เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ชี้วิกฤตความแตกแยกคนในชุมชน ท้าทายการพัฒนาปชต.ในอนาคต ขณะที่เลขา กกต.ถอดบทเรียนยันกฎระเบียบที่ใช้ในการจัดเลือกตั้งดี แต่มีความซับซ้อนบ้าง พร้อมตั้งเป้าจัดเลือกตั้งใหญ่ให้ดี
เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ รายงานการประเมินผลการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ว่า การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญสุดของระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะประชาธิปไตยแบบตัวแทน กลไกการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือที่ให้อำนาจกับประชาชนในการกำหนดคนที่จะมาเป็นตัวแทนไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือท้องถิ่น ดังนั้นหากสามารถทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นแบบ Free and Fair ทุกคนลงคะแนนบนเสรีภาพทางความคิดปราศจากเงื่อนไข อามิสสินจ้าง มีกลไกควบคุมการปฏิบัติอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม กลไกการตรวจสอบต้องมีประสิทธิภาพที่จะชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งบริสุทธ์ยุติธรรม
"การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นเครื่องมือการสร้างประชาธิปไตยท้องถิ่นเพื่อไปสู่การสร้างประชาธิปไตยระดับชาติ การเลือกตั้งระดับท่องถิ่นเป็นการเลือกตั้งโดยตรง เมื่อพื้นที่เล็ก ความใกล้ชิดพื้นที่ ทำให้การตัดสินใจง่าย ขณะที่อำนาจในการถอดถอนตามกฎหมายยังมีข้อจำกัดทั้งเงื่อนเวลาการดำรงตำแหน่งและจำนวนประชาชนเข้าชื่อ นอกจากนี้ ยังมองว่าการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง เป็นโจทย์สำคัญในการแก้ปัญหา อย่างการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มีปรากฎการณ์ใหม่ เช่น แคนติเดตที่น่าสนใจจำนวนมากที่มีข้อเสนอทางนโยบายที่เป็นรูปธรรมและทำให้ประชาชนจับต้องได้และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายทั้งในพื้นที่และภาพรวม โดยมีนโยบายในอนาคตที่จะนำไปสู่การพัฒนาการเลือกตั้งท้องถิ่นในอนาคตต้องมีนโยบายและทิศทาง"
นายวุฒิสาร ยังมองว่าการกเลือกตั้งทางตรงแม้จะมีข้อดีแต่ยังมีข้ออ่อน เช่นทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ทำให้การต่อสู้กันรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่เล็ก จะทำให้การจัดเลือกตั้งยาก ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้ง อบจ. เทศบาล อบต.ที่ผ่านมาหลังถูกแช่แข็งมา 6 - 7 ปี พบว่าประชาชนตื่นตัว ออกมาใช้สิทธิ์มาก ผู้สมัครหน้าใหม่และคนรุ่นใหม่ลงสมัคร โดย 60 - 70% ที่คนหน้าให้ได้รับเลือกตั้ง สะท้อนว่าว่าการเลือกไม่ใช่การส่งต่อมรดก และบทบาทนักการเมืองท้องถิ่นเด่นขั้น ทำให้การเลือกตั้งเปลี่ยน และโจทย์ใหม่คือต้องทำให้หลังการเลือกตั้งจบลงยังเกิดความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชุมชน
"วันนี้หลังการเลือกตั้งวิกฤตแตกแยกของคนในชุมชน ผมคิดว่าเป็นสัญญาณที่อาจจะไม่ค่อยไปในทางบวก หลายท่านคงจำได้ว่าการเลือกตั้งเปิดเผยทำได้ อย่างเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านเปิดเผยได้ ใครเลือกนาย ก. ยืนฝั่งนี้ ใครเลือกนาย ข. อยู่ฝั่งนี้และได้ผู้ใหญ่บ้านหลังการเลือกตั้งความสามัคคีของคนในชุมชนก็ยังเหมือนเดิม แต่วันนี้ไม่มีการเลือกตั้งเปิดเผย มีแต่ทางลับและทำให้แปลกแยกบาดหมางมากขึ้น ผมคิดว่าโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหม่ของการพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคตโดยเฉพาะประชาธิปไตยท้องถิ่น" นายวุฒิสาร กล่าว
นายแสวง ระบุว่าจากการถอดบทเรียนของ กกต.และการศึกษาทางวิชาการ ทำให้ กกต.รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและท้องถิ่น โดยตั้งเป้าให้การเลือกตั้งใหญ่เป็นการเลือกตั้งที่ดี มีประสิทธิภาพ เกิดปัญหาข้อบกพร่องให้น้อยสุด ทำให้ประชาชนยอมรับผลการเลือกตั้งและคุณภาพของคะแนนเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม หากผู้สมัครหรือพรรคอยากเห็นการเลือกตั้งดี ผลการเลือกตั้งก็จะเป็นอีกแบบ แต่ถ้ามุ่งหวังเพียงชัยชนะเพียงอย่างเดียว ผลการเลือกตั้งก็จะต่างไป ดังนั้น กกต.ต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่าย และต้องทำให้เกิดการยอมรับการประมวลผลการเลือกตั้ง โดยต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เช่นผลการนับคะแนน เช่น ใบ สส. 5/18 ที่ปิดประกาศหน้าหน่วย เดิม อาจจะถูกลมพัดปลิวเสียหาย ของสำนักงานมีแนวทางว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะนำลงในเว็บไซต์ว่าขณะที่นับแล้วเสร็จเพื่อแสดงความโปร่งใส ตัดปัญหาคนที่คิดว่า กกต.เปลี่ยนแปลงคะแนนหรือไม่ พร้อมยอมรับว่ากฎระเบียบที่ใช้ในการจัดเลือกตั้งดี แต่มีความซับซ้อนบ้าง จึงทำให้เกิดปัญหาการทำหน้าที่ในการทำหน้าที่ของ กปน.ซึ่งก็ได้จัดอบรมและจัดคู่มือสำหรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี