นายกฯบอกมาเพชรบูรณ์ในนามรัฐบาล ทุกโครงการนำเข้าครม.อนุมัติร่วมกัน วอนอย่าระบายความทุกข์ด้วยความเกลียดชังไม่มีอะไรดีขึ้น หยอกปชช.เป็นนายกฯตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้คงอยู่ไปอีกนาน แต่อย่าตีความผิดเดี๋ยวเป็นเรื่องอีก ทีมรปภ.ลุงตู่ เปิดกว้างปชช.กอด-ใกล้ชิดได้
เมื่อเวลา 12.50 น.วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ที่ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธี KICK OFF มาตรการช่วยเหลือและยกระดับรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2565/2566 โดย นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณทุกคน วันนี้ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นขอบคุณบรรดาผู้นำหลายกลุ่มด้วยกัน ที่มาในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกร ประชาชนชาว จ.เพชรบูรณ์ ตนมาหลายครั้งเพชรบูรณ์ไม่เคยผิดหวัง ทุกคนมีความรักความสามัคคีกันดีมากๆ ขอบคุณทุกท่านด้วยใจจริง
นอกจากนี้ ยินดีที่ได้มาพบเกษตรกรผู้ปลูกข้าวชาว จ.เพชรบูรณ์ และได้ไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ จ.เพชรบูรณ์ มาแล้วด้วยความสบายใจและขอพรให้ประเทศชาติ ประชาชนทั้งชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นคติพจน์ในใจของตนตลอดมา วันนี้มาในนามของนายกฯ หัวหน้ารัฐบาล และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ย้ำว่า ตนมาในนามรัฐบาล และทุกโครงการตนเป็นคนนำเข้า ครม.และพิจารณาร่วมมือกันในการอนุมัติ และพรรคร่วมรัฐบาลทุกคนก็เป็นรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบด้วยในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐทั้งหมด สิ่งที่ต้องการคือความเข้าใจระหว่างกัน
ทั้งนี้ ตนยินดีที่ได้มาพบปะเกษตรกร และยินดีที่ได้มามอบเงินให้เกษตรกรชาวนาในโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/2566 ตลอดจนมาตรการคู่ขนาน เพื่อจะเป็นกำลังใจให้เกษตรกร ในการรักษาเสถียรภาพในเรื่องราคาข้าว เพื่อมีรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน และจะไม่ขอพูดตามที่ได้มีการเตรียมคำกล่าวเอาไว้ให้ตน แต่จะพูดในสิ่งที่ตนคิดและทำ รวมถึงสิ่งที่พยายามเดินหน้ามา โดยตลอดทุกคนทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากมาย โดยเฉพาะการเกษตร เราเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก แต่ก็ต้องพัฒนาปรับปรุง ซึ่งจะต้องบริหารจัดการให้ไทยเป็นผู้นำการผลิต และการตลาดข้าวและรวมถึงผลิตภัณฑ์ข้าวคุณภาพของโลก
นายกฯ กล่าวว่า จะทำอะไรก็ตามจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย แม้กระทั่งการประกอบการของบริษัทและห้างร้าน จะต้องคำนึงถึงผู้บริโภค ตลาดและสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้สร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศ เพราะปีนี้สังเกตดูแล้วจะเห็นว่าอะไรเปลี่ยนไปโดยเฉพาะสภาพอากาศหน้านี้เป็นฤดูหนาว แต่ฝนก็ตกบ่อย มีร่องความกดอากาศมรสุมต่างๆเพิ่มมากขึ้น และต่างประเทศก็ได้รับผลจากภัยพิบัติมากขึ้น ทั้งดินถล่ม แผ่นดินไหว และสึนามิ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในหลายกับประเทศแม้กระทั่งในอาเซียน เมื่อย้อนกลับมาดูที่ประเทศไทยเราบ้านเราจะไม่เจอแบบนั้นบ้านเราจะไม่เจอแบบนั้น เพราะเป็นพื้นที่การเกษตร เราไม่มีภูเขาไฟ เราเป็นแผ่นดินแห่งความร่มเย็น และสงบสุขเหมาะกับการเกษตร แต่จะทำการเกษตรอย่างไรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันจะต้องคิดให้ไกลกว่าเดิม ซึ่งปัญหาการเกษตรวันนี้อยู่ที่ละราคาเป็นหลัก จึงต้องย้อนกลับมาดูว่าจะทำอย่างไร ให้มีการใช้ต้นทุนน้อยที่สุด แต่ถ้าใช้กลไกเดิมเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทั้งปุ๋ย ยาและสารเคมี ค่าจ้างไถ่ วานทุกอย่างเป็นต้นทุนทั้งสิ้น พอขายทำให้ได้ราคาไม่มาก จึงต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้ตนได้พูดคุยในที่ประชุมเอเปค
นายกฯ กล่าวต่อว่า สิ่งแรกที่อยากจะบอก คือจงภูมิใจในพื้นแผ่นดินไทยให้มากที่สุด เป็นดินแดนแห่งความสุขสงบและสันติใต้ร่มพระบารมี พระบรมมาโพธิสมภาร และอยู่ในร่มเงาของศาสนาทุกศาสนาที่อยู่ร่วมกันได้ คนไทยแตกแยกกันไม่ได้ ถ้าแตกแยกกันเมื่อไหร่ศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันที่มีอยู่จะหมดไปทันที ฉะนั้นสิ่งสำคัญต้อง เริ่มจากตัวเราไปสู่ชุมชนและสังคมและไปถึงระดับประเทศต้องรักกัน นั่นคือประเด็นที่สำคัญที่สุด
"รัฐบาลไม่ว่าจะใคร ไม่ว่าจะผมหรือใครก็ตามก็ต้องทำให้สิ่งเหล่านี้เข้มแข็งขึ้น เติบโตขึ้น รวมพลังให้มากยิ่งขึ้น เดินหน้าประเทศต่อไปเรา ทำแบบเดิมทั้งหมดไม่ได้อยู่แล้ว ก็คาดหวังว่าที่ทำให้ได้ในวันนี้นั้นจะเป็นพื้นฐาน และเป็นแนวทาง มีอะไรที่ดีกว่านี้ไปเรื่อยๆ วันนี้พูดเฉพาะข้าว แต่ต้องไปดูแลพืชถึง 6 ชนิด ซึ่งใช้งบประมาณมากขึ้นทุกปี วันนี้โชคดีที่ยังอยู่ในกรอบและราคาข้าวสูงขึ้น" นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากเกษตรกรแล้วยังมีธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องดูแล ตนเข้าใจในความลำบาก ประชาชนลำบาก ตนก็ยิ่งลำบากกว่า แต่อาจจะไม่ลำบาก เหนื่อยกาย เหนื่อยใจเท่า แต่เหนื่อยตรงตรงที่จะแก้ปัญหาให้อย่างไรนั่น คือหัวใจของคนที่เป็นรัฐบาล จะต้องนึกถึงประชาชนให้ได้มากที่สุดและหาวิธีการที่จะทำให้ได้ แต่จะได้มากได้น้อยต้องเข้าใจกัน อยากให้ทุกคนยิ้มแบบนี้ทั้งประเทศ จะทุกข์จะสุขก็ยิ้มให้กัน ยิ้มแย้มแจ่มใสความทุกข์เก็บไว้แล้วค่อยๆแก้ ค่อยๆระบาย แต่ถ้าระบายออกด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน มันไม่มีอะไรจะดีขึ้น นอกจากปลูกฝังความเกลียดชังไปเรื่อยๆ และเราก็ทรมาน ยืนยันว่าตนไม่ใช่ศัตรูกับใครทั้งสิ้น ทั้งนี้ ทุกอย่างที่พูดไปเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของตนตั้งแต่มาเป็นนายกฯ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้และคงอยู่ไปอีกนาน ก่อนที่ชาวบ้านจะปรบมือและส่งเสียง จึงทำให้นายกฯ กล่าวขึ้นว่า "อย่าไปตีความผิดว่าผมจะอยู่อีกนาน เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก ทำงานจนลืมวัน เดือน ปี นาฬิกาไม่เคยดู"
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันข้างหน้าต้องไปคิดต่อว่าจะทำอย่างไรถ้าเราแตกแยกกันไปเรื่อยๆ มากขึ้นแล้วจะได้ข้อยุติอะไร จึงต้องไปแก้ปัญหาที่ความยากจน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ และเงินทั้งหมดไม่ใช่เงินของตนหรือธนาคาร แต่เป็นเงินของประชาชน รัฐบาลต้องมารับผิดชอบเงินงบประมาณก้อนนี้อยู่ดี เพราะต้องใช้หนี้ธนาคาร อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่มามาเพื่อให้เห็นหน้าเห็นตาและทำสัญญาใจว่าเราจะช่วยกัน ช่วยกันให้ได้ในเรื่องที่ทำให้ประเทศเติบโตและปลอดภัยเป็นประเทศที่มีสุขภาพจิตที่ดีจะต้องใช้เวลาไม่ใช่ 1 ปี หรือ 2 ปี ที่ตนอยู่มาวันนี้หลายปีก็ทำอะไรได้เยอะพอสมควร นี่ไม่ได้พูดว่าอยากหรือไม่อยากอยู่อะไรทั้งสิ้น ไม่เกี่ยว เดี๋ยวจะตีความกันผิดอีก สุขก็ยิ้ม ทุกข์ก็ยิ้มและที่ตนยิ้มอยู่ในใจก็ร้อนอยู่
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ทุกภาคส่วนขอให้รวมพลังกันให้ได้ ถ้าทุกคนประท้วงกันไปมาก็ไม่ได้อะไร เพราะมีหลายคนบอกว่าถ้าประท้วงก็อาจจะได้ แต่ถ้าผิดกฎหมายก็มีปัญหา ซึ่งตนอยากให้ทั้งหมดแต่ผิดทุกอัน แต่ผิดกฎหมาย โกรธเคืองกันไม่ได้อะไรขึ้นมา แบ่งพวก แบ่งฝ่าย ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พอได้แล้ว
ทั้งนี้ นายกฯ ย้อนถามประชาชนว่า ที่ตนได้พูดไปเข้าใจบ้างหรือไม่ พร้อมพูดอ้อนว่า "และเห็นใจกันบ้างไหมจ๊ะ" จากนั้นนายกฯ กล่าวว่า "ต่างคนก็ต่างเห็นใจกัน"
นายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ วันนี้โลกกำลังเจริญเติบโต ไปถึงเรื่องดิจิทัล แต่ก่อนเราไม่มีโทรศัพท์ใช้วันนี้มีขอให้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็แล้วกัน อย่าไปใช้สร้างความเกลียดชัง อย่าไปใช้เพราะถูกเขาหลอก ถ้าเบอร์โทรศัพท์ไหนโทรเข้ามาไม่ขึ้นทะเบียนอย่าไปรับ เหมือนตนเองถ้าไม่มีชื่อก็ไม่รับ เพราะไม่รู้ว่าใครโทรมา การทุจริตเกิดขึ้นง่ายข้อมูลหลุดไปก็เดือดร้อน ประเภทชักชวนทางออนไลน์ไม่จำเป็นอย่าไปเปิด ซึ่งเรื่องนี้ก็พยายามปิดอยู่แต่จะทำอย่างไรเพราะต้องใช้คำสั่งศาล และเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่บ่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายกฯ เป็นประธานในพิธีเสร็จสิ้น ได้เดินสอบถามสารทุกข์สุขดิบของประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม โดยประชาชนบางคนถึงขั้นเข้ามาสวมกอด และร้องไห้ดีใจที่เจอนายกฯ และได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ขณะที่บางคนจะลงกราบที่เท้าของนายกฯ แต่นายกฯ ได้ห้ามไว้พร้อมระบุว่า "ไม่ต้องทำแบบนี้"
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าการลงพื้นที่ของนายกฯ ครั้งนี้ แม้จะมีการรักษาความปลอดภัย ทั้งทีมทหารและตำรวจ แต่ไม่ได้เข้มงวดเหมือนกับการลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ โดยประชาชนสามารถเข้ามาใกล้ชิดสวมกอดนายกฯ เดินตามขอถ่ายภาพ และเข้ามาร้องความทุกข์ ความต้องการต่อนายกฯ โดยตรงได้แบบประชิดตัว จากนั้นนายกฯ เดินทางกลับกรุงเทพฯ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี