ผลโพลล์ลุ้นของขวัญปีใหม่
คนละครึ่งเฟส6
เชื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลยันดูแลทุกกลุ่ม
มุ่งแก้ปัญหาความยากจน
กรุงเทพโพล เผยผลสำรวจชาวบ้านอยากได้ของขวัญปีใหม่เป็นคนละครึ่งเฟส 6 ขณะที่โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯช่วยเหลือประชาชน ให้ตรงตามสภาพปัญหาที่แต่ละครอบครัวกำลังเผชิญ เร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 31 ตุลาคม ที่จะถึงนี้จะหมดเขตใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งเฟส 5 กรุงเทพโพลโดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของเจ้าของร้านค้า 200 ร้านค้า เขตกรุงเทพฯ และปริมณทล เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพบว่า เจ้าของร้านค้าส่วนใหญ่ร้อยละ 58.8 เห็นว่าโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ช่วยทำให้คนออกมาจับจ่ายซื้อของเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 41.2 เห็นว่าช่วยได้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
ทั้งนี้เมื่อถามถึงสาเหตุที่คนออกมาใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งก่อนๆ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 75.1 เห็นว่าเงินที่ให้ใช้จ่ายมีจำนวนน้อย รองลงมาร้อยละ 49.3 เห็นว่า คนต้องประหยัด ต้องใช้จ่ายอย่างระวัง และร้อยละ 33.3 เห็นว่าคนเลือกซื้อของที่จำเป็นมากกว่าของที่ไม่จำเป็น
เมื่อถามว่าโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ช่วยกระตุ้นยอดขาย ทำให้ร้านค้าขายของได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 84.1 เห็นว่าช่วยได้ ขณะที่ร้อยละ 12.9 เห็นว่าไม่ค่อยช่วย ส่วนที่เหลือร้อยละ 3.0 เห็นว่าไม่ช่วยเลย
โดยเมื่อถามถึงภาพรวมคิดว่าโครงการคนละครึ่งตั้งแต่เฟส 1 - 5 ที่ผ่านมาทำให้กิจการของท่านเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ร้อยละ 85.6 เห็นว่าทำให้กิจการดีขึ้น โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 68.7 ขายได้เพิ่มขึ้น สามารถกระตุ้นยอดการซื้อ รองลงมาร้อยละ 56.2 มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น และร้อยละ 31.3 สร้างโอกาสให้คนรู้จักร้านมากขึ้น ส่วนร้อยละ 13.4 เห็นว่ากิจการเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่มีเพียงร้อยละ 1.0 ที่เห็นว่าทำให้กิจการแย่ลงกว่าเดิม
ทั้งนี้เมื่อถามว่าโครงการคนละครึ่งเฟส 6 ยังควรมีต่อไปหรือไม่อย่างไร ส่วนใหญ่ร้อยละ 95.5 เห็นว่าควรมีต่อไป เพราะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อย ขณะที่ร้อยละ 4.5 เห็นว่าไม่ควรมีเพราะไม่สามารถกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจได้
สุดท้ายเมื่อถามว่าจากข่าวจะมีโครงการคนละครึ่งเฟส 6 ในช่วงปลายปี ท่านจะเข้าร่วมหรือไม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 90.0 จะเข้าร่วม ส่วนร้อยละ 8.0 ยังไม่แน่ใจ ขณะที่ร้อยละ 2.0 จะไม่เข้าร่วม
ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง ผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 มีคนยากจนจำนวนทั้งสิ้น 4.4 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนคนยากจนที่ร้อยละ 6.32 ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่มีสัดส่วนคนยากจนร้อยละ 6.83 ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจำนวนครัวเรือนยากจนก็พบว่าในปี 2564 ครัวเรือนยากจนมีจำนวนทั้งสิ้น 1.24 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.79 ของครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่มีจำนวนครัวเรือนยากจนประมาณ 1.40 ล้านครัวเรือน
นายอนุชาฯ กล่าวว่าสาเหตุสำคัญที่สถานการณ์ความยากจนปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่เน้นพุ่งเป้าให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ รวมไปถึงกลุ่มเปราะบางและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำล่าสุดของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุชัดว่า หากรัฐบาลไม่มีโครงการช่วยเหลือเยียวยา จำนวนคนจนจะเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 11 ล้านคน
นอกจากนี้ ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติยังเผยให้เห็นว่า สถานการณ์การว่างงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 อยู่ที่ 5.5 แสนคน ปรับตัวลดลงจาก 6.08 แสนคนในไตรมาส 1 ของปี 2565 หรือลดลงประมาณ 5.8 หมื่นคน โดยได้รับอานิสงส์จากนโยบายการเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทยโดยยกเว้นการกักตัวของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในบางสาขาเศรษฐกิจที่กลับมาดำเนินการได้มากขึ้น ส่งผลให้อัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 1.4 ของกำลังแรงงานรวม ลดลงร้อยละ 0.1 จากไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ซึ่งมีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.5 ของกำลังแรงงานรวม
“นายกฯพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน ด้วยการแก้ไขปัญหาทั้งในแบบภาพรวม และแบบเจาะจงทั้งในระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยได้แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นต้นตอของความยากจน 8 เรื่องสำคัญ เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) การกำหนดให้การไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวาระของประเทศ (เน้นสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ SMEs) การแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ โดยเฉพาะครูและตำรวจ การแก้ไขปัญหาบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อยและ SMEs การปรับปรุงขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ดำเนินการนโยบาย “การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”นายอนุชาระบุ
และย้ำว่าเป้าหมายคือ การแก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน โดยได้วางกลไกครอบคลุมตั้งแต่ระดับนโยบายไปจนถึงระดับปฏิบัติ ซึ่งในระดับปฏิบัติ หรือในระดับพื้นที่ จะมีการตั้งทีมพี่เลี้ยง เข้าไปตรวจสอบข้อมูลทุกครัวเรือนยากจนในแต่ละหมู่บ้าน เพื่อไปรับทราบปัญหา ช่วยหาทางแก้ไข และให้การสนับสนุนให้ครอบครัวมีการวางแผน หรือแก้ปัญหาความยากจนของแต่ละครัวเรือนให้ตรงตามสภาพปัญหาที่แต่ละครอบครัวกำลังเผชิญ เมื่อทราบปัญหาของแต่ละครอบครัว ทีมพี่เลี้ยงก็จะมีมาตรการที่จะช่วยแก้ปัญหาในแต่ละมิติที่แตกต่างกันไปตามแต่ละครอบครัว เช่น มิติสุขภาพ ตรวจสุขภาพประจำปี การดูแลสุขภาพ การติดตามผู้ป่วยเรื้อรัง มิติความเป็นอยู่ ปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย มิติการศึกษา ฝึกอาชีพ มิติด้านรายได้ การจัดหาที่ดินทำกิน วิสาหกิจชุมชน เกษตรแปลงใหญ่ เป็นต้น” นายอนุชาฯ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี