‘ก้าวไกล’หงายเงิบ สภาปัดตก‘ร่างพ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ’
4 สิงหาคม 2565 เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. … ที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กับคณะ เป็นผู้เสนอ วาระ 1 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอรับไปพิจารณาก่อนรับหลักการ และได้ส่งคืนสภาให้พิจารณา โดยการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นไปเพื่อแทนที่พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548
นายรังสิมันต์ โรม อภิปรายว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548 ที่บังคับใช้อยู่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน และให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่บังคับใช้ข้อกำหนดที่ออกมาโดยได้รับการละเว้นการตรวจสอบถ่วงดุล ส่งผลให้นายกฯ และ ครม.สามารถประกาศขยายระยะเวลาออกไปโดยไม่ถูกคัดค้าน จึงต้องกำหนดการตรวจสอบให้เป็นตามหลักการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญ เมื่อดูเนื้อหาการพิจารณาของ ครม.จะพบว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงความเห็นจากข้าราชการประจำ ทั้งที่เราได้เคยทำไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเข้าสภาครั้งแรก ส่วน ครม.ที่ขอนำร่างกลับไปพิจารณาก็ไม่มีตรงไหนที่เป็นความเห็นจากนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นผู้ใช้อำนาจบริหารและรับผิดชอบต่อประชาชน แล้วจะไม่ให้บอกว่านี่คือการเตะถ่วงกระบวนการการตรากฎหมายของสภาได้อย่างไร ท่านก็แค่เล่นปาหี่ให้กฎหมายนี้ล่าช้า หน่วยงานที่ออกความเห็นมา ก็สรุปได้ว่า เห็นดีเห็นงามกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เดิม
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นมาก คำถามคือ มีความจำเป็นที่ต้องต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อทั้งทั้งสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหลือความฉุกเฉินอะไรอีกต่อไป หาก พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ไม่เพียงพอทำไมไม่แก้ไขให้ครอบคลุม รัฐบาลมีเวลาเตรียมเรื่องนี้มาอย่างเนิ่นนาน แต่ไม่ทำ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯมีความจริงใจแก้ไขโควิด-19 สิ่งที่ต้องทำในช่วงการแพร่ระบาด คือการสนับสนุนการฉีดวัคซีน และการตรวจคัดกรองอย่างจริงจัง ดังนั้น การยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯต่อไปจึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากรัฐบาลเสพติดอำนาจ จึงยังคงกฎหมายพิเศษฉบับนี้เอาไว้เป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องอำนาจของตัวเอง
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า จากสรุปรายงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยความมั่นคงที่เกี่ยวข้องที่ ครม.แนบมาด้วย คือกฎหมายฉบับนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้เจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติงาน ตนสงสัยว่าการใช้กฎหมายปกติ มีการตรวจสอบถ่วงดุล ทำให้เจ้าหน้าที่ถึงกับหมดความมั่นใจในการทำงานเลยหรือ การที่มีความมั่นใจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯจึงทำให้สถิติการตั้งข้อหากับประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1,400 คน ทั้งที่เกิดการแพร่ระบาดจากการชุมนุมมีน้อยมาก แต่ปัจจุบันการอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯปูพรมหว่านแหได้กลายเป็นประเพณีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไปเรียบร้อยแล้ว
“คนมาชุมนุมใส่หน้ากากป้องกันโรคมิดชิดแค่ไหน ก็ประกาศออกลำโพงขยายเสียงไว้ก่อนว่าฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วเตรียมหยิบปืนกระสุนยางรอยิงต่อเลย บางกรณีไปยื่นจดหมายติดตามนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกอุ้มหายกันไม่กี่คน ตำรวจที่ไปคุมยังเยอะกว่า นี่จึงเป็นความอันตรายของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯฉบับปัจจุบัน ที่ให้อำนาจนายกฯหลายอย่าง โดยที่ไม่ต้องตรวจสอบอะไรเลย และยกเว้นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ที่เกิดความมั่นใจผิดๆ แล้วใช้อำนาจผิดๆ ไปลงไม้ลงมือกับประชาชน เราจึงมีความเห็นว่าการใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นการใช้โดยผิดวัตถุประสงค์ และรู้ว่าการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง แต่สภาไม่สามารถหยุดยั้งการใช้อำนาจที่ผิดแบบนั้นได้ ถึงเวลาแล้วที่จำเป็นต้องเพิ่มอำนาจให้กับสภา เพื่อใช้ควบคุมการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สิ่งที่ตนเสนอผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือการทวงคืนการตรวจสอบถ่วงดุลกลับคืนมา ถ้า พล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีทุกคนมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้คิดหาเศษหาเลยจากอำนาจที่ได้เพิ่มมา ไม่ได้เป็นพวกที่อยากคงอำนาจล้นเกินไว้เพื่อจะได้ดีดนิ้วได้ตามสะดวก ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหวาดกลัวร่างกฎหมายฉบับนี้
ขณะที่ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. อภิปรายว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯฉบับปัจจุบัน เป็น 1 ใน 3 กฎหมายที่ค้ำยันระบอบประยุทธ์ อีก 2 กฎหมายคือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 44 ทั้งนี้ รัฐบาลได้อาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เป็นครั้งที่ 19 ที่จะไปสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2565 ซึ่งตนแน่ใจว่าจะต่อไปเรื่อยๆ จนหมดอายุรัฐบาลนี้ ความจริง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ถูกนำมาอ้างในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้กับเชื้อโรค ทั้งๆ ที่มี พ.ร.ก.โรคติดต่อฯ ซึ่งสามารถนำมาแก้บางมาตราก็สามารถนำใช้ได้แล้ว
ด้านนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า กลไกตามร่าง พ.ร.บ. นี้ มีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพของสถานการณ์ฉุกเฉิน และเห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับปัจจุบันมีความเหมาะสม และเป็นธรรมอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีมาตรการทางกฎหมายที่เบากว่ากฎหมายต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีข้อห่วงกังวลต่อการแก้ไข เพราะสถานการณ์ฉุกเฉินต้องมีความรวดเร็วในการทำให้สถานการณ์คลี่คลายเพื่อไม่ให้กระทบต่อการรักษาประโยชน์ของประเทศ ฉะนั้น จึงเห็นว่ายังไม่ควรรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวและเห็นควรบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯฉบับนี้ต่อไป
ต่อมาที่ประชุมลงมติไม่รับหลักการด้วยคะแนน 169 ต่อ 69 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ซึ่งกว่าจะลงมติได้ ใช้เวลารอสมาชิกแสดงตนเป็นองค์ประชุมกว่า 20 นาที จนในที่สุดครบองค์ประชุม 240 เสียง ซึ่งเกินครึ่งมาเพียง 1 เสียง จากนั้นนายสุชาติได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 16.41 น.
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี