“วิษณุ” ยอมรับต้องตำหนิรัฐบาล-ตัวเอง แจงไม่เคลียร์ ปมกฎหมายที่ดิน บอกจังหวะไม่ดีออกช่วงเดียวกับ กม.สุรา เลยทำอารมณ์คนพุ่งปรี๊ด ชี้ เป็นเรื่องดี มท.นำกลับไปแก้-รับฟังปชช.ใน15 วัน ยัน ไม่ใช่กม.ขายชาติ ชี้ ตีกรอบเข้ม ถือครองที่ดิน แลกลงทุน
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 เวลา 08.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาลนายวิษณุเครืองามรองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ช่วงรัฐมนตรี ถึงกรณีที่กระทรวงมหาดไทย จะถอนร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. … ว่า ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยจะเสนอ ครม.ขอถอนร่างดังกล่าว เพื่อนำกลับไปพิจารณาใหม่ และนำไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ภายในเวลา 15 วัน จึงต้องนำเรื่องมาเข้าครม.เพื่อขออนุมัติก่อน หลังจากพิจารณา 15 วันแล้ว จะนำร่างกลับมาที่ครม.อีกครั้งหรือไม่ก็ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อถอนร่างกฎกระทรวงฯนี้ไปแล้วก็จะเหลือร่างกฎกระทรวงฉบับ 2545 สมัยรัฐบาลไทยรักไทย นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ และกฎหมายฉบับปี 2545 จะแรงกว่าร่างฉบับล่าสุด เมื่อถามว่าร่างกฎหมายฉบับปี 2545 จะเรียกว่าขายชาติ ได้เช่นเดียวกันหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไปพูดกันเองว่า กฎหมายขายชาติ แต่ตนไม่เห็นว่า การเอาที่ดินขายแบบนี้เป็นการขายชาติ ส่วนจะเรียกว่า ขายชาติก็เรียกไป เพราะการที่คนต่างด้าวจะได้มาซึ่งที่ดินมีหลายวิธี คือ การเช่าระยะยาว การเช่าตาม ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เช่าได้นาน90ปี และได้มาด้วยการซื้อคอนโดมิเนียม49 % ของตึกทั้งหลัง นอกจากนี้อาจได้มาโดยสนธิสัญญา ซึ่งมีคนต่างด้าวได้มาเยอะแยะ โดยประกาศกฎกระทรวงฉบับปี 2545 เป็นการออกตามความในประมวลกฎหมายที่ดิน ที่แก้ไขจากปี 2542 ในช่วงไอเอ็มเอฟ จึงออกกฎกระทรวงให้ขายที่ดินได้ในปี 2545 นับจากวันนั้นถึงวันนี้20 ปี มีคนต่างด้าวซื้อที่ดินทั้งหมด 10 ราย โดย2 ราย ได้สัญชาติไทย และในจำนวน 8 ราย ไม่มีใครซื้อ1 ไร่ มีแค่ 100 -200ตารางวา เพื่อปลูกที่อยู่อาศัย เพราะเห็นว่ากฎกระทรวงเป็นภาระยุ่งยาก สู้ซื้อผ่านนอมินีไม่ได้ เพราะสามารถซื้อ100 ไร่ก็ได้ จึงเลี่ยงไปซื้อผ่านนอมินี หรือตั้งบริษัทขึ้นมาถือหุ้นเอง49% และให้คนไทย 49% และ เหลือ 2% เอาจากที่ไหนมาอุดช่องไว้ได้ จึงกลายเป็นว่าไม่ใช่บริษัทของคนต่างด้าว และจะซื้อที่ดินหมื่นไร่ก็ได้
นายวิษณุ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ดูแล้วเห็นว่าควรจะปรับให้เหมาะสม และการแก้ไขครั้งนี้ไม่ได้เปิดให้คนต่างด้าวทุกคน เสื่อผืนหมอนใบมาจากไหน มาซื้อก็ได้ แต่ให้เฉพาะคน 4 ประเภท คือ 1.คนต่างด้าวฐานะดีซึ่งมีวิธีตรวจสอบได้ 2.คนต่างด้าวที่เกษียณ ที่ต้องการมาอยู่เมืองไทยในระยะยาว 3.คนต่างด้าวที่มีทักษะสูง และ4. ต่างด้าวที่จะเข้ามาลงทุนในไทย โดยมีข้อกำหนดอย่างเดียวกันคือ ต้องเอาเงินมาลงทุนในไทย โดยการซื้อหุ้นต่างๆ 40 ล้านบาท จะมาฝากแบงก์ไม่ได้ ซึ่งต่างจากกฎหมายปี 2545 ที่คนต่างด้าวสามารถซื้อได้หมด แต่ฉบับนี้จำกัดแค่คน4ประเภทเท่านั้น และเงินที่จะซื้อหุ้น มีกำหนดเวลา5 ปี แต่ฉบับนี้ลดมา3 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ยอมถอยกฎหมายดังกล่าว เป็นเพราะประเด็นทางการเมืองหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกสาเหตุรวมกัน ทุกคนรุมด่าว่า ขายชาติ ก็ต้องเอากลับไปทำความเข้าใจ
“เรื่องนี้ผมตำหนิรัฐบาล รวมถึงตัวผมเองด้วย ว่าตอนชี้แจงไม่ชี้แจงให้ชัดเจน และอาจจะเคราะห์ร้าย เพราะเป็นการพิจารณาวันเดียวกับกฎหมายสุรา จึงตีกันสองเรื่อง ทำให้อารมณ์คนพุ่งขึ้นไป และคิดว่า ดีแล้วที่จะถอน เอากลับไปทำให้ดีความเห็น เปิดรับฟังความเห็นและปรับปรุงให้เข้มงวดและบางสิ่งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในวันนี้ เพราะหลายข้อถูกต้องตามที่วิจารณ์ กลับไปทำให้ดี หากจะนำกลับมาเสนออีกครั้งสามารถทำได้ ไปนำกลับมาก็ใช้ฉบับปี 2545” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่า หากไม่ต้องการถูกเรียกว่า ขายชาติ ใช้วิธีการให้ต่างชาติเช่าดีกว่าหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า การให้เช่าดีที่สุด แต่ไม่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนเท่าที่ควร
เมื่อถามว่า เสียดายหรือไม่ที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ถูกถอนออกไป นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เสียดาย เฉยๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี