ทรรศนะ‘อ.เจษฎ์’ว่าด้วยข้อจำกัดส.ส.กับ‘กฎเหล็ก180วัน’ สุดท้ายอยู่ที่ ‘กกต.’ออกระเบียบอย่างไรให้เหมาะ
5 ต.ค. 2565 รศ.เจษฎ์ โทณวณิก อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ตอบคำถามผู้สื่อข่าว กรณี “กฎเหล็ก 180 วัน” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ว่าเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งขณะนี้หลายพื้นที่กำลังประสบภัยพิบัติน้ำท่วม อีกทั้งยังสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางการเมือง ระหว่างพรรคฝ่ายรัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน ดังนี้
คำถาม (1) : พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ในส่วนของกฎการใช้จ่ายเงินจะอยู่ในมาตรา 63-65 ที่มีปัญหากันอยู่ในขณะนี้ ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “กฎ 180 วันก่อนสภาหมดวาระและเข้าสู่การเลือกตั้ง” โดย ส.ส. ฝ่ายค้าน (รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่) ไม่กล้าที่จะช่วยประชาชนในพื้นที่ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เห็นประชาชนเดือดร้อนจริงๆ อยู่ตรงหน้าก็ตาม เพราะกลัวทำผิดกฎหมาย อย่างทราบว่า กฎนี้ตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลใด? มีเจตนารมณ์ใด?
รศ.เจษฎ์ : คำว่าช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนตีความได้ค่อนข้างกว้าง หากว่าไม่ได้เป็นเรื่องตัวเงิน หรือการให้สิ่งของที่อาจจะคำนวณเป็นเงินได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่หากเป็นเรื่องของเงิน หรือสิ่งที่อาจจะคำนวณเป็นเงินได้ อาจจะต้องถูกรวมเข้าเป็นเงินที่กำหนดให้ใช้จ่ายในการหาเสียงได้ ซึ่งก็ต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากจะทำให้เป็นการไปลดทอนจำนวนเงินที่จะใช้หาเสียงได้ อีกทั้งหากเป็นการกระทำที่มองได้ว่าเข้าข่ายการซื้อสิทธิขายเสียง ก็จะยิ่งมีความผิดร้ายแรงตามกฎหมาย
คำถาม (2) : มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎนี้สร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางการเมือง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็คาม คณะรัฐมนตรีก็นับว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล ทั้งโดยตรง (มีหลายคนเป็น ส.ส. ด้วย คือสวมหมวก 2 ใบ) และโดยอ้อม (เช่น นายกฯ ที่พรรคแกนนำรัฐบาลเป็นผู้เสนอชื่อในช่วงเลือกตั้ง แม้ไม่ใช่ ส.ส. ก็ตาม) ดังนั้นแม้จะบอกว่าทำตามหน้าที่ของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน แต่ก็ยากจะตัดภาพของความเป็นฝ่ายการเมืองออกไปได้ การลงพื้นที่จึงอาจถูกมองได้ว่าเป็นการหาเสียงไปในตัว ในขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้เลย จึงดูเหมือนเป็นการหาเสียงฝ่ายเดียวของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล มองเรื่องนี้อย่างไร?
รศ.เจษฎ์ : โดยทั่วไปแล้ว ในการหาเสียง ฝ่ายรัฐบาลก็มักจะได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเท่าที่เป็นมา อีกทั้งหาก กกต. มีความเกรงใจต่อรัฐบาลเนื่องจากเห็นว่าทำงาน ก็อาจจะยิ่งทำให้ฝ่ายค้านเสียเปรียบมากขึ้น ทั้งนี้ โดยรวมแล้ว ในประเทศเสรีประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าทั้งหลาย การสอดส่อง เฝ้าระวังในเรื่องเหล่านี้ จะเข้มงวดมาก การใช้ทรัพยากรของรัฐ โดยพรรครัฐบาลจะถูกติดตาม และตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เช่นเดียวกับฝ่ายค้าน ซึ่งหากมีการพิจารณาที่ถ้วนถี่ ฝ่ายรัฐบาลมีโอกาสที่จะเสียเปรียบได้ด้วยซ้ำไป เพราะอยู่ในฐานะของผู้ที่มีโอกาสในการใช้ทรัพยากรของรัฐได้มากกว่า ในขณะที่ฝ่ายค้านจะถูกกล่าวหาว่าใช้ทรัพยากรของรัฐได้น้อยกว่า ดังนั้น เรื่องนี้จึงต้องอยู่ที่การกวดขัน และความรอบคอบของกรรมการ คือ กกต.
คำถาม (3) : เห็นอดีต กกต. 2 ท่าน ทั้งคุณสมชัย ศรีสุทธิยากร และคุณสดศรี สัตยธรรม เสนอแนะให้แก้ไขกฎนี้ โดยคุณสมชัย มองไปที่วรรคสามของมาตรา 65 เรื่องให้ กกต. ออกระเบียบให้ชัดเจนว่าการช่วยประชาชนแบบไหนทำได้-ไม่ได้ ในขณะที่ คุณสดศรี เสนอแนะให้ออกระเบียบกำหนดให้ 180 วันดังกล่าว รัฐมนตรีต้องลาออกจากสมาชิกพรรคการเมือง มองมุมนี้อย่างไร?
รศ.เจษฎ์ : การกำหนดให้ชัดเจนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรย่อมเป็นทางที่เป็นประโยชน์ และเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า การที่จะไปให้รัฐมนตรีลาออกจากพรรคการเมืองในช่วง 180 วันก่อนวันเลือกตั้งนั้น ยังไม่เหมาะสมต่อทางปฏิบัติ เพราะจะมีผลกระทบในทางลบต่อรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องของ การหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. การต้องหาพรรคอยู่ใหม่ หรือเข้าสังกัดพรรคเดิมให้ทันต่อเวลา และอื่นๆ อีกมากมาย
คำถาม (4) : ต่อจากข้อ 3 ถ้าเลือกแนวคิดของคุณสดศรี เท่ากับรัฐมนตรีที่ลาออกจากสมาชิกพรรค หากเป็น ส.ส. อยู่ด้วย ก็ต้องสิ้นสภาพ ส.ส. ทันทีใช่หรือไม่? เพราะเป็นการลาออกเอง ไม่ใช่ถูกขับออกจากพรรคหรือพรรคถูกยุบ ซึ่งจะมีเวลา 30 วันในการหาพรรคใหม่อยู่ ขณะที่หากเลือกแนวคิดของคุณสมชัย ในฐานะที่อาจารย์เคยเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จะเขียนระเบียบอย่างไรให้ได้สมดุลมากที่สุด ระหว่างการไม่ให้เป็นผลประโยชน์ทางการเมืองมากเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ตัดโอกาสประชาชนที่จะได้รับความช่วยเหลือจากพรรคการเมือง ซึ่งก็เป็นองค์กรที่มีศักยภาพ
รศ.เจษฎ์ : แนวทางของอาจารย์สมชัยเป็นจริงในทางปฏิบัติได้มากกว่า และมีความเหมาะสมในการนำมาใช้มากกว่า รวมถึงจะก่อให้เกิดผลอันเป็นแนวทางที่ทุกคนถือปฏิบัติได้มากกว่าด้วย แนวทางของท่านสดศรีนั้น เป็นแนวทางที่มีโอกาสก่อปัญหาไปในกาลอนาคตได้อย่างมาก และแน่นอนจะก่อให้เกิดแรงต้านจากฝั่งรัฐบาลเป็นอย่างมาก และฝั่งฝ่ายค้านก็อาจจะชอบใจเพียงเวลาที่ตนเองเป็นฝ่ายค้านอยู่ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน หากกฎเช่นว่ายังใช้อยู่ ก็ย่อมไม่ชอบใจอยู่ดี ดังนั้น การออกกฎแบบที่สามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ และเป็นไปได้สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นผลประโยชน์ต่อทุกคนโดยรวมมากกว่า ย่อมเป็นผลดีกว่าโดยสภาพ และโดยการใช้งาน
-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี