อัยการสูงสุดหญิงคนแรกเปิดนโยบาย ปรับฐานราก เปลี่ยนทันโลก สู่สังคมยุติธรรมที่ดีขึ้น Better Justice สร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา ความไว้วางใจให้กับประชาชน
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 12 ตุลาคม 2565 ที่ห้องประชุม 120 ปี สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด คนที่ 17 ได้แถลงนโยบายการบริหารงานโดยมีรองอัยการสูงสุด ผู้ตรวจการอัยการ อธิบดีอัยการ สำนักงานในส่วนกลาง อธิบดีอัยการภาค ทั้ง 9 ภาค เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ เลขาธิการสำนักงานอัยการสูงสุด และผู้อำนวยการเข้าร่วมรับฟัง รวมทั้งการถ่ายทอดสดผ่าน YouTube เพื่อให้ข้าราชการ ฝ่ายอัยการทั่วประเทศ ตลอดจนผู้สนใจได้ร่วมรับฟังอีกด้วย
น.ส.นารี กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า การบริหารงานในวันนี้ เป็นการนำองค์กร อัยการในฐานะหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีทิศทางโดยมีแนวคิด "ปรับฐานราก เปลี่ยนทันโลก สู่สังคมยุติธรรมที่ดีขึ้น Better Justice" เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา ความไว้วางใจให้กับประชาชน สังคม และประเทศชาติ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวไม่สามารถสร้างโดยลำพังได้เพียงจากการสร้างภาพลักษณ์เท่านั้น แต่จะต้องสร้างจาก การทำงานที่มีประสิทธิภาพของข้าราชการทั้งที่เป็นพนักงานอัยการ พนักงานธุรการ และผู้ปฏิบัติงานทุกคน ในสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้ประชาชนและสังคมได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง และสิ่งที่สำคัญ คือ คุณธรรม จริยธรรม ความรู้ ความสามารถและความเชี่ยวชาญของบุคลากรในองค์กรภายใต้คุณภาพชีวิตที่ดีจากสิ่งแวดล้อมที่ดี
สําหรับนโยบายการบริหารงานของ น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ที่จะใช้เป็นนโยบายหลัก 4 ด้าน คือ "ยกระดับ - ปรับเปลี่ยน - วางรากฐาน - สานต่ออนาคต"
1.ยกระดับการอำนวยความยุติธรรม รักษาผลประโยชน์ของรัฐ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย บนพื้นฐานของความร่วมมือและเทคโนโลยี อาทิ การพัฒนาช่องทางการเข้าถึง กระบวนการยุติธรรมของประชาชนที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา ผ่านเทคโนโลยีที่รองรับ โดยสนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยี (Application) ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อบริการประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก และรวดเร็วขึ้น รวมถึงการสร้างกระบวนการเชิงรุกในการส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทันความเป็นไปของสังคม ในมิติด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือทั้งในระหว่างหน่วยงานรัฐที่อยู่ใน กระบวนการทางกฎหมาย และสร้างเครือข่ายภาคประชาชน รวมถึงการยกระดับการรักษาและพิทักษ์ผลประโยชน์ ของรัฐและประชาชนด้วยความเป็นมืออาชีพและรวดเร็ว
2.ปรับเปลี่ยนและพัฒนางานขององค์กรอัยการ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และ ความหลากหลายทางสังคม เพื่อให้เกิดความยุติธรรมสำหรับทุกฝ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นที่พึ่งทางกฎหมายลำดับแรกให้แก่ประชาชน ที่ประสบปัญหา ลดขั้นตอน และลดระยะเวลาในการดำเนินการ บนพื้นฐานประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ รวมถึงจัดให้มีอุปกรณ์เพื่อรองรับการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำงานในทุกระดับชั้น เพื่อตอบสนองการสื่อสารกับทั้งภาครัฐและเอกชน
3.วางรากฐานเพื่อสร้างระบบและกลไกในการเข้าถึงความยุติธรรมสำหรับทุกคน วางระบบ นิเวศองค์กร (eco-system) ที่เหมาะสมกับการทำงาน และสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทางวิชาชีพ อาทิ การวางรากฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใช้ในการทำงานและสามารถบูรณาการเชื่อมต่อข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นระบบ โดยสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีที่สำคัญ เพื่อเป็น การวางรากฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อประโยชน์หรือโอกาสในการเชื่อมต่อกับ หน่วยงานอื่นในกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาความพร้อมของบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกและสังคม รวมถึงวางรากฐานระบบนิเวศองค์กร (eco-system) ที่ส่งเสริมการทำงานของบุคลากรในสำนักงานอัยการสูงสุดทั้งในรูปแบบของปัจจัยในการทำงานและสวัสดิการที่มั่นคง
4.สานต่ออนาคต โดยสร้างกลไก เครื่องมือ และแนวทางการพัฒนาบนพื้นฐานการบริหาร อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อองค์ความรู้ที่จะนำสำนักงานอัยการสูงสุดสู่การเป็นองค์กรของนักกฎหมายเพื่อสังคมและ สร้างความยุติธรรมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน (Better Justice) อาทิ ผลักดันให้มีการทบทวนและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการอำนวยความยุติธรรมและการทำงานของพนักงานอัยการเพื่อสร้างประสิทธิผลของความยุติธรรม พร้อมทั้ง ส่งเสริมและผลักดันระบบการสอบสวนคดีอาญาที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลเพื่ออำนวยความยุติธรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ขณะที่ทีมโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นำโดย นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด , นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด , นายทรงพล สุวรรณพงศ์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติงานตามนโยบายของอัยการสูงสุด
โดย นายโกศลวัฒน์ กล่าวว่า นโยบายอัยการสูงสุดจะให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ทางกฎหมายกับประชาชน โดยให้สำนักงานอัยการแต่ละพื้นที่ เปิดทำการเพื่อให้บริการวันเสาร์แล้ว 110 สาขา ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนอาจสะดวกกว่าวันธรรมดา รวมทั้งนโยบายเชิงรุก โดยการใช้รถโมบายไปจอดตามสถานที่ หรืองานต่างๆ เพื่อตอบคำถามปัญหากฎหมายแก่ประชาชน โดยอัยการคุ้มครองสิทธิ์ พร้อมช่วยเหลือประชาชนทุกระดับ เพื่อให้รู้แนวทางการต่อสู้คดีของตนเอง
สำหรับเหตุการณ์อดีตตำรวจกราดยิงเด็ก ชาวบ้านบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่จ.หนองบัวลำภู พนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิภาค 4 ได้ลงพื้นที่ตั้งแต่วันเกิดเหตุ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบกว่า 30 ครอบครัว โดยการช่วยดูแลตั้งแต่เรื่องการกรอกเอกสารชี้แจง ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย รวมถึงเรื่องการแจ้งสิทธิ์การช่วยเหลือเยียวยาที่ควรได้รับให้กับผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิต
นายธรัมพ์ กล่าวว่า คดีเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดให้ความสำคัญมาตลอดอยู่แล้ว มีสำนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติดที่อยู่ในส่วนกลาง ซึ่งรับผิดชอบคดียาเสพติดโดยเฉพาะ และสำนักงานย่อยพื้นที่ทั่วประเทศ ในส่วนของผู้ค้ายาเสพติดนั้น อัยการจะสั่งฟ้องและบรรยายฟ้องในข้อหาตามพฤติการณ์ที่กระทำผิด เพื่อให้ได้รับโทษสูงสุดอยู่แล้ว
ส่วนผู้เสพยาเสพติด ที่มีพฤติกรรมหลอนยา หรือโรคจิต ก็จะเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาตามกฎหมาย หากไม่ต้องการให้ถูกดำเนินคดี ซึ่งอัยการจะพิจารณาแต่ละคดีไป ว่าผู้เสพรายนั้นว่ามีพฤติกรรมความรุนแรง ที่น่าเป็นห่วงอาจเป็นภัยสังคมหรือไม่ หากมีก็จะยื่นคำร้องต่อศาลให้พิจารณาให้เข้ารับการบำบัดต่อเนื่อง หรือให้ลงโทษ เพื่อป้องกันไม่ให้ออกไปก่อเหตุรุนแรงกับคนในครอบครัว และสังคมอีก
ขณะที่คดีอาวุธปืนฯ นั้น มี พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ที่มีอัตราโทษสูงอยู่แล้ว สื่อมวลชนจึงต้องช่วยกันเผยแพร่เกี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษคดีอาวุธ ซึ่งคดีอาวุธปืนเถื่อนนั้น ศาลจะลงโทษโดยไม่รอลงอาญา เพื่อให้ผู้ที่ครอบครองอาวุธปืน เกิดความเกรงกลัว ไม่พกพาหรือครอบครองอาวุธปืนที่ไม่ถูกฎหมาย
ด้าน นายทรงพล กล่าวถึง ประเด็นคดีการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือคดีนักการเมือง ว่า เรามี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบการการทุจริตฯ ซึ่งกำหนดระยะเวลาให้พิจารณาสั่งฟ้องภายใน 120 วัน หรือ 180 วัน แล้วแต่คดี ซึ่งกฎหมายล็อกไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อ ป.ป.ช.ส่งสำนวนคดียังพนักงานอัยการ บางครั้งพยานหลักฐานไม่เพียงพอ หรือคดีหมดอายุความ อัยการก็จำเป็นต้องมีความเห็นว่า มีข้อไม่สมบูรณ์แล้วคืนสำนวนคดีกลับไปให้ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการยื่นฟ้องศาลเองได้
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี