องตั้งพรรคการเมืองแล้วก็ต้องมอบหมายให้ใครคนหนึ่งเป็นผู้ปลูกกล้วย (หาเงินเข้าพรรค) ซึ่งอาจจะเป็นหัวหน้าพรรคเอง หรือเลขาธิการพรรค
2.ตอนเลือกตั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ต้องหาคนที่น่าจะได้รับเลือกในเขตนั้นๆ มาอยู่ในพรรค โดยการแจกกล้วยหลายสิบหรือเป็นร้อยๆ หวี เพื่อช่วยในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่ก็มีพรรคดีๆ บางพรรค ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องลงทุนเอง เพราะพรรคไม่มีนโยบาย
3.พอเลือกตั้งเสร็จ ก็ต้องแย่งกันเป็นรัฐบาล (หรือแย่งกันเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย) ก็ต้องเจรจาต่อรองกับพรรคที่จะเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาล พรรคใดจะเอากี่เก้าอี้ เก้าอี้ใดบ้าง ว่าการหรือช่วยว่าการ และยังต้องเอากล้วยไปแจกพรรคเล็กเป็นเครือๆ เพื่อมาสนับสนุนพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
4.ในระบอบประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย (Banana Distribution Democracy) นี้ เมื่อได้เป็นรัฐบาล และกุมอำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทยได้แล้ว ก็ต้องเริ่มหากล้วยมาสะสมไว้ เพื่อเอาไว้แจกเมื่อจำเป็น ไม่ให้แตกแถวบ้าง ไม่ให้ถอนตัวบ้าง เพื่อให้โหวตรับรอง พ.ร.บ.งบประมาณบ้าง เพื่อให้โหวตไว้วางใจบ้าง
วิธีหากล้วยก็ต้องใช้อำนาจบริหารนี่แหละหา คิดหักเปอร์เซ็นต์มากๆ จากผู้รับเหมาบ้าง ขอเป็นก้อนจากผู้ได้รับสัมปทานหรือใบอนุญาตบ้าง ให้ข้าราชการประจำหามาให้บ้าง การใช้อำนาจบริหารแบบนี้ จึงกลายเป็นธุรกิจการเมือง หรือ Money Politics ไป ยังนำแต่ความพินาศและความยากจนมาสู่ประเทศและพลเมือง
5.เมื่อระบบสะสมกล้วยและแจกกล้วยเลยเถิดมากไป ทำความเสียหายให้กับประเทศชาตินับหมื่นนับแสนล้าน ก่อนที่บ้านเมืองจะพินาศ ทหารก็ต้องออกมาทำการปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศไว้ ดังที่เราจะเห็นว่ามีการปฏิวัติรัฐประหารกันมาแล้วถึง 13 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 20 ฉบับ
6.แต่เมื่อปฏิวัติรัฐประหารกันเสร็จ ทำรัฐธรรมนูญใหม่ออกมาทีใด ก็ต้องเขียนรัฐธรรมนูญให้อำนาจบริหารมีที่มาจากฝ่ายนิติบัญญัติ (สส.,สว.) ทุกครั้ง ซึ่งประเทศไทยก็ต้องกลายเป็นประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยแบบแจกกล้วยไปทุกที เพราะผู้ทำปฏิวัติและรัฐประหารก็ไม่ทราบว่าจะไปหา “ที่มา” แบบใหม่ของฝ่ายบริหารจากไหน ส่วนนักวิชาการที่มาร่างรัฐธรรมนูญ ก็ทำตามตำราที่เรียนมาจากเมืองนอกมาเท่านั้น ไม่ได้ค้นคิดหา “ที่มา” ของอำนาจบริหารเสียใหม่
7.พอเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถึงผู้ทำปฏิวัติรัฐประหารจะเขียนรัฐธรรมนูญให้อยู่ในอำนาจได้นานๆ (8 ปีหรือมากกว่านั้น) ก็ยังต้องกลับมาใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย อยู่นั่นเอง เพราะยังใช้ที่มา ของผู้ใช้อำนาจบริหาร ว่ามาจากฝ่ายนิติบัญญัติ อยู่นั่นเอง ซึ่งก็คือ ประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย จนแล้วจนรอด
คนไทยไม่คิดอ่านหา “ที่มา” ของผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย ที่ดีกว่านี้แล้วหรือ หรือจะให้เป็นไปเช่นนี้ จนกว่าประเทศไทยจะล่มสลายไปด้วย การทุจริตโกงกิน (corruption), การเล่นพรรคเล่นพวก (Crony System) ธุรกิจการเมือง (Money Politics)
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รักเกียรติ สุขธนะ ผู้เป็น สส. จังหวัดอุดรธานี 7 สมัย เป็นรัฐมนตรี 5 ครั้ง และถูกศาลตัดสินจำคุก 15 ปี จากผลการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์ขณะพ้นโทษ และกำลังเป็นพระภิกษุ ว่า “สมัยมาเล่นการเมือง ก็มาด้วยอุดมคติ แต่สภาพของการเมือง (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือ Parliamentarian Democracy) ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ทำให้ต้องหาเงินมาเลี้ยงดู สส. ในมุ้งของตน จากการเข้าสู่การเมืองด้วยอุดมคติ ก็กลายเป็นเริ่มเข้าสู่ด้านมืด ต้องหาเงินมาเพื่อมีตำแหน่ง และอำนาจสูงขึ้น” สส. แทนทุกคนจะ “เปรียบเสมือนมาสว่าง แต่ช่วงกลางมืด เพราะสภาพการเมืองที่ต้องหาเงินจากอำนาจทางการเมือง มาดูแลมุ้ง หรือพยุงมือที่ยกสนับสนุนตำแหน่งรัฐมนตรีให้”
พระรักเกียรติ รักขิตะ ธัมโม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ว่า “การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร และได้รับการเลือกตั้ง ไต่เต้าทางการเมืองประสบความสำเร็จ และเข้ามาเล่นการเมืองก็ดูรุ่นพี่ ระบบการเมืองไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ ผู้ใหญ่ทางเมืองอุปถัมภ์ผู้น้อย นักการเมืองใหม่ๆ เข้ามารับการอุปถัมภ์จากเขา ที่สำคัญมาดูว่าเขาต้องทำอย่างไรจึงจะได้เป็น สส. ได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องมีเงิน ความจำเป็นการเข้าสู่ตำแหน่งทางเมืองก็คือการใช้เงิน” พระอาจารย์รักเกียรติ กล่าว
วัฒนธรรมการเมืองทำอุดมการณ์เปลี่ยน
“อาตมาเข้าสู่การเมืองตั้งแต่หนุ่ม เป็นเด็ก เป็นคนมีอุดมการณ์ สมัยเรียนปริญญาตรีก็อยู่ในช่วงเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความเข้มข้น คือ ช่วง 14 ตุลา 16 เรียนจบก็ปี 19 ตอนเรียนถูกปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมือง อยากทำงานการเมืองตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย มีอุดมการณ์ที่ร้อนแรงมาก ใฝ่ฝันมุ่งมั่นอยากเป็นแต่นักการเมือง ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลย” พระอาจารย์รักเกียรติเล่าให้ฟังถึงช่วงที่เป็นนักศึกษา ซึ่งลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น
แต่จากคนที่มีอุดมการณ์แรงกล้า กลับต้องเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเข้าสู่วัฒนธรรมทางการเมือง เข้าสู่วงจรอำนาจทางการเมืองเข้าสู่วงจรอุบาทว์ อุดมการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะเห็นคนที่อยู่ในวงการมาก่อนก็อยากเป็น อยากได้ อยากมีเหมือนเขา นักการเมืองก็ต้องมีมติพรรค ก็ต้องว่าไปตามเขา อุดมการณ์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นอยากได้อยากเป็น ก็ยอมทำทุกอย่าง นักการเมืองส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้”
แต่จนเก้าสิบปีมาแล้ว นับตั้งแต่ปี 2475 ประเทศไทยก็ยังวนเวียนอยู่ในการเมืองแบบที่ท่านรักเกียรติได้กล่าวไว้ จนกลายมาเป็น “ประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย” ที่ยังความเสียหายและการดูถูกดูแคลน มาสู่ประเทศไทยเป็นอันมาก
เราน่าจะช่วยกันคิดหา “ที่มา” ของผู้ใช้บริหารเสียใหม่ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ เช่นในปัจจุบันนี้
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี